เพียงหนึ่งใจ – ตอนที่ 430-435(อวสาร)

ตอนที่ 430-435(อวสาร)

ตอนที่ 430 อย่าเกลียดชังนาง

 

เฟิงหลีเลี่ยกวาดตามองดาบปลายคมที่ยื่นมาตรงหน้าเขา “เจ้าคิดหรือว่าพวกเจ้าจะหนีพ้น? ยอมคืนมู่หรงชูอวิ๋นมา บางทีข้าอาจยอมไว้ชีวิตพวกเจ้า”

 

 

น้ำเสียงทุ้มต่ำไร้ระลอกคลื่นของเขา สายตาเย็นชาดั่งน้ำค้างแข็งไม่มีสัมผัสความอ่อนโยนใดเลย เฟิงเยี่ยนเฉิงยังอดหดคอไม่ได้ เขาตกใจที่ทุกคนต่างชักดาบออกมาเมื่อครู่นี้ แม้ว่าเขาจะถูกเลี้ยงดูอยู่นอกพระราชวังมาโดยตลอด แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เจอกับเหตุการณ์เช่นนี้

 

 

“อี้หวัง เกรงว่าท่านคงจะอวดเก่งเกินไปหน่อยแล้ว ที่นี่ไม่ใช่เมืองหลวง แต่คือหุบเขาตระกูลฉิน” ฉินเจาพูดประโยคนี้จบ ก็พาตัวมู่หรงชูอวิ๋นถอยหลังไปเงียบๆ ขยับเข้าใกล้สระน้ำที่มีไอหมอกลอยฟุ้งเข้าไปทีละนิด

 

 

“แล้วอย่างไรหรือ ขอเพียงข้าต้องการ ไม่ว่าจะที่ไหนก็เป็นเพียงชื่อสถานที่เท่านั้น แผ่นดินทั่วทั้งใต้หล้า ล้วนเป็นขององค์ฮ่องเต้” เฟิงหลีเลี่ยมองปราดเดียวก็รุ้ว่าพวกเขาคิดจะหนี การที่เขาพูดเช่นนี้เพียงต้องการบอกฉินเจา ไม่ว่าเขาจะไปที่ใด ไกลสุดล้าฟ้าเขียว ก็ได้แต่หลบหนีเพื่อเอาชีวิตรอดไปวันๆ เท่านั้น อย่างไรแล้วทุกวันต้องถูกตามฆ่าจากคนของราชสำนัก การหนีเช่นนี้ต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ ไปตลอดชีวิต แม้แต่ลูกที่เกิดมาก็ต้องเป็นเด็กที่ไร้ทะเบียนราษฎ์

 

 

“หรือว่าเจ้าไม่ต้องการพวกเขาแล้ว”

 

 

เมื่อเขาพูดคำนี้ออกไป ดาบของมู่เยี่ยนได้จี้อยู่บนร่างของฮูหยินฉิน และผู้ที่เป็นเครือญาติของผู้อาวุโสอื่นๆ ต่างถูกดาบทาบไว้ที่ลำคอ บางคนหวาดกลัวจึงหดคอลงหลายส่วน แต่ก็ไม่มีใครกล้าขยับตัวแม้แต่น้อย ระมัดระวังอย่างดีเพราะกลัวจะโดนคมดาบเข้า เรียกว่าได้ไม่คุ้มเสีย บางคนตกใจแทบเป็นลม มู่เยี่ยนทำการตรวจสอบอย่างชัดเจนแล้ว หัวหน้าเผ่าฉินผู้นี้แม้จะเป็นคนเย็นชา แต่มีใจรักต่อฮูหยินที่เป็นภรรยาแต่งของเขาคนนี้มาก ต่อให้ตระกูลฉินจะเป็นสถานที่เล็กๆ แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่มีภรรยาสามภรรยาสี่ เขาที่เป็นหัวหน้าเผ่ามีภรรยาเพียงคนเดียว เป็นแม่ไก่ที่ออกไข่ไม่ได้แล้ว เกรงว่าพวกเขาคงจะบังคับเขาให้ตามหาผู้หญิงอย่างมู่หรงชูอวิ๋นมาโดยตลอด

 

 

ฉินสุยตัวแข็งทื่อ เขาลืมฮูหยินฉินไปเลย แต่เหลือบเห็นฮูหยินฉินปลอดภัยดีไม่มีอาการหวั่นกลัวเลยสักนิด จึงเอ่ยเสียดสีไปว่า “นางเป็นเพียงคนทรยศ คิดว่าข้าจะเห็นนางอยู่ในสายตางั้นหรือ น่าขันนัก” การที่เขาพูดเช่นนี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าเตือนสติเฟิงหลีเลี่ย เมื่อครู่ฮูหยินฉินได้ช่วยเหลือพวกเขา การที่พวกเขาทำเช่นนี้ก็ไม่ต่างไปจากคนเนรคุณคน

 

 

ฮูหยินฉินแสยะยิ้มอย่างอ่อนโยนเล็กน้อย หันหน้าไปกล่าวด้วยรอยยิ้มกับมู่เยี่ยนที่อยู่ข้างกายนาง “น้องชาย ลำบากเจ้าแล้วที่เอาดาบมาทาบบนลำคอของคนไร้ประโยชน์อย่างข้า” รอยยิ้มของนางทำให้มู่เยี่ยนรู้สึกลนลานอย่างบอกไม่ถูก สัญชาตญาณสั่งให้ลดระดับดาบกลับออกไปหลายส่วน ในจังหวะที่เขายังไม่ทันได้ตั้งตัว ฮูหยินฉินได้พุ่งตัวเข้าหาปลายดาบของเขาอย่างรวดเร็ว ดาบคมที่ตัดเหล็กขาดคล้ายตัดโคลน ได้บาดเนื้อของนาง ลำคอขาวละเอียดของนางค่อยๆ ปรากฎรอยเส้นเล็กน้อย ก่อนจะขยายใหญ่ มีสีแดงไหลท่วมไปทั่วทั้งลำคอของนาง ทว่านางกลับยิ้มออกมาด้วยความดีใจเป็นที่สุด

 

 

ฉินสุยเข้ามารับร่างของที่กำลังจะตกลงสู่พื้นได้ทัน พร้อมกับโยนดาบที่พกติดตัวมาตลอดทั้งชีิวิตทิ้งไปกับพื้นอย่างไม่สนใจ แววตาทั้งสองเปี่ยมไปด้วยความโกรธเคือง “ใยเจ้าต้องทำเช่นนี้?” น้ำเสียงของเขาสั่นเทา ฝ่ามือสั่นไม่หยุดไม่กล้ายื่นเข้าไปปิดบาดแผลแดงท่วมนั่น

 

 

ฮูหยินฉินเดิมทีอยากจะยกมือขึ้นไปแตะใบหน้าที่ทำให้หัวใจของนางหล่นหายตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้เห็นหน้า เพียงแต่มือท่วมไปด้วยโลหิตคาวฟุ้งจึงทำได้เพียงวางลงนิ่งๆ

 

 

ฮูหยินฉินทอดมองอากาศตรงหน้าที่มีน้อยนิด กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านพี่ ข้าไปหาหุ้ยซินก่อนแล้ว เมื่อคืนวานนางมาหาข้า บอกว่าคิดถึงข้าแล้ว และข้าก็รับปากว่าจะไปหานาง ท่านพี่อยู่ทางนี้คนเดียวต้องดูแลตัวเองให้ดี” ทว่าทุกประโยคที่เอ่ยออกมาราวกับเค้นพลังที่มีทั้งหมดเปล่งเป็นคำพูด

 

 

ฉินสุยบรรจงจูบหน้าผากของนางอย่างลนลาน ร้องไห้ฟูมฟายราวกับเด็กน้อยที่ร้องไห้โฮ “คนโง่ หุ้ยซินของพวกเรายังมีชีวิตอยู่ ครอบครัวเราทั้งสามคนยังมีชีิวิตอยู่ เหตุใดเจ้าต้องโง่เขลาถึงเพียงนั้น” โยนทิ้งโอกาสเช่นนี้ไปแล้ว

 

 

ฮูหยินฉินยิ้มเล็กน้อย เข้าใจว่าฉินสุยต้องการให้นางคิดถึง “อย่าหลอกข้าเลย อวิ๋นเอ๋อร์คืออวิ๋นเอ๋อร์…ข้าแยกออกได้ชัดเจน พวกเขาต่างก็เป็นเด็กดี อย่าทำร้ายพวกเขาอีกต่อไปเลย” แต่ว่ามู่หรงชูอวิ๋นก็คือมู่หรงชูอวิ๋น แม้ว่าตนจะเคยเรียกนางว่าหุ้ยซินก็ตามที

 

 

“ไม่ใช่ ลูกของพวกเราคือเจาเอ๋อร์” คำพูดนี้ของเขาทำเอาทุกคนต่างตกตะลึง แม้แต่ฉินเจาเองก็เกิดอาการแข็งทื่อไปทั้งร่าง ฉินสุยพูดขึ้นอีกครั้งอย่างไม่สนใจอะไรทั้งนั้น “ในปีนั้น คนในตระกูลนั้นได้ให้กำเนิดเด็กที่เกิดมาพร้อมกับปานรูปเฟิงหวง และฉินเจาก็เกิดมาพอดี ข้าตื่นเต้นจึงได้สลับตัวพวกเขา เป็นเพราะข้าไม่ดีเอง ไม่โทษที่เจ้าพูดมาตลอดว่าข้าเป็นคนละโมบเกินไป ปรารถนาในสิ่งที่ไม่ใช่ของตัวเอง น้องหญิงข้ารับปากเจ้า ขอเพียงเจ้ายอมอยู่เคียงข้างข้า ข้าจะไปเร้นกายในป่าด้วยกันกับเจ้า เหมือนกับพ่อตาแม่ยาย เจ้าอย่าทิ้งข้าไปเลย” ไม่มีใครในโลกนี้จะเข้าใจเรื่องนี้ได้ดีกว่าเขา นอกจากฮูหยินฉินที่เป็นคนของเขาแล้ว เขาก็ไม่มีสิ่งใดอีก หากว่าไม่มีฮูหยินฉินแล้ว เขาก็ไม่เหลืออะไรอีกแล้วจริงๆ

 

 

ฮูหยินฉินมองฉินเจาที่ยืนอึ้งค้างอยู่ทางด้านข้าง หยักยิ้มมุมปาก ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความชื่นชม “ถึงว่าเจ้าจึง…จึง…คงไม่ทันเสียแล้ว” ยังไม่ทันพูดจบดวงตาพลันปิดลงไปตลอดกาล คำพูดที่นางยังพูดไม่ทันจบนั้นได้กลายเป็นปริศนาไปแล้ว

 

 

ผ่านไปสักครู่ ฉินสุยเจ็บปวดสุดจะทานทน เอ่ยกับฉินเจาที่ยืนอยู่ไม่ไกล “นางเป็นแม่ที่ดี นางรักเจ้ามาก รักเจ้ามากยิ่งกว่าชีวิตของนางเสียอีก ต้นเหตุของความชั่วร้ายทั้งหมดเป็นเพราะข้า คนที่ผิดก็คือข้า หากเจ้าจะเกลียดชังขอให้เกลียดชังข้า อย่าได้ตำหนิโทษนาง ขอร้องเจ้าล่ะ” พูดจบก็หยิบดาบตัวเองขึ้นมาแทงเข้าร่างของตัวเองอย่างแรง ก่อนจะค่อยๆ ล้มตัวลงข้างกายของฮูหยินฉิน

 

 

“ท่านหัวหน้า” ทุกคนต่างตะโกนลั่นด้วยความตกใจ

 

 

กุมมือที่เย็นลงเรื่อยๆ ของนางไว้ในอุ้งมือตัวเอง มุมปากมีรอยยิ้มของความพอใจ

 

 

มู่เยี่ยนก็ตกใจเช่นเดียวกัน ไม่คิดเลยว่าฮูหยินฉินจะเป็นคนใจเด็ดเช่นนี้ หากรู้แต่แรกเขาไม่มีทางยื่นดาบจี้ออกไปแน่นอน

 

 

ตอนที่ 431 อย่าฆ่าพวกเขา

 

ผู้หญิงที่ดีเช่นนี้ น่าเสียดายที่แต่งงานกับคนผิด แต่จะบอกว่าน่าเสียดายก็คงไม่ได้กระมัง อย่างไรแล้วหลังจากฮูหยินฉินตายไป ฉินสุยยอมปลิดชีวิตตัวเองตามนางไป เป็นสิ่งที่ยากจะได้รับ นับสมความปรารถนาแล้ว

 

 

“อ้าก…” ฉินเจาร้องตะโกนขึ้นฟ้า เขายังไม่ทันได้เกลียดชังพวกเขาเพียงครู่ พวกเขาก็มาด่วนจากไปตามกันเสียแล้ว ไม่ต้องการการให้อภัยจากเขาอย่างน้ันหรือ บางทีสำหรับพวกเขาแล้วเขาเป็นเพียงลูกที่ไม่มีใครต้องการ จะมีหรือไม่มีก็ได้ เพราะอย่างไรแล้วพวกเขาอยากได้ลูกสาวไม่ใช่หรือ

 

 

ตอนนี้เขากลายเป็นเด็กกำพร้าที่ไม่มีใครต้องการอีกครั้งแล้ว เขาเครียดแค้น เหตุใดฟ้าจะต้องทำกับเขาเช่นนี้ ให้เขาเป็นเด็กกำพร้าเช่นนั้นไปตลอดชีวิต มือกำหมัดแน่น สัมผัสอันเร้าร้อนและอบอุ่นทำให้เขาคลายมือลงหลายส่วน มองคนข้างกาย ไม่สิ เขาไม่ได้ตัวคนเดียว เขายังมีคู่หมั้นอยู่

 

 

ก้มหน้าทอดมองผู้คนที่ต่างมีสีหน้าเปี่ยมด้วยคำถาม แล้วทอดมองอย่างลึกซึ้งบนร่างของคนทั้งสองที่นอนกุมมืออยู่ด้วยกัน ก่อนจะออกแรงกดดวงตามังกรที่สร้างขึ้นจากหยกแดงชาดบนหัวมังกรที่ดูเสมือนจริง “เกิดอะไรขึ้น?” ฉินเจาไม่อยากจะเชื่อ ลองกดซ้ำอีกครั้ง ยังคงไร้การเคลื่อนไหวเช่นเดิม

 

 

มู่เยี่ยนเห็นฉินเจาอารมณ์เสียกดดวงตานั่นไม่ยอมหยุด จึงเอ่ยไปอย่างกวนประสาท “ท่านฉินเจา ลืมบอกท่านไป เมื่อวานข้าไม่ทันระวังไปกดโดนดวงตานั่นเข้า มันจึงกระเด็นออกมา ข้าประกอบมันกลับไปใหม่ ไม่เช่นนั้นขาดดวงตาไปคงดูแปลกพิลึก” เกรงว่าตั้งแต่แรกเริ่มที่คนตระกูลฉินย้ายมาอยู่ที่นี่ หาใช่ต้องการความสันโดษไม่ แต่คงต้องการหวนกลับมาตั้งตัวเป็นใหญ่อีกครั้ง เรื่องนี้เกรงว่าเป็นเพราะพวกบรรพบุรุษไม่ทันได้ระวัง จึงได้สูญเสียมารดาไปมากมายเช่นนั้น

 

 

พอดีกับดวงตามังกรที่มู่เยี่ยนทำพังไปนั้น ตกลงมายังข้างเท้าของฉินเจา

 

 

ความจริงแล้วหลังจากที่ฉินอวิ๋นซินบอกกับพวกเขาว่านี่คือเส้นทางด้านหลังสำหรับหลบหนี เขาก็ได้หาโอกาสปิดกั้นมันไว้ พลันเกิดอาการคันไม้คันมือดึงดวงตาประตูออกเสียเลย แม้แต่โอกาสสุดท้ายก็ไม่ยอมเหลือไว้ให้พวกเขา

 

 

ในสมัยที่ฉินอวิ๋นซินต้องการหนี ฉินอวิ๋นลั่วได้แอบบอกเส้นทางลับนี้แก่นาง เพื่อให้นางได้แอบหนีออกจากที่นี่ไปได้ เนื่องจากฉินอวิ๋นลั่วไม่ต้องการเห็นตัวเองซ้ำเป็นครั้งที่สอง ในสมัยนั้นน่าหลันอี้จากไปแล้ว ฉินอวิ๋นลั่วยังไม่พบสถานที่แห่งนี้

 

 

“เจ้า…”

 

 

มู่หรงมู่กล่าว “คุณชายฉินคงเคยได้ยินวลีดังทางพุทธศาสนา วางดาบฆ่าคน บรรลุธรรมเป็นพุทธะ มาถึงขั้นนี้แล้ว ใยจักต้องลำบากดิ้นรนอีก” เขาไม่อยากให้มู่หรงชูอวิ๋นถูกพาตัวไปอีก

 

 

ฉินเจาเก็บสายตาของทุกคนประทับไว้ในสมองของตัวเอง กัดฟันเอ่ยว่า “ไม่ใช่เพราะพวกเจ้าบังคับข้าหรอกหรือ ก็อย่ามาโทษว่าข้าไร้น้ำใจแล้วกัน” ดูท่าเขาคงจะประเมินคนพวกนี้ต่ำไป

 

 

ยังไม่ทันยกข้อมือขึ้น ก็รู้สึกปวดร้าวไปทั้งหน้าอก แทงปลายดาบลงพื้นพยุงตัวไว้ มืออีกข้างปล่อยจากตัวมู่หรงชูอวิ๋น มากุมหน้าอกที่ทะลักปั่นป่วนไม่หยุด มองขลุ่ยที่หมอเทพเป่าอยู่อย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา ที่แท้ผู้สืบทอดการเลี้ยงหนอนกู่ที่หมอกู่พูดถึงก็อยู่ที่นี่ด้วย ว่าแล้วทำไมหมอกู่จึงใจดีนัก ความจริงเขาเข้าใจผิดแล้ว ที่หมอกู่พูดเป็นเรื่องจริง เพียงแต่มู่เยี่ยนมือไวกว่าแอบสับเปลี่ยนมันไปเสียก่อน

 

 

ผู้อาวุโสใหญ่รีบเข้ามาช่วยพยุงเขา “คุณชาย ท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”

 

 

เมื่อก่อนเขาคิดว่าฉินเจาโชคดีเหลือเกิน พ่อแม่ตายไปแล้ว ก็โชคดีได้ฉินสุยและภรรยารับอุปการะเลี้ยงดู แต่ตอนนี้เขารู้สึกเพียงความสงสาร เพราะอย่างไรแล้วฉินเจาเป็นลูกที่ถูกพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดทิ้งขว้าง

 

 

ฉินเจาปัดมือของผู้อาวุโสใหญ่ออก ดวงตาดำสนิทจ้องมองเฟิงหลีเลี่ยอย่างเย็นชา “เจ้าคิดว่าแค่นี้ข้าจะพ่ายแพ้เช่นนั้นหรือ?” แสยะมุมปากเอ่ยอย่างเย้ยหยัน

 

 

ทันใดนั้นร่องรอยของความกลัวได้ผุดขึ้นมาจากก้นบึ้งหัวใจของมู่หรงชูอวิ๋น ร้อนใจเสียจนน้ำตาเอ่อล้นขอบตา ทว่าไม่อาจเปล่งถ้อยคำออกมาได้แม้เพียงสักคำ เพียงแค่จะขยับตัวก็ยังทำไม่ได้

 

 

เฟิงหลีเลี่ยส่งกุยอวิ๋นไปอยู่ในอ้อมอกมู่หรงมู่ที่เฝ้ารอมานานแล้ว ทำเหมือนกับว่ามองไม่เห็นสายตาขัดข้องใจของเฟิงเยี่ยนเฉิง

 

 

ก่อนจะเงยหน้าหันไปทางฉินเจา แววตาของเขาแจ่มชัดแต่ไร้ซึ่งระลอกความรู้สึกใด เห็นแล้วทำให้รู้สึกเหมือนตกลงไปในห้องน้ำแข็ง “ดินปืนด้านอก เป็นเพียงของเด็กเล่นเท่าน้ัน”

 

 

คำพูดของเขาทำให้ฉินเจาที่พอมีหวังอยู่บ้างถูกโจมตีอย่างรุนแรงจนเนื้อตัวแตกยับเยิน ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขาสิ้นหวังเพียงใด ทุกอย่างที่มีได้ลอยหายไปกับสายลมแล้ว

 

 

ฉินเจายกมือขึ้น ช้าไปก้าวหนึ่งแล้ว ตรงหน้าวาบไหว มู่หรงชูอวิ๋นตกไปอยู่ในอ้อมอกของเฟิงหลีเลี่ยเสียแล้ว จึงทำได้เพียงกำฝ่ามือแน่น แล้วจับดาบชูขึ้นพุ่งตัวไปข้างหน้า มู่เยี่ยนรีบเข้ามาขวางไว้ สถานการณ์รอบด้านพลันเกิดความโกลาหล นิ้วมือเฟิงหลีเลี่ยอันเอิบอิ่มเต็มไปด้วยรอยด้านบรรจงเช็ดหยาดน้ำตาเม็ดเปล่งที่ทะลักออกมาจากหางตาของนาง “อย่ากลัว มีข้าอยู่” ต่อไปจะไม่ยอมให้ใครมารังแกเจ้าได้อีก

 

 

มู่หรงชูอวิ๋นไม่อาจกลั้นน้ำตาได้อีกต่อไป น้ำตาหลั่งรินดั่งสายฝนร่วงหล่นเป็นสาย โผเข้าใส่อ้อมกอดที่ทำให้นางรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยของเฟิงหลีเลี่ย “พี่ชายใหญ่”

 

 

เฟิงหลีเลี่ยลูบแผ่นหลังสั่นเทาร้องไห้สะอึกสะอื้นของนางอย่างเบามือ บรรจงลูบปลอบอย่างอ่อนโยนราวกับปลอบเด็กน้อย เฟิงเยี่ยนเฉิงกวาดตามองพวกเขาไปทีหนึ่ง บอกแล้วว่ามู่หรงชูอวิ๋นเป็นเด็กขี้แยร้องน้ำไห้น้ำมูกโป่ง อย่างไรแล้ววันนี้ก็เกิดเรื่องขึ้นมากมาย เกือบจะไม่ได้เจอหน้าพวกเขาแล้ว ก่อนจะหันไปจ้องมู่หรงมู่ที่ไม่เห็นองค์รัชทยาทอย่างเขา นั่นมันหลานชายของเขา นี่ก็นานมากแล้วยังไม่ยอมให้เขาได้อุ้มสักนิด กลับไปจะต้องทูลเสด็จพ่อให้ส่งมู่หรงมู่ไปประจำชายแดนตะวันตกเฉียงเหนืออันไกลโพ้น เช่นนั้นก็จะไม่มีคนมาแย่งหลานชายกับเขาแล้ว

 

 

เฟิงหลีเลี่ยกำลังจะพามู่หรงชูอวิ๋นออกไปให้พ้นจากสถานที่ฟุ้งคาวเลือดแบบนี้ ก็ได้ยินนางเอ่ยเสียงแผ่วเบา “พี่ชายใหญ่ อย่าฆ่าพวกเขา” นางไม่อยากให้มีคนตายเพราะนาง

 

 

เฟิงหลีเลี่ยมองนางแล้วนิ่งเงียบอยู่นาน คิ้วขมวดแน่น ก่อนจะรับปากนาง สำหรับเรื่องจะรอดหรือตายนั้นก็ขึ้นอยู่กับโชคในวันนี้ของพวกเขาแล้ว จากนั้นก็อุ้มนางจากไป เรื่องหลังจากนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเขาแล้ว เฟิงเยี่ยนเฉิงแย่งกุยอวิ๋นมาจากอ้อมอกของมู่หรงมู่ “แม่ทัพมู่ เรื่องที่นี่ขอมอบให้ท่านจัดการแล้วกัน อย่าทำให้ข้าและเสด็จพ่อผิดหวัง”

 

 

มู่หรงมู่กวาดตามองพวกเขาอย่างอารมณ์เสีย ก่อนจะเข้าไปร่วมการต่อสู้ ถึงตอนนี้ไม่ต้องคิดอะไรแล้วก็สามารถวางมือไปสะสางเรื่องตรงหน้าให้เกลี้ยง

 

 

ตอนที่ 432 หวนกลับมาพร้อมหน้าพร้อมตา

 

ฉินอวิ๋นซินวางถ้วยยาที่มีไอขาวลอยคลุ้งไว้ที่โต๊ะด้านข้าง พลางเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง “ยังไม่ฟื้นอีกหรือ?”

 

 

ตั้งแต่วันนั้นที่กลับมาจากแท่นบูชา มู่หรงชูอวิ๋นยังไม่ได้สติขึ้นมาเลย นี่ก็เข้าสู่วันที่สามแล้ว นางกลับไม่มีท่าทีจะฟื้นขึ้นมาเลยสักนิด หากไม่ใช่เพราะหมอเทพทั้งสองยืนยันว่ามู่หรงชูอวิ๋นไม่ได้เป็นอะไร เกรงว่าเขาคงเดือดร้อนใจจนกระโดดข้ามกำแพงไปแล้ว

 

 

เฟิงหลีเลี่ยส่ายหน้า หมอเทพบอกไว้ว่ามู่หรงชูอวิ๋นเป็นกังวลมากเกินไป สภาพจิตใจถูกทำร้ายอย่างหนัก รวมกับเรื่องที่เกิดขึ้นกระทันหันในวันนั้นด้วยแล้ว นางจึงรับไม่ไหวเป็นลมหมดสติไป

 

 

เฟิงหลีเลี่ยไม่เคยละสายตาไปจากมู่หรงชูอวิ๋นเลย สายตาจ้องติดอยู่บนร่างของนาง มือใหญ่ของเขากุมมือของนางไว้แน่น ส่วนกุยอวิ๋นเด็กน้อยผู้น่าสงสาร นานมากแล้วที่เฟิงหลีเลี่ยไม่ได้อุ้มเลย นอกจากช่วงเวลาที่มู่หรงชูอวิ๋นยังไม่ได้กลับมาอยู่ข้างกายเขาก็ได้อุ้มบ้าง แต่หลังจากนั้นมาก็ให้มู่หรงมู่และพวกช่วยดูแลแทน ในสายตาของเขามีเพียงมู่หรงชูอวิ๋นเท่านั้น จะแวบมาดูสักประเดี๋ยวก็ยังไม่มี เฟิงเยี่ยนเฉิงกลับรู้สึกไม่ติดใจเรื่องนี้ ตัดไปสักคนยิ่งดี จะได้ไม่มีคนมาแย่งหลานชายกับเขา แต่ว่าช่วงเวลาดีๆ มักมีอยู่ไม่นาน ไม่รู้ว่ามู่หรงไป๋มาถึงตั้งแต่เมื่อใด อุ้มกุยอวิ๋นไม่ยอมวาง อีกทั้งพูดกล่อมอยู่ตลอด เด็กดีไม่เสียแรงที่เป็นเมล็ดพันธ์ุของตระกูลมู่หรง หน้าตาเหมือนเขาราวกับแกะสลักออกมา เฟิงเยี่ยนเฉิงเดิมคิดจะคัดค้าน แต่พบว่าในที่นี่นอกจากตนและเฟิงหลีเย่แล้ว ที่เหลือก็เป็นคนตระกูลมู่หรงทั้งนั้น คิดอยากจะไปหาเฟิงหลีเลีี่ยให้ช่วย ใครจะไปคิดว่าเฟิงหลีเลี่ยกลับตำหนิตนมากลับมา อีกทั้งกำชับไม่ให้เขาเข้ามาอีก เขาจึงทำได้เพียงน้อยเนื้อต่ำใจแทบตาย

 

 

“เป็นเพราะข้าทำร้ายนาง หากไม่ใช่เพราะข้า นางคงไม่ต้องได้รับความลำบากมากมายเพียงนั้น ทำให้พวกเจ้าต้องแยกจากกันไปนาน” ฉินอวิ๋นซินมีน้ำตาเอ่อคลอมาที่ขอบตา เก็บกลั้นไว้ไม่ให้ไหลลงมา

 

 

เฟิงหลีเลี่ยไม่ได้ตอบโต้นาง เงียบอยู่นาน ส่วนที่ว่าผู้ใดผิดนั้น ไม่ว่าใครก็พูดได้ไม่ชัดเจน บางทีนี่อาจจะเป็นโชคชะตาที่ฟ้ากำหนดให้พวกเขา

 

 

“โอ๊ย!”

 

 

ได้ยินเสียงครางแผ่วเบา เสียง สายตาของคนทั้งสองเหลือบไปมองที่ใบหน้าของมู่หรงชูอวิ๋นทันที ฉินอวิ๋นซินสองมือกุมเกี่ยวกันแน่น ด้านในเต็มไปด้วยเหงื่อ นางกลัวว่ามู่หรงชูอวิ๋นจะไม่ยอมรับนาง วันนั้นนางคิดอยากจะอธิบายเรื่องราวกับมู่หรงชูอวิ๋นให้กระจ่าง แต่มู่หรงชูอวิ๋นหมดสติไปเสียก่อน

 

 

มู่หรงชูอวิ๋นลืมหนังตาหนักอึ้งขึ้นมา แสงสีขาวสว่างทำให้นางมองเห็นไม่ชัดว่าคนตรงหน้าคือใคร ตาแห้งจนรู้สึกแสบไปหมด จึงอดไม่ได้ที่จะกระพริบตาถี่ๆ กระทั่งเห็นชัดแล้วว่าเป็นผู้ใด นางร้องเรียกอย่างชะงักอึ้ง “พี่ชายใหญ่!” น้ำตาประกายใสดูน่าเวทนาไหลรินลงมา ตกลงบนมือของพวกเขาที่กุมจับกันไว้ ความอบอุ่นทำให้เฟิงหลีเลี่ยกระชับมือ “เจ้าเด็กโง่ อย่าร้องไห้” นี่เป็นครั้งแรกที่เฟิงหลีเลี่ยพูดว่านางโง่ เซ่อซ่าจนน่าสงสาร

 

 

ฉินอวิ๋นซินพลันรู้สึกว่าดูไม่ค่อยเหมาะที่ตนจะอยู่ตรงนี้ จึงแอบถอยออกไปเงียบๆ พร้อมกับช่วยปิดประตูให้พวกเขาด้วย พลางบอกกับพวกเด็กๆ ที่ชอบสร้างความวุ่นวายกลุ่มนั้นว่าอย่าทะเล่อทะล่าพรวดเข้าไปด้านใน

 

 

มู่หรงชูอวิ๋นซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของเฟิงหลีเลี่ย ร้องไห้อยู่นานกว่าจะหยุดลงได้ แต่ก็ยังสะอึกสะอื้นอยู่บ้าง

 

 

เงยหน้าที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตามองเฟิงหลีเลี่ย “พี่ชายใหญ่ ลูกของพวกเรา?” มู่หรงชูอวิ๋นเพิ่งจะนึกถึงเรื่องสำคัญนี้ได้ จึงเอ่ยถามอย่างระแวดระวัง

 

 

เฟิงหลีเลี่ยเจ็บปวดใจ ลูบแผ่นหลังปลอบโยนนางเบาๆ “เขามีชื่อว่ากุยอวิ๋น เป็นเด็กที่เชื่อฟังมาก หน้าตาเหมือนกับเจ้ามากจริงๆ” เวลาที่เขามองกุยอวิ๋นมักจะคิดถึงมู่หรงชูอวิ๋นเสมอ

 

 

หากมู่เยี่ยนมาได้ยินคงอดบ่นไม่ได้ เห็นชัดว่าเป็นเพราะพระองค์ไม่ชอบพูดคุยกับคนอื่น กุยอวิ๋นจึงทำได้เพียงดูดนิ้วตัวเอง ใครให้เขาเป็นพ่อที่ในใจมีแต่แม่ของลูกแต่ไม่มีลูกกันเล่า

 

 

มู่หรงชูอวิ๋นได้ยินกุยอวิ๋นสองคำนี้ ไม่อาจกลั้นเก็บได้อีก น้ำตาพลันไหลพราก กุยอวิ๋น กุยอวิ๋น เป็นความหมายว่ารอการกลับมาของอวิ๋นเอ๋อร์ นางไม่รู้ว่าช่วงเวลานั้นเฟิงหลีเลี่ยพูดสองคำนี้ออกมาด้วยความรู้สึกเยี่ยงไร

 

 

เฟิงหลีเลี่ยพบว่าตัวเองหมดท่าแล้ว จึงก้มหน้าลง ริมฝีปากชุ่มฉ่ำประทับลงบนขนตาสั่นคลอนเล็กน้อยของมู่หรงชูอวิ๋น

 

 

เฟิงหลีเลี่ยคิดว่าหลังจากมู่หรงชูอวิ๋นกลับมาแล้ว เขาจะได้ใช้ชีวิตที่มีภรรยาอยู่เคียงข้าง ซึ่งมู่เยี่ยนก็คิดเช่นเดียวกัน ทั้งยังคิดอยากหาภรรยาสักคน หลังจากเขาหน้าด้านไปเป็นพ่อเลี้ยงลูกของมู่เหยียนแล้ว เขาได้ตัดใจจากหลานเอ๋อร์โดยสิ้น อย่างไรแล้วบนโลกใบนี้มีผู้หญิงอีกมาก ใยจะต้องแอบรักข้างเดียวอยู่บนคานไม้เช่นนี้ด้วย

 

 

ความจริงเขาคิดมากไปเอง

 

 

เฟิงหลีเลี่ยเพิ่งจะก้าวเข้ามาในห้อง กวาดตามองภายในห้องที่ว่างเปล่าไม่มีผู้ใด เอ่ยถามเสียงเข้ม “พระชายาเล่า?” น้ำเสียงเย็นเยียบดั่งน้ำค้างแข็งเดือนสิบสอง เพียงลมพัดก็เสียดแทงเข้าถึงกระดูก

 

 

สาวใช้ตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว “พระชายาไปพระตำหนักเชิงเขากับองค์ชายน้อยเพคะ”

 

 

เฟิงหลีเลี่ยย่นคิ้วขมวด “เมื่อใด?”

 

 

“หลังมื้อเช้าก็ออกไปเพคะ” เฟิงหลีเลี่ยทำนางตกใจแทบร้องไห้แล้ว เหตุใดพระชายาจึงไม่อยู่ หากพระนางอยู่ ตนคงไม่ต้องมาเผชิญหน้ากับท่านอ๋องในสภาพเช่นนี้ เวลาอยู่ต่อหน้าพระชายาอ่อนโยนอย่างเห็นได้ชัด แต่ยามใดที่พระชายาไม่อยู่ก็จะเย็นชาจนยากจะเข้าใกล้

 

 

เฟิงหลีเลี่ยโมโหไม่พูดพร่ำทำเพลง ควบจี๋เฟิงม้าตัวโปรดที่ยังไม่ทันนำผูกเข้าคอกม้า ทยานออกไปก่อน มู่เยี่ยนรีบตามไป หนวดเป็นโบว์กระตุกสั่นอยู่หลายครา

 

 

ตั้งแต่มู่หรงชูอวิ๋นกลับมาก็หลงรักและตามใจกุยอวิ๋นมากเป็นพิเศษ เพราะต้องการชดเชยให้กับเขา แม้แต่เฟิงหลีเลี่ยเมื่อก่อนเป็นคนที่นางชอบมากที่สุดยังต้องหลบไปอยู่ด้านข้าง คนทั้งสองก็ไม่ได้มีลูกอีกคน เนื่องจากเฟิงหลีเลี่ยไม่อาจทนรับวันเวลาที่ต้องสูญเสียมู่หรงชูอวิ๋นไปได้อีก ลูกเป็นสิ่งที่ใช้ชีวิตของนางแลกมา เขาไม่ยอมเด็ดขาด ต่อให้มู่หรงชูอวิ๋นจะดื้นลงไปกลิ้งปากสบถคำรุนแรง เฟิงหลีเลี่ยก็จะยืนหยัดในการตัดสินใจของตัวเอง ไม่ยอมโอนอ่อนเป็นอันขาด มีครั้งหนึ่งเฟิงหลีเลี่ยดุกุยอวิ๋น และมู่หรงชูอวิ๋นบังเอิญมาเห็นเข้า นางได้เห็นลูกชายส่งสายตาน่าสงสารมองมาทางตนเอง โกรธเฟิงหลีเลี่ยขึ้นมาทันที ไม่พูดจาหอบกุยอวิ๋นกลับบ้านแม่ตัวเอง เป็นเวลาสองเดือนเต็มไม่ยอมกลับตำหนัก แม้ฮ่องเฮาจะแอบเปรยให้มู่หรงชูอวิ๋นยอมย้ายกลับมา แต่เมื่อน่าหลันฉิงผู้ที่รู้สึกผิดต่อเฟิงหลีเลี่ยมาโดยตลอดได้ทราบสาเหตุก็พามู่หรงชูอวิ๋นและกุยอวิ๋นเข้าไปพักในวังอยู่ช่วงหนึ่งเป็นเวลานาน

 

 

แม่คนอื่นเขาต่างก็สอนลูกอ่านหนังสือศึกษาตัวอักษร แต่มู่หรงชูอวิ๋นกลับพากุยอวิ๋นปีนต้นไม้แหย่รังนก ปลาในสระที่เฟิงหลีเลี่ยเลี้ยงไว้ล้วนเป็นปลาที่เหล่าขุนนางและเศรษฐีนำมาถวาย ทว่าเวลานี้ถูกพวกนางจับขึ้นมาย่างกิน เมื่อเฟิงหลีเลี่ยกลับจากประชุมเห็นมู่หรงชูอวิ๋นและกุยอวิ๋นราวกับลูกแมวสองตัวที่ไม่รู้ว่าวิ่งมาจากที่ใด ผู้คนต่างคิดว่าครั้งนี้มู่หรงชูอวิ๋นจะต้องถูกตำหนิเป็นแน่แล้ว แม้แต่กุยอวิ๋นที่คอยหลบอยู่หลังมู่หรงชูอวิ๋นมาตลอดก็ยังหดหัวอย่างระแวดระวังไปด้วย กลัวว่าหากโผล่หน้าออกมาจะโดนโทษ จึงเก็บร่างเล็กของตัวเองแอบประชิดข้างหลังมู่หรงชูอวิ๋นขึ้นอีกหลายส่วน เวลานี้คนที่จะปกป้องเขาได้ก็มีเพียงเสด็จแม่ที่ไม่หวาดกลัวต่อฟ้าดินผู้นี้เท่านั้น นางเป็นคนที่ชอบธรรมที่สุด ใครจะรู้ว่ามู่หรงชูอวิ๋นเพียงแต่ตกใจเล็กน้อย จูงมือเฟิงหลีเลี่ยดังเทพสวรรค์พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พี่ชายใหญ่ ท่านช่วยข้าย่างได้ไหม ข้าทำไม่เป็นเจ้าค่ะ” เฟิงหลีเลี่ยกวาดตามองเสื้อผ้าสีขาวที่เลอะเปื้อนด้วยฝีมือของนาง ทว่าไม่แสดงอาการหงุดหงิดเลยสักนิด ก่อนจะนั่งลงด้วยท่วงท่าสง่างาม ช่วยก่อไฟที่สองแม่ลูกพยายามทำอยู่นานสองนาน

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ายิ่งหลงรักกุยอวิ๋นมากขึ้นอีก แม้แต่ลูกที่เกิดจากมู่หรงสิงและเยียนหรูเสวี่ยก็ยังเทียบไม่ได้ถึงครึ่ง ทุกครั้งเวลาที่กุยอวิ๋นกลับมานางจะอุ้มไว้ในอ้อมอก เอ่ยประโยคหนึ่งด้วยความรักและเมตตาไม่หยุด “เหลนตัวน้อย ในที่สุดเจ้าก็มาหายายทวดแล้ว” ราวกับเด็กน้อยที่กำลังแง่งอน เมื่อก่อนนางรังเกียจที่มู่หรงจางชอบทำเช่นนี้ บัดนี้นางเองก็เป็นเช่นนี้ ทุกครั้งเวลาที่มู่หรงชูอวิ๋นเห็นกุยอวิ๋นไปฟุบอยู่ในอ้อมอกของฮูหยินผู้เฒ่า ก็มักจะตำหนิเขา อย่างไรเสียฮูหยินผู้เฒ่าก็อายุมากแล้ว ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไร เดิมทีบอกว่าจะออกไปเดินเล่นกับมู่หรงจาง แต่เมื่อเห็นเหลนชายของตนเองมาก็บอกว่าไปเดินด้วยไม่ไหวแล้ว การดูแลสุขภาพให้แข็งแรงอายุยืนยาวนั้นสำคัญกว่าเรื่องใด สิ่งที่ยากที่สุดสำหรับครอบครัวหนึ่งก็คือการได้อยู่ด้วยกัน และใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุข

 

 

เนื่องจากตระกูลซูเป็นพรรคพวกของท่านอ๋องรอง หลังจากเฟิงหรงสวี่ขึ้นครองราชย์ ได้โค่นล้มอำนาจของพวกเขาจนหมด จ้างงานคนที่ครอบครัวยากจนจำนวนมาก ชำระล้างราชสำนักจนสะอาด เฟิงหรงสวี่มีความสุขกับการได้เดินเล่น ไม่ต้องมีตาเฒ่ามาตามเร่งรัดให้ไปเติมเต็มวังหลังทุกวี่วัน มู่หรงอิงรับซูซื่อกลับไป คนทั้งสองต่างคนต่างก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องเก่า ต่างก็ใช้ชีวิตให้ผ่านไปในแต่ละวัน

 

 

ทว่าคนที่รักและตามใจกุยอวิ๋นที่สุดก็คืออาเล็กที่คอยทำเรื่องเล็กน้อยให้กับเขา ทุกวันจะใช้อำนาจส่วนตัวสั่งให้คนนำของอร่อยไปให้กุยอวิ๋น สอนกุยอวิ๋นเขียนอ่านหนังสือ หากไม่ใช่เพราะอายุใกล้กัน คนอื่นคงจะคิดว่าเฟิงเยี่ยนเฉิงเป็นบิดาของกุยอวิ๋นเสียเองแล้ว

 

 

วันนั้นฉินเจาเห็นสถานการณ์เสียท่าแล้ว ในจังหวะที่พวกเขาไม่ทันได้ระวัง หยิบดาบแทงทะลุหน้าอกของตัวเอง เซล้มลงไปกองข้างเรือนร่างของฉินสุยและภรรยา

 

 

ส่วนคนอื่นๆ เฟิงหลีเลี่ยก็ไม่ได้ลำบากพวกเขามากมาย เพราะอย่างไรแล้วเขาก็ได้รับปากกับมู่หรงชูอวิ๋นแล้ว

 

 

ตอนที่ 433 เฟิงหลีเลี่ย

 

ข้ามีนามว่าเฟิงหลีเลี่ย ช่วงก่อนที่ข้าจะหกขวบยังไม่รู้ว่าตัวเองมีชื่อว่าอะไร และไม่รู้ว่าสิ่งใดคือการพูด ข้าเคยเลียนแบบเสียงร้องของนกบนต้นไม้ ข้ารู้สึกว่าเสียงของมันไพเราะกว่าเสียงของข้า และยังเคยเลียนเสียงร้องของนกที่มีสีดำทั้งตัว แม่นมใบ้ได้ยินแล้วน้ำตาก็ไหล เอามือปิดปากห้ามไม่ให้เขาร้อง เสียงของพวกมันไพเราะกว่าผู้หญิงในห้องคนนั้นที่มักจะดึงผมของเขาอยู่ทุกเมื่อ เขาเคยคิดว่าสักวันร่างกายของเขาจะมีขนนกงอกออกมา เขาจะได้โบยบินไปพร้อมกับพวกมัน หนีไปให้ไกลจากสถานที่แห่งนี้ ไม่ให้พวกเขาตามหาเจอ มีครั้งหนึ่งเขาเคยมุดไปอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่อันเขียวขจี แสงแดดอันเกียจคร้านสาดส่องจนเขาเคลิ้มหลับไป

 

 

กระทั่งเขาตื่นขึ้นมา แสงตะวันรอนสาดสะท้อนไปทั่วทั้งวังเย็นแห่งนี้ เขาอดไม่ได้ยื่นมือออกไปสัมผัส นี่เป็นสิ่งที่เขาชอบที่สุด

 

 

“กรีด…” เสียงกรีดร้องโหยหวนใต้ต้นไม้ได้ดึงจิตนาการของเขากลับมา ผู้หญิงเสียสติคนนั้นเริ่มกรีดร้องอีกแล้ว เอาแต่ตะโกนร้อง “ลูกของข้า ลูกของข้า” เห็นแม่นมใบ้ที่กว่าจะจัดการเก็บของเข้าที่เรียบร้อยได้ไม่ง่ายเลย ตอนนี้ของทุกอย่างกระจัดกระจายเต็มพื้นอีกแล้ว ผลไม้ที่เขาและแม่นมใบ้ช่วยกันเก็บมาตกกระจายเต็มพื้น เขาโมโหจนกระโดดลงมาจากต้นไม้ เข้าไปผลักผู้หญิงคนนั้นอย่างแรง สายตาเปี่ยมไปด้วยความโกรธเคือง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาโมโห ตอนแรกผู้หญิงคนนั้นได้เห็นเขาก็ชอบเขามาก แววตาซับซ้อนจนทำให้เขามองไม่เข้าใจ แต่วินาทีถัดมาก็คือสิ่งที่เขาหวาดกลัวที่สุด ผู้หญิงคนนั้นก็หยิบไม้กระบองด้ามหนึ่งขึ้นมา แล้วตีกระหน่ำลงบนร่างกายของเขา ทว่าเขากลับไร้ความรู้สึกเจ็บปวด เนื่องจากแทบจะทุกวันที่เขาถูกกระทำเช่นนี้ จนเขาชินชาเห็นเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว

 

 

ก่อนหน้าที่ผู้หญิงสติฟั่นเฟืองคนนั้นจะหายไป เขาเห็นนางล้มลงไปกับพื้น ปากสำลักฟองสีขาว ดูน่าสยดสยองเป็นที่สุด เขาเห็นนางนอนอยู่กับพื้นในสภาพที่น่าสังเวทเป็นที่สุด คล้ายกับฟุบลงไปกองอยู่กับพื้นไม่อาจลุกขึ้นได้ด้วยตัวเอง เดิมคิดอยากจะยื่นมือไปพยุงนางลุกขึ้น แต่ได้เห็นมือของนางที่ยื่นออกมา เขาก็วิ่งหนีออกไปไกล เพราะเขาคิดถึงว่าเมื่อไม่นานมานี้มือคู่นั้นได้บีบคอของเขาแทบตาย เขาที่วิ่งหนีออกไปไม่ทันได้เห็นผู้หญิงคนนั้นมีน้ำตาแห่งความขมขื่นไหลออกมา ปากพึมพำไม่หยุด “ลูกรัก อย่าไป แม่ผิดไปแล้ว…”

 

 

ทว่าตอนที่เขารู้สึกปวดท้อง ลำไส้บิดเบียดทรมานจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ เขาทอดมองด้วยความสิ้นหวังไปทางแม่นมใบ้ที่คอยปกป้องเขามาโดยตลอด แล้วผลักนางออกสุดแรง วิ่งโซซัดโซเซออกนอกประตูไป ทุกคนที่นี่ไม่มีใครชอบเขาทั้งนั้น แม้แต่แม่นมใบ้ก็เช่นเดียวกัน บางทีเขาจากไปเสียทุกอย่างคงจะดีกว่านี้

 

 

เขาวิ่งไปชนกับคนที่ตัวเท่ากันกับเขาคนหนึ่ง เพียงแต่ใบหน้าของเขาคว่ำลงไป เส้นผมยุ่งเหยิงกระจัดกระจายอยู่ที่แผ่นหลัง ทว่าคนที่ตัวเล็กกว่าเขามีผิวพรรณขาวใสใบหน้าละเอียดอ่อน เส้นผมได้รับการดูแลจัดแต่งอย่างพิถีพิถัน สิ่งที่ไหลลงมาจากตาของเขามันร้อนมาก แม้แต่จะร้องออกมายังร้อนผ่าวไปทั่วทั้งหน้าอก คล้ายกับมีแผ่นเหล็กร้อนแผดเผาอยู่ตรงน้ัน

 

 

จากนั้นมาเขาก็มีชื่อเป็นของตัวเอง เรื่องราวตอนที่เขาอยู่ในวังเย็นคล้ายกับหมอกควันที่จางหายไปจนสิ้นในชั่วพริบตา แม้ว่าจะมีคนจำนวนไม่น้อยคอยย้ำเตือนสติให้เขาจำเรื่องราวเหล่านั้น แต่คนที่เขาอิจฉาที่สุดก็คือเฟิงหลีเย่ มารดาของเขาคือพระสนมเซียว ทุกวันนางจะลูบใบหน้ารูบไข่ของเขาด้วยความอ่อนโยน เอ่ยถามว่าเขาเหนื่อยหรือไม่ ไหนเลยจะเหมือนกับผู้หญิงเสียสติให้ห้องกว้างใหญ่นั่นที่เกือบจะบีบคอเขาจนตายไปแล้ว พระสนมเซียวกอดเฟิงหลีเย่ไว้ในอ้อมอก บีบปลายจมูกเขาอย่างสนิทสนม แต่ตัวเขากลับเป็นเหมือนพวกถ้ำมอง ได้แต่แอบมองทุกอย่างนี้ คนหนึ่งก็คือมารดาเลี้ยงของเขา และอีกคนก็คือคนที่เขาพูดกันว่าเป็นพระบิดาผู้ให้กำเนิดเขา

 

 

มีอยู่ครั้งหนึ่งในงานเลี้ยงเทศกาลไหว้พระจันทร์ ในวันนั้นมีผู้คนมาร่วมงานมากมาย เนื่องจากเขาได้ยินคนพวกนั้นพูดจาหัวเราะเยาะเขาอยู่หลายครั้ง เขาจึงไม่ได้พูดคุยอะไรกับพวกเขา เพราะเขารู้ตัวว่าตนแตกต่างจากพวกเขา

 

 

ทว่าเขากลับเห็นเด็กผู้หญิงสวยมากคนหนึ่ง สวยยิ่งกว่าผู้หญิงในภาพวาดที่เขาเคยเห็นมาเสียอีก ความจริงเขามองเห็นนางตั้งแต่วินาทีแรกที่นางปรากฎตัวออกมาแล้ว นางยิ้มตาหยี แก้มมีลักยิ้มบุ๋มลงไป แม้แต่คิ้วก็ยังเป็นเสี้ยวโค้ง

 

 

มู่หรงชูอวิ๋นกระพริบดวงตาเป็นประกายไร้เดียงสา มองเฟิงหลีเลี่ยที่โดนผลักลงไปกองกับพื้นต่อหน้าของนาง “เจ้าลุกไหวไหม? ให้ช่วยดึงเจ้าไหม?” พูดจบก็ยื่นแขนอวบอิ่มของนางออกไป

 

 

ฝูงชนข้างหลังตะโกนเสียงดัง “ยัยปัญญาอ่อนเล่นกับคนที่ไม่มีใครต้องการ” ตะโกนแล้วก็พากันหัวเราะเสียงดังลั่น

 

 

เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกเกลียดชังคนกลุ่มนั้น แทบอยากกดพวกเขาลงกับพื้นแล้วกระหน่ำชกพวกเขาแรงๆ เขารู้ว่าตัวเองเป็นเด็กที่ไม่มีใครต้องการ แต่เขาไม่รู้สึกว่าคนตรงหน้าของเขา คนที่มีรอยยิ้มดูดีราวกับแสงตะวันในฤดูเหมันต์ผู้นั้นจะเป็นคนปัญญาอ่อน คนที่ดีขนาดนั้นจะเป็นยัยปัญญาอ่อนได้อย่างไร เขาจับผลัดจับผลูใช้มือของเขาเช็ดเสื้อผ้าอยู่หลายที เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีตรงไหนสกปรก จึงยื่นมือไปจับมืออวบอิ่มของนาง อ่อนนุ่มให้ความรู้สึกสบายเป็นที่สุด จนเขาไม่อยากจะปล่อยมือ แล้วนิ้วมือทั้งสิบก็สอดประสานเข้าด้วยกันอย่างไม่รู้ตัว

 

 

มู่หรงชูอวิ๋นกระพริบดวงตากลมโตที่วูบไหวเป็นประกาย มืออีกข้างที่ว่างอยู่ล้วงไปหยิบเค้กดอกไม้สีขาวสองชิ้นออกมาจากถุงผ้าเล็กกระทัดรัด “เจ้าอยากกินไหม? พ่อของข้าเอากลับมาจากสถานที่อันไกลโพ้น อร่อยมากเลยนะ”

 

 

เฟิงหลีเลี่ยรับเค้กดอกไม้ที่แตกเล็กน้อยจากมือของนางแล้วยัดเข้าปาก ให้รสชาติสัมผัสของความหอมหวาน แม้แต่กลิ่นหอมของนมก็หอมหวานเป็นพิเศษ นี่เป็นของที่อร่อยที่สุดที่เขาเคยกิน

 

 

ทว่าผ่านไปเพียงไม่นาน เด็กผู้ชายที่สวมชุดแต่งกายหรูหราคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามา มู่หรงชูอวิ๋นปล่อยมือออกจากเขา แล้วไปกุมมือของคนคนนั้น ร้องเรียกเสียงอ่อนเสียงหวาน “พี่รอง พี่ไปหลบอยู่ที่ไหนแล้ว? อวิ๋นเอ๋อร์ตามหาท่านอยู่นานก็หาไม่เจอ นี่คือเพื่อนที่ข้าเพิ่งรู้จัก เขาไม่ได้เรียกข้าว่ายัยปัญญาอ่อน” ความไม่พอใจจางๆ คล้ายกับเสียงอ้อนเหมือนเด็ก สีหน้าสดใสมีชีวิตชีวา เขาอดมองเหม่อไม่ได้

 

 

มู่หรงมู่ได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว ส่งสายตาระแวดระวังเหลือบมองเฟิงหลีเลี่ย “ท่านย่าและท่านปู่เรียกหาเจ้านานแล้วคงจะร้อนใจกันไปหมดแล้วล่ะ” พูดจบก็จูงมือมู่หรงชูอวิ๋นกลับไปยังเส้นทางที่เขาเพิ่งมา ก่อนเข้าวังหลวงท่านย่าได้มอบหน้าที่ให้เขาคอยดูแลมู่หรงชูอวิ๋น

 

 

มู่หรงชูอวิ๋นถูกดึงให้เดินไปอย่างรวดเร็ว หันหน้ากลับมาตะโกนบอกเฟิงหลีเลี่ยที่ยังคงยื่นนิ่งอยู่ที่เดิม “ข้าชื่ออวิ๋นเอ๋อร์ เจ้าชื่ออันใด? ครั้งหน้าข้าจะมาเล่นกับเจ้าใหม่นะ”

 

 

คำตอบว่าข้าชื่อเฟิงหลีเลี่ยในตอนนั้นของเฟิงหลีเลี่ยติดอยู่ที่ลำคอของเขา แล้วพวกเขาก็หายไปไม่เห็นอีกเลย อวิ๋นเอ๋อร์ชื่อนี้ประทับอยู่ในใจของเขามาโดยตลอด เขาได้แต่เฝ้ารอคนที่ชื่อว่า “อวิ๋นเอ๋อร์” มาเล่นกับเขาอีก แม้แต่เก็บไปฝันหลายร้อยพันครั้ง แต่ก็ไม่เคยเห็นนางปรากฎตัวมาอีกเลย ราวกับว่าคนที่ชื่ออวิ๋นเอ๋อร์นั่นเคยปรากฎตัวในความฝันเท่านั้น

 

 

ในวันนั้นที่ป่าเขาอันห่างไกล เขาได้พบกับดวงตาที่ปรากฎอยู่ในความฝันของเขาเป็นพันครั้งอย่างอดไม่ได้ ได้เห็นว่านางเกือบจะโดนคนร้ายสองคนนั้นทำร้ายเสียแล้ว เขาโมโหมาก เพลิงโกรธพุ่งทะลุฟ้า ทว่าสีหน้าของเขาไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ ให้เห็นเลย

 

 

ได้เห็นใบหน้าของนางเปื้อนดินโคลน แขนถลอกเป็นแผล ทว่าไม่อาจเดินขึ้นหน้าไปหาได้ เพราะเขาพบว่าในสายตาของมู่หรงชูอวิ๋นที่มองเขาเป็นเพียงคนแปลกหน้า หนำซ้ำยังแฝงไปด้วยสายตาสำรวจอย่างระแวดระวัง ไม่มีความประหลาดใจเลยแม้แต่น้อยที่ได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง นางลืมแล้ว ลืมว่านางเคยสัญญาจะกลับมาหาเพื่อนใหม่คนหนึ่งของนาง

 

 

ในที่สุดเขาก็ได้รู้จักชื่อของนางจากปากของเฟิงหลีเย่ เป็นชื่อที่ไพเราะมาก เหมือนกับความเป็นตัวนาง ปุยเมฆแรกแย้ม สุกใสสะดุดตา

 

 

ตอนที่เสี่ยวฮุยฮุยกระโดดเข้ามาอยู่อกของเขานั้น เขาตบลูบมันเบาๆ เพื่อปลอบโยนไม่ให้มันหวาดกลัว เมื่อนำกลับมาด้วยก็ได้ตั้งชื่อให้มันตามชื่อที่นางตั้งไว้

ตอนที่ 434 ฉินอวิ๋นลั่วและน่าหลันอี้

 

 

ฉินอวิ๋นลั่วลงเขาไปเก็บสมุนไพรเหมือนทุกวันที่ผ่านมา เมื่อวานนางเพิ่งร่ำเรียนตำหรับยาแขนงหนึ่งจากท่านอาจารย์ ทว่ายังขาดยาไปตัวหนึ่ง ใจรีบร้อนดั่งไฟอยากจะรู้ผลของมัน ฟ้าเพิ่งจะสางเห็นหมอกสีขาวนางก็ลงเขามาเสียแล้ว

 

 

ทอดมองดวงอาทิตย์ที่กำลังเคลื่อนคล้อยไปทางทิศตะวันตก นางก็ยังหาสมุนไพรทำยาตัวนั้นไม่พบ รู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง ดูท่าคงต้องเป็นครั้งหน้าเสียแล้ว เช็ดเหงื่อที่ปลายหน้าผาก จากนั้นก็เดินไปตามปลายเขา ขาซ้ายพลันหนักอึ้งดั่งทองพันชั่งยกไม่ขึ้น เมื่อนางก้มหน้ามองไปไม่รู้ว่ามือที่ไหนมาจับข้อเท้าของนางไว้แน่น นางตกใจสะดุดล้มลงไปกับพื้น สายตามองจ้องคนที่มีเลือดท่วมกาย อยากจะหนีทันที ทว่านางยิ่งขยับมือที่จับข้อเท้าของนางก็ยิ่งออกแรงมากขึ้น แทบจะบีบข้อเท้าของนางจนหักไปแล้ว

 

 

คนผู้นั้นยกหนังตาขึ้นด้วยความยากลำบาก หน้าของเขาเปื้อนไปด้วยเลือดจนมองเค้าโครงเดิมไม่ออก “ช่วยด้วย…” พูดจบก็ฟุบลงไปกองกับพื้น

 

 

ฉินอวิ๋นลั่วรู้สึกได้ว่าข้อเท้าของนางถูกปล่อยแล้ว ตะกร้าเก็บสมุนไพรก็ไม่อยากได้แล้ว รีบวิ่งลงปลายเขาไปไม่หันหน้ากลับมามอง อย่างไรแล้วการที่เขามีเลือดท่วมตัวเช่นนี้แสดงว่าต้องเป็นคนไม่ดีแน่ หากไม่ถูกตามฆ่า ก็ต้องเป็นผู้ร้ายเดนตาย

 

 

กระทั่งวิ่งมาถึงช่วงกลางของภูเขา หันหน้ากลับไปมองไม่เห็นมีใครตามมาแล้ว จึงจะกล้าไปพิงอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ หอบหายใจสุดชีวิต หลังของนางเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ หัวใจเต้นตูมตามแทบจะกระเด็นออกมา

 

 

พอหายใจได้สะดวกขึ้น ยังไม่ทันก้าวเดินได้เท่าไรก็ต้องชะงักลง นางฉุกคิดถึงคำสอนของท่านอาจารย์ ช่วยชีวิตคนเท่ากับการกอบกู้ของตนเอง ผู้เป็นหมอไม่ควรปฏิเสธที่จะช่วยเหลือคนไข้ที่เป็นโจรหรืออาชญากร ทุกคนล้วนมีชีวิต คำสอนนี้ก้องอยู่ในหัวของนางหลายรอบ สุดท้ายก็ตัดสินใจกลับขึ้นเขาไป คนผู้นั้นยังคงนอนแน่นิ่งอยู่เช่นเดิม สมุนไพรในตะกร้าไม่ไผ่ยังคงหกกระจายอยู่ในก่อหญ้าเหมือนกับตอนที่นางวิ่งนี้ไปเช่นนั้น

 

 

นางยื่นมือไปทดสอบลมหายใจของเขาด้วยความระแวดระวัง พบว่าเขายังมีลมหายใจอยู่ ท้องฟ้าปรอดโปร่งเมื่อครู่บทจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนไปกระทันหัน เกิดลมพายุอย่างคาดไม่ถึง แล้วฝนก็กระหน่ำมีเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่า ฉินอวิ๋นลั่วลากคนผู้นั้นด้วยความทุลักทุเล เพื่อไปยังถ้ำแห่งหนึ่งที่นางมักจะเข้าไปพักผ่อนยามที่เก็บสมุนไพรจนค่ำ ขณะที่นางช่วยเขาจัดการบาดแผล ก็พบว่ารอยมีดเต็มตัวยังเป็นแผลสด อีกทั้งแผลเริ่มเน่าแล้ว เมื่อนางปลดเสื้อผ้าของเขาออกก็ได้พบกับแผ่นหยกแปลกประหลาดชิ้นหนึ่ง จากนั้นจึงนำไปกองรวมไว้กับเสื้อผ้าของเขา

 

 

ผ่านไปสามวันเขาถึงได้สติฟื้นขึ้นมา ไข้ก็ลดลงแล้ว เมื่อตื่นขึ้นมาสายตาคมกริบดั่งวังน้ำวนคู่นั้นได้มองจ้องนางลึกลงไป หลังจากฉินอวิ๋นลั่วแน่ใจแล้วว่าเขาเป็นคนดี ช่วงเวลานี้นางจึงมักจะขึ้นเขาเพื่อมาดูแลเขา

 

 

ทุกวันนางชอบเท้าคาง มองดูเขาจับกระบี่ร่ายรำอย่างสง่างาม นางไม่เคยเห็นใครสามารถฝึกดาบได้งดงามเพียงนี้มาก่อนเลย คล่องแคล่วดั่งสายน้ำไหล

 

 

กระทั่งวันหนึ่งเขาจะต้องจากไปชั่วคราว เขาจึงมอบแผ่นหยกนี้ให้กับฉินอวิ๋นลั่ว เขาบอกว่านี่เป็นแผ่นหยกที่ท่านแม่มอบให้เขา เพื่อให้เขามอบมันให้กับภรรยาในอนาคต ฉินอวิ๋นลั่วรู้ว่าเขาต้องการไปแก้แค้น ไปหาตัวคนที่บังคับให้เขาต้องตกจากหน้าผามา ฉินอวิ๋นลั่วเป็นห่วงเขามาก แต่ก็ทำได้เพียงมองเขาจากไป ความเขินอายได้ถูกความเป็นกังวลปกคลุมไว้จนสิ้น

 

 

ตอนที่น่าหลันอี้กลับมาเนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือด ร่างกายมีแผลเล็กแผลใหญ่เต็มไปหมด ฉินอวิ๋นลั่วไม่รู้ว่าเขาไปเจอกับสิ่งใดมาบ้าง ได้เพียงช่วยเขาจัดการบาดแผลอยู่เงียบๆ ทำแผลให้อย่างเบามือที่สุดเพราะกลัวว่าจะไปโดนบาดแผลของเขา

 

 

มีอยู่วันหนึ่งที่นางลงเขามา ได้เห็นชายผู้หนึ่งยืนตัวตรงอยู่ข้างท่านอาจารย์ของนาง ความรู้สึกยินดีปลาบปลื้มพลันต้องตกลงก้นหุบเขา เมื่อนางได้ทราบว่าชายผู้นั้นมาเพื่อรับตัวนางกลับไป แต่สิ่งที่ทำให้นางยิ่งรู้สึกสิ้นหวังก็คือ เขาไม่เคยถามความยินยอมของนางแม้แต่น้อย ก็ตกลงให้นางแต่งงานกับผู้ชายที่ไม่เคยพบหน้า เพียงเพราะเขาคนนั้นมีพรสวรรค์

 

 

นางวิ่งกลับเข้าไปในป่าบอกให้น่าหลันอี้พานางหนีไป น่าหลันอี้ไม่รู้ว่านางมีเรื่องอะไร แม้ว่าที่นี่จะปลอดภัยมาก แต่เขาก็ตกลงรับปากนาง

 

 

ตอนที่พวกเขากำลังจะหนีออกไปได้ นางไม่ทันระวังไปเหยียบค่ายกลหนึ่งเข้า กระบี่เต็มฟ้าพุ่งตกลงมาดั่งสายฝน น่าหลันอี้ต้องการปกป้องนาง หัวไหล่ข้างหนึ่งถูกยิงได้รับบาดเจ็บ

 

 

ฉินอวิ๋นลั่วมองเห็นคับคล้ายคับคลาว่ามีคบเพลิงเป็นผืนสีแดงกำลังใกล้เข้ามาถึงพวกเขา จึงเร่งให้น่าหลันอี้หนีไปก่อน

 

 

น่าหลันอี้รู้ว่าวันนี้ไม่อาจพานางกลับไปด้วยได้แล้ว หากจะรั้งอยู่ที่ป่าเขียวก็เกรงว่าจะไม่มีฟืนไฟ จึงได้หนีไปก่อน ทว่าได้บอกกับนางว่าเขาจะต้องกลับมาพานางออกไปแน่

 

 

เมื่อได้รู้ว่านางทำเรื่องเช่นนี้ ต้องการจะหนีตามผู้ชายไป คนที่นางเรียกว่าท่านพ่อคนนั้นได้ตบหน้าของนางอย่างแรง ชี้ปลายดาบอันเป็นสัญลักษณ์ของหัวหน้าชนเผ่ามาที่นาง ทว่าสุดท้ายนางก็ได้ถูกคนที่นางเกลียดชังที่สุดช่วยชีวิตเอาไว้

 

 

ผู้อาวุโสเจ็ดมองฉินอวิ๋นลั่วที่นับวันก็ยิ่งผอมโซ จึงเอ่ยพูดอย่างไม่เต็มใจ “เขาดีถึงเพียงนั้นเลยหรือ? ถึงทำให้เจ้าไม่อยากได้แม้แต่ชีวิต”

 

 

ฉินอวิ๋นลั่วไม่ตอบเขา ได้แต่มองเขาด้วยสายตาเย็นชาแล้วเดินจากไป ความดีของน่าหลันอี้ มีเพียงนางที่รู้ นางกำลังรอให้น่าหลันอี้กลับมาช่วยนาง ซึ่งก็เป็นอย่างที่นางคิดไว้ ไม่นานน่าหลันอี้ก็พาคนกลุ่มหนึ่งบุกเข้ามาช่วยนาง ขณะที่มือของพวกเขาใกล้จะได้สัมผัสกัน นางเห็นปลายกระบี่ของชายคู่หมั้นแทงทะลุหน้าอกของเขา พ่นโลหิตซาดกระเซ็นไปบนบุปผาหงส์ไฟ สีแดงเร้าร้อนดั่งดวงอาทิตย์ วินาทีที่เขาฟุบลงกับพื้น นางหันหน้ากลับไปมองท่านอาจารย์ด้วยแววตาเสียใจอย่างสุดซึ้ง ตั้งแต่ต้นจนจบนางไม่ได้เหลือบมองพ่อแม่ที่เลี้ยงดูนางเลย แม้กระทั่งวินาทีที่นางตัดสินใจกระโดดหน้าผาจบชีวิตก็ตาม ชีวิตนี้เสียใจไม่อาจทดแทนบุญคุณได้ หวังว่าชาติหน้าคงได้มีโอกาสชดใช้แทน

 

 

ผู้อาวุโสเจ็ดรู้สึกผิดเป็นที่สุด หลังจากที่ทุกคนจากไปแล้ว เขาคุกเข่าอยู่ในหมู่บุปผาหงส์ไฟ เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะสังหารน่าหลันอี้ ตนเพียงแต่ต้องการประลองกับเขา เพื่อพิสูจน์อย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมาว่าผู้ใดจะได้ครอบครองฉินอวิ๋นลั่ว แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดกระบี่ของเขากลับยื่นใส่น่าหลันอี้ เพราะเท้าของเขาเสียหลัก ปลายกระบี่จึงตรงเข้าแทงทะลุหน้าอกของเขาเสียแล้ว ผู้อาวุโสเจ็ดได้พยายามอย่างยากลำบากสุดท้ายก็สามารถหาศพของพวกเขาทั้งสองจนเจอ เก็บกลั้นความทุกข์ใจฝังร่างของพวกเขาไว้ด้วยกัน ทุกวันเก็บตัวอยู่ในแท่นบูชาเพื่อสวดมนต์ขอพรให้พวกเขา หวังว่าชาติหน้าพวกเขาจะไม่ต้องพบเจอกับความทุกข์ตรมเช่นนี้อีก

 

 

 

 

 

ตอนที่ 435 อวสาน

 

 

“เฟิงหลีเย่ ท่านรีบเปิดผ้าคลุมหน้าสิ ไม่ต้องเขินหรอก”

 

 

เฟิงหลีเย่ถือไม้คันชั่งนั่งอยู่ขอบเตียงพลันกระตุกมุมปาก กวาดตามองเฟิงเยี่ยนเฉิงที่เกาะอยู่ขอบหน้าต่าง ถัดจากเฟิงเยี่ยนเฉิงยังมีเจ้าเด็กน้อยหัวแครอท ช่วยร้องบอก “ใช่แล้ว เสด็จอาเจ็ดไม่ต้องเขินหรอก ไม่ก็ให้กุยอวิ๋นช่วยท่านเปิดผ้าไหม” กุยอวิ๋นได้เห็นงานมงคลของเฟิงหลีเย่ในวันนี้ก็รู้สึกแปลกใหม่เป็นพิเศษ โดยเฉพาะได้เห็นไม้คันชั่งสีแดงนั่นแล้วก็เกิดอาการคันไม้คันมือ อดใจไม่ไหวกับท่าทีชักช้าลีลาของเฟิงหลีเย่ ตะโกนร้องออกไปราวกับพวกสตรี

 

 

เมื่อสองเดืิอนก่อน ในที่สุดพระสนมเซียวก็ได้ยินลูกชายโสดอายุมากของตัวเองเอ่ยปากว่าต้องการแต่งงานแล้ว ในที่สุดความกังวลที่เก็บมานานก็ได้ปล่อยวางสักที หากได้รู้ว่างานแต่งถูกเจ้าเด็กหัวแครอทที่ตนรักและตามใจเป็นที่สุดมาป่วนปลุกห้องเจ้าสาวด้วย นางจะต้องโมโหจนอยากอัดเขาอย่างแน่นอน

 

 

เฟิงหลีเย่คิดว่าต่อไปเขาจะต้องเคร่งขรึมเหมือนกับพี่สี่สักหน่อย ตัวเล็กแค่นี้จะมาเลียนแบบผู้ใหญ่ปลุกห้องเจ้าสาว โตขึ้นไปไม่ยิ่งกว่านี้หรอกหรือ ต้องให้เขาอยู่ห่างเฟิงเยี่ยนเฉิงสักหน่อยเป็นดี

 

 

เฟิงหลีเย่ใช้สายตาสั่งให้องครักษ์ลับสองสามคนเหาะออกไปตามเด็กน้อยสองคนนั้น เฟิงเยี่ยนเฉิงที่พอจะมีวรยุทธ์อยู่บ้าง ได้แต่เหลือบมองกุยอวิ๋นผู้หน้าสงสาร ส่วนตัวเองก็หลบหนีออกไปก่อน ทางด้านกุยอวิ๋นที่หนาวจนจามยังไม่รู้ตัวว่าโดนเสด็จอาคนเล็กขายเขาเสียแล้ว

 

 

เฟิงหลีเลี่ยวันนี้โดนชนแก้วอยู่ไม่น้อย แต่ว่าหลังดื่มเหล้าก็ยังชอบที่จะเดินออกมาตากลม หางตาเหลือบไปเห็นเด็กน้อยโชคร้ายถูกองครักษ์ลับหิ้วกลับมาอย่างน่าสงสาร

 

 

จึงดึงเสื้อผ้าของเขา “ไปก่อเรื่องวุ่นวายกับเสด็จอาเล็กของเจ้าอีกแล้ว สร้างเรื่องกวนใจเสด็จแม่ของเจ้าได้ทั้งวัน”

 

 

เมื่อหกเดือนก่อนมู่หรงชูอวิ๋นตั้งครรภ์แล้ว ดังนั้นครั้งนี้นางจึงไม่ได้มาร่วมงานด้วย ส่วนเด็กหัวแครอทที่เมื่อก่อนจะคอยตามหลังเสด็จแม่สร้างเรื่องวุ่นวายอย่างเหิมเกริมได้ อยู่ๆ เสด็จแม่ก็ไม่สามารถมาเล่นเป็นเพื่อนเขาได้อีก ท้องก็ใหญ่ขนาดนั้น ทำเอาเขาเป็นห่วงอย่างมาก แม้ว่าการมีน้องชายน้องสาวจะเป็นเรื่องดี แต่เขาชอบให้เสด็จแม่รักและตามใจเขาที่สุด ทุกวันนี้เขาจะสามารถลูบท้องของมู่หรงชูอวิ๋นได้ก็ต่อเมื่ออยู่ต่อหน้าเฟิงหลีเลี่ยเท่านั้น

 

 

“เปล่านะ ข้าเพียงแต่ไปดูเสด็จอาเจ็ดปลุกห้องเจ้าสาวเท่านั้นเอง เสด็จพ่อปลุกห้องเจ้าสาวคืออะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

 

 

อี้หวังที่ชำนาญภูมิศาสตร์ทำเลชัยภูมิมาโดยตลอด ก็ต้องมีจุดที่ตอบยากบ้าง จึงโบกหลังศีรษะของเขาอย่างแรง “ยังเด็กยังเล็กถามโน้นนี่มากมายทำไม?”

 

 

“ข้าไม่ใช่เด็กแล้ว ข้าโตใกล้จะขอเสด็จแม่แต่งงานได้แล้ว”

 

 

“มู่เยี่ยน” เฟิงหลีเลี่ยโยนกุยอวิ๋นไปให้มู่เยี่ยน เดินจากไปไม่หันมามองอีก อวิ๋นเอ๋อร์ของเขาเป็นผู้หญิงของเขาคนเดียว ไม่ว่าใครก็แย่งไปไม่ได้ ต่อให้จะเป็นเทพยดาก็ตาม เด็กหัวแครอทตัวเล็กเหมือนลูกนกที่ยังไม่มีขนกล้ามาแย่งภรรยากับเขาอย่างนั้นหรือ

 

 

หนึ่งเดือนหลังจากนั้น แม้ว่าเฟิงหลีเลี่ยจะเคยผ่านประสบการณ์ที่มู่หรงชูอวิ๋นคลอดลูกมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้ ไหนจะมีเจ้าลูกชายตัวแซบที่คิดจะแย่งภรรยาของเขาอีก มีกุยอวิ๋นคนเดียวก็ยากจะจัดการแล้ว วันนี้ยังจะมีเพิ่มมาทีเดียวอีกสองคน ล้วนแต่แกล้งทำตัวน่าสงสารเก่งกันทั้งนั้น ทุกครั้งเวลาที่เฟิงหลีเลี่ยตำหนิพวกเขา เด็กหัวแครอททั้งสามคนก็จะชำเลืองไปทางมู่หรงชูอวิ๋น คนหนึ่งร้องไห้อีกคนก็ร้องไห้ตาม แสดงออกชัดเจนว่าเขาเป็นคนร้ายน่ากลัวเป็นที่สุด เขารู้สึกเสียใจภายหลังเป็นอย่างยิ่ง หากรู้แต่แรกจะต้องให้กำเนิดลูกสาวที่น่ารักเหมือนกับมู่หรงชูอวิ๋น ร้องเรียกท่านพ่อเสียงอ่อนหวานคงจะดีกว่ามาก

 

 

เฟิงหลีเลี่ยยังไม่ทันผลักประตูเปิดเข้าไป ก็ได้ยินพวกเด็กหัวแครอทห้อมล้อมมู่หรงชูอวิ๋นเอ่ยพูดอย่างใส่ใจ “เสด็จแม่ ข้าโตแล้วจะมาขอเสด็จแม่แต่งงานพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เท้าเซสะดุดเกือบล้มไปกับพื้น ผลักประตูเข้ามาด้วยความโมโห ทั้งเด็กเล็กเด็กโตต่างพากันมองมาที่เขา

เพียงหนึ่งใจ

เพียงหนึ่งใจ

Status: Ongoing

มู่หรงชูอวิ๋น คือหญิงสาวพัฒนาการช้าชื่อดังแห่งเมืองหลวง นางมักจะถูกหัวเราเยาะว่าเป็นคนโง่อยู่เสมอ ส่วน ‘เขา’ คือองค์ชายสี่ผู้เงียบขรึม บุรุษผู้เป็นที่ชิงชังขององค์ฮ่องเต้ ไม่ว่าใครก็ไม่อาจทราบได้ว่าภายใต้ท่าทีเคร่งขรึมนั้นเก็บซ่อนประกายอะไรเอาไว้

…หนึ่งนางผู้สดใสร่าเริงดั่งดวงตะวันกับหนึ่งชายหนุ่มแสนเย็นชาดั่งน้ำค้างแข็ง ท่ามกลางการแย่งชิงบนเส้นทางสายอำนาจนี้ นางคือผู้เดียวที่จะกุมหัวใจเขา…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท