หวังทงมีทหารติดตามกับองครักษ์เสื้อแพรคอยอารักขา รอบข้างมีคนคอยป้องกัน มือสังหารความจริงนั้นไม่มีโอกาสเลย
แต่มือสังหารอยู่ในกลุ่มผู้คุ้มกันก็ยากจะกล่าวได้แล้ว มือสังหารมีสามคน ล้วนปฏิบัติหน้าที่ในสำนักรักษาความสงบ สองคนดึงความสนใจทุกคนไป อีกคนใช้ปืนไฟยิงจากที่สูงนอกระยะห้าสิบก้าว สองคนขยับ ผู้คุ้มกันหวังทงก็เริ่มมองรอบทิศเพื่อหาจุดของศัตรู ที่สูงก็ไม่เว้น ก่อนคนนั้นยิง หวังทงก็ถูกห้อมล้อมด้วยกลุ่มทหารติดตามแล้ว ไม่มีมุมยิงได้อีก
ปืนไฟยิงมา ทหารติดตามหวังทงนายหนึ่งถูกยิงตายทันที มือสังหารผู้นั้นถูกทหารติดตามหวังทงยิงด้วยปืนไฟจนร่างพรุน อีกสองคนล้วนถูกจับได้ หนึ่งคนตวัดดาบปลิดชีพตนเอง อีกคนแม้ว่าถูกกดลงกับพื้น ก็ยังคงกัดยาพิษในปากปลิดชีพตนเช่นกัน
คนจากสำนักองครักษ์เสื้อแพรและศาลซุ่นเทียนเดิมทีมารอต้อนรับหวังทงอย่างยินดี ก็พากันโมโหอย่างมาก รีบส่งคนไปตรวจสอบทั้งหมด กองกำลังหลวงยกทัพเข้าเมืองหลวง คุ้มกันในละแวกจวนจวิ้นอ๋องเล่อลั่งผู้ บรรยากาศเมืองหลวงเคร่งเครียดขึ้นทันที
สามคนนั้นเป็นคนของสำนักรักษาความสงบ คนที่ทำงานที่นี่ล้วนมีประวัติเป็นมาชัด สืบไปถึงครอบครัวสามคนนี้ คนที่ถูกส่งเข้าเมืองมาเป็นผู้คุ้มกันหวังทง ก็ยิ่งไม่อาจปล่อยให้คนใหม่มาทำหน้าที่ได้
ระยะห่างจากเวลาลอบสังหารได้สามชั่วยามก็มีผลปรากฏ สามคนนี้ที่แท้เป็นคนสังกัดในวัง ก่อนมาเป็นคนสำนักรักษาความสงบเคยเป็นคนองครักษ์เสื้อแพร ศาลซุ่นเทียน และในวัง สามหน่วยงานล้วนส่งคนเข้ามาปะปน สุดท้ายทุกคนล้วนอยู่ใต้การควบคุมขององครักษ์เสื้อแพร แต่หากสายสัมพันธ์เก่าก่อนยังคงอยู่
มีบางครั้งสืบคดีกระจ่างไม่จำเป็นต้องอาศัยหลักฐาน ในสถานการณ์เช่นนี้ ขอเพียงหาต้นตอก็พอวิเคราะห์เข้าใจได้ ลอบสังหารหวังทง ผู้ใดได้ประโยชน์ที่สุด ผู้ใดต้องการให้หวังทงตาย ผู้ใดมีอำนาจที่จะส่งมือสังหารมาลอบสังหารได้เช่นนี้
ทุกคนล้วนเดาผลออก กลับไม่มีคนกล้ารายงานหวังทง มีแต่โหววั่นเสียงแห่งผู้ช่วยผู้บัญชาการเท่านั้นที่กล่าวกับหวังทง
หวังทงเข้าเมืองหลวงตอนเช้า ตั้งแต่ถูกลอบสังหารถึงตอนความกระจ่างก็ใกล้มืดแล้ว ยามนี้กลองวังหลวงดังขึ้น ประตูวังกำลังจะปิด มีทหารติดตามเห็นหวังทงคว้าของหนึ่งคิดปาลงพื้น แต่ก็ลังเลก่อนจะวางลง ออกคำสั่งเพียงแค่ให้เตรียมพร้อม เขาจะเข้าเฝ้า
ตอนนี้ไม่มีเรื่องใหญ่ใดต้องเข้าวัง ขอเข้าเฝ้านับว่าเป็นการเสียธรรมเนียม แต่หวังทงคิดเข้าวังตอนนี้ ก็ย่อมเป็นเรื่องใหญ่กับเรื่องสำคัญแล้ว คนในวังต่างไม่กล้าขัดขวาง
หลายปีมานี้ มีคนไม่มากนักที่ได้เห็นหวังทงโมโหหนักเช่นนี้ การต่อสู้ต่อกรกับคนในวัง แต่ไรมาหวังทงยังคงถือมั่นธรรมเนียมมารยาท แต่ครั้งนี้เขานำทหารติดตามขี่ม้าสวมเกราะเข้าวัง แต่ทว่าก็ยังให้คำอธิบายว่า สงสัยในวังมีคนร้าย ไทเฮาและฝ่าบาทตกในอันตราย
ในวังเองก็งงกับการกระทำนี้ของหวังทง พวกเขารู้ว่าหวังทงไม่ให้ความเคารพยำเกรง แต่ทำอันใดไม่ได้ สถานการณ์มาถึงตอนนี้ ยังจะทำอันใดได้เล่า?
ก่อนหวังทงเข้าเฝ้าในวังครึ่งชั่วยาม หัวหน้าสำนักส่วนพระองค์ขันทีเจ้าจินเลี่ยงดื่มยาพิษปลิดชีพตนเอง โจวอี้ที่ไม่ได้ทำหน้าที่ใดในวังมาหกปีถูกขอให้ออกมาดูแลงานแทนก่อน
ตามวาจาขันทีในวัง เจ้าจินเลี่ยงสวมชุดงูใหญ่เข้าเฝ้ารัชทายาทจูฉางสวิน โขกศีรษะถวายบังคมก่อนทูลว่า
“บ่าวไร้สามารถ วันหน้าไม่อาจปรนนิบัติรับใช้ฝ่าบาทแล้ว วันหน้าฝ่าบาทเกรงว่าคงต้องทนรับแล้ว บ่าวไม่มีหน้าไปเข้าเฝ้าอดีตฮ่องเต้แล้ว”
ในวังยามนี้วุ่นวายกันไปหมด ศพเจ้าจินเลี่ยงอยู่ในห้องทำงานกลางสำนักส่วนพระองค์ หวังทงเดิมทีที่โมโหหนัก พอได้ยินข่าวนี้ก็เงียบไปทันที ทหารติดตามอยู่ ๆ พบว่า แม่ทัพใหญ่ราวกับเหน็ดเหนื่อยมาก จิตใจอ่อนกำลังลงไปมาก
เผชิญกับจูฉางสวินที่ไม่รู้จะวางพระองค์เช่นไร หวังทงถวายคำนับแล้วก็ไม่ได้กล่าวอันใดมากความ ได้แต่ขอไปยังสำนักส่วนพระองค์เพื่อดูเจ้าจินเลี่ยง
สถานการณ์ตอนนี้ หวังทงนับว่าขอไปวังฝ่ายในเพื่อดูพระสนมก็ยังต้องอนุญาต อย่าว่าแต่เรื่องนี้เลย จูฉางสวินที่แต่ไรไม่กล้าส่งเสียงกล่าวอันใดยามนี้กลับคิดโต้แย้ง หากถูกขันทีชราดึงไว้ สุดท้ายก็ยังคงเงียบ
ตอนหวังทงเข้าวัง ทุกคนในวังต่างหวาดกลัวไปหมด แต่ตอนนี้ล้วนเงียบสงบ คนของหวังทงไม่ได้เข้ามาในวังสังหารปล้นชิง
ไม่พบกันนานหลายปี โจวอี้ผมขาวโพลนทั้งศีรษะแล้ว เทียบกับอายุจริงแล้วแก่ลงไม่เพียงแค่สิบปี ขันทีสำนักส่วนพระองค์แต่ละคนล้วนไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ บางคนสีหน้านิ่งเฉย บางคนหลั่งน้ำตาเงียบ ๆ พอเห็นหวังทง ทุกคนอดคำนับไม่ได้
โจวอี้พอเห็นหวังทง คิดจะคุกเข่าคำนับ แต่ถูกหวังทงรั้งไว้ มองดูหวังทง โจวอี้นิ่งไปนาน ไม่กล่าวอันใดอยู่นาน หวังทงตบบ่าเขาได้แต่ถอนหายใจ
ไม่มีคนเดินไปสำนักส่วนพระองค์เป็นเพื่อนหวังทง หวังทงอยู่กับศพเจ้าจินเลี่ยงคนเดียวอยู่นาน ฟ้ามืดสนิทแล้ว ในห้องเงียบอย่างมาก ทหารติดตามรู้สึกไม่ถูกต้องนัก เตรียมจะเข้ามาดู หวังทงก็ผลักประตูออกมา
สีหน้าไร้รอยน้ำตา หน้าตาต่างจากตอนเข้าไปมาก ราวกับว่าแข็งทื่อไปแล้ว ตอนออกมา มีคนจุดคบไฟขึ้น หวังทงมองไปรอบ ๆ ไม่ว่าทหารติดตามหรือขันทีล้วนก้มหน้านิ่ง นอบน้อมเคารพไม่กล้าสบตา
“…สั่ง…เดี๋ยวขอจะไปเข้าเฝ้าทูลขอฝ่าบาท จากนี้ใต้หล้ามิให้มีขันทีอีก คนที่ตอนตนเองก็จะเนรเทศไปเป็นทาส จะได้ไม่ต้องสร้างเวรกรรมให้คนต้องสิ้นลูกหลานเช่นนี้…”
ขันทีรอบ ๆ ล้วนอึ้งเงยหน้า หวังทงโบกมือกล่าวว่า
“ไม่เกี่ยวกับพวกเจ้า พวกเจ้าทำงานต่อไป พวกเจ้าไม่มีความผิดอันใด ความชั่วเลวร้ายอยู่ที่วิธีการบัดซบพวกนี้!”
เรื่องการตอนชายสืบทอดมาหลายพันปีก็จบสิ้นลงในวินาทีนี้ หลังหวังทงขึ้นครองราชย์ มีขุนนางใหญ่เสนอชัดเจนว่า ไม่มีขันที ก็ไม่อาจทำให้ในตัดขาดนอก ราชวงศ์ไม่เหมือนดังราชวงศ์
หวังทงปฏิเสธง่ายมากว่า ข้าผ่านมานานหลายปี ในนอกแยกงานกระจ่าง ในจวนไม่มีชายไม่ใช่ชายรับใช้ ตระกูลจูหลายปีมานี้ต้องการแยกในนอกให้กระจ่าง ใช้งานชายไม่ใช่ชายในช่วงที่มากที่สุดก็นับหมื่น นอกในเคยแยกกันกระจ่างจริงงั้นหรือ
พวกที่ตอนผู้อื่นให้ตัดหัวทิ้ง พวกที่ตอนตนเองให้เนรเทศไปถูลู่ฟานและเยี่ยเอ่อร์เชียงทางตะวันตก ราชวงศ์ไม่ต้องการขันทีแล้ว ราษฎรจะยากจนเพียงใดก็ย่อมไม่อาศัยช่องทางนี้อีกแล้ว
หลังหวังทงขึ้นครองราชย์ ก็มิได้ให้ขันทีในแต่ละจวนอ๋องเดิมต้องทิ้งงานที่ทำไป รอให้แก่และป่วยตายไปเอง ออกเพียงคำสั่งว่าจ้างงานพวกเขาไม่มีความผิด ขันทีในวังส่วนใหญ่ถูกส่งไปยังหน่วยงานต่าง ๆ
พวกสูงอายุมีความสามารถให้ส่งไปประจำสุสานหลวง ให้เลี้ยงดูตลอดชีวิต พวกยังหนุ่มที่ไม่มีความสามารถใดให้ส่งไปโรงนาพร้อมเครื่องมือทำนา ให้ทำมาหากินเอาเอง
ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 35 ตอนหวังทงเข้าเมืองมาประกาศจบ ทุกอย่างล้วนเรียบร้อย รัชทายาทจูฉางสวินขึ้นครองราชย์ เริ่มต้นปีรัชสมัยไท่ชางที่หนึ่ง
หลังหวังทงเข้าเมืองหลวง ทุกอย่างเรียบร้อยไปหมด กองกำลังที่อ่อนกำลังมาร้อยกว่าปีได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง เปลี่ยนชื่อเป็นกองบัญชาการทัพใหญ่ คุมการทหารทั้งทางบกและทางน้ำ หวังทงเป็นผู้บัญชาการใหญ่แห่งกองบัญชาการทัพใหญ่ ควบตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร ดูแลไปถึงกิจการเทียนจินและซงเจียง
ตำแหน่งเหล่านี้ดูเหมือนน่าตกใจ แต่ความจริงนั้นก็สมเหตุผล ที่ทำให้คนตกใจจริงก็คือเพื่อยกย่องหวังทงว่ามีคุณความชอบยิ่งใหญ่ต่อแผ่นดิน ฮ่องเต้ไท่ชางก็แต่งตั้งหวังทงเป็นอ๋องจี้ ชื่อตำแหน่งอ๋องคำเดียว นับเป็นตำแหน่งอ๋องสูงสุด ไม่มีตระกูลใดในแผ่นดินหมิงนอกจากเชื้อพระวงศ์ระดับใกล้ชิดจะได้รับ เช่น น้องชายฮ่องเต้ไท่ชาง จูฉางลั่วตอนนี้เป็นอ๋องฝู จูอี้หลิวน้องชายแท้ ๆ ฮ่องเต้ว่านลี่เป็นอ๋องลู่ อ๋องฉินไกลถึงส่านซีเป็นโอรสแท้ๆ ปฐมฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หมิงจูหยวนจาง แผ่นดินหมิงยังมีระเบียบว่า ในเขตปกครองสำคัญ เมืองใหญ่ยังอยู่ ไม่ให้แต่งตั้งอ๋อง
นี่จึงนับว่าเป็นเรื่องที่เรียบร้อยแท้จริง เห็นการแต่งตั้งนี้แล้ว ใต้หล้าไม่มีผู้ใดไม่เข้าใจว่าเกิดอันใดขึ้น ข่าวมายังแดนใต้ มายังที่พักของหวังซีเจวี๋ย กำลังสนทนายิ้มแย้มกับบรรดาสหายวิจารณ์เรื่องนี้
“ไม่สู้แต่งตั้งเป็นอ๋องเยี่ยนไปเลย ทำให้คนเข้าใจได้ง่ายดี ไยต้องลำบากทำเรื่องเช่นนี้…”
จูตี้เคยเป็นอ๋องเยี่ยนนำกำลังทหารแย่งชิงบังลังก์จูอวิ่นเหวินผู้เป็นหลาน ขึ้นเป็นฮ่องเต้หมิงเฉิงจู่ คำว่า เยี่ยน กับ จี้ หมายถึงพื้นที่เดียวกัน ชื่ออ๋องหวังทงทำให้คนรับรู้ถึงความหมายแฝง
เรื่องราวต่างๆ ใต้ล้วนมองเข้าใจ ใต้หล้าล้วนรู้สึกว่าก็ควรเป็นเช่นนี้ อย่างไรก็คงไม่เกิดเหตุสงครามแย่งชิง แต่จะเปลี่ยนคนเป็นฮ่องเต้ไม่เห็นความต่างอันใด
หวังซีเจวี๋ยเข้าใจเรื่องนี้มากกว่าคนอื่น หลังได้ข่าวหวังทงได้รับการแต่งตั้ง เขาก็ไม่ให้ลูกหลานตนเรียนตำราขงจื่ออีก ล้วนถูกเขาไล่ไปเมืองซงเจียง ไม่บอกว่าให้พวกเขาเรียนอะไร เพียงแต่ให้พวกเขาไปหาทางทำสิ่งที่ชอบ
“อำนาจวาสนาวันหน้า เกรงว่าคงอยู่ที่นี่แล้ว!”
สวีกว่างกั๋วที่ต้องไว้ทุกข์กลับไม่ได้กลับบ้านเกิด เขามาถึงเมืองชางโจวแล้วก็ว่าป่วย ไม่เดินทางต่อ พอหวังทงเข้าเมืองหลวงมา ราชโองการยับยั้งการไว้ทุกข์ก็มาถึง
สวีกว่างกั๋วยังไม่ทันออกจากเมืองเหอเจียน ก็เดินทางกลับเมืองหลวง ตอนยังไม่เข้าเมืองหลวง ราชโองการที่สองก็มาถึง สวีกว่างกั๋วได้รับแต่งตั้งเป็นเสนาบดีฝ่ายปกครอง เป็นรองอำมาตย์
ยังมีอีกราชโองการยังอยู่ระหว่างทาง ผู้ว่าเมืองซงเจียงหยางซือเฉินเป็นเสนาบดีกรมอากร เข้าสู่คณะเสนาบดีใหญ่ และเจ้ากรมศาลซุ่นเทียนหลี่ว์วั่นไฉเป็นเสนาบดีกรมทหาร ควบตำแหน่งงานศาลซุ่นเทียน โจวอี้ที่ว่างงานมาหกปีก็ได้เป็นหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์ ไช่หนานเป็นผู้ช่วยสำนักส่วนพระองค์ควบหัวหน้าสำนักอาชาหลวง
ศูนย์กลางอำนาจรวมอยู่ที่คนใกล้ชิดหวังทง บัณฑิตจวี่เหรินเป็นเสนาบดี บัณฑิตจวี่เหรินได้เข้าร่วมคณะเสนาบดีใหญ่ เรื่องพวกนี้หากเป็นสิบปีก่อนก็คงเรียกว่าเหลวไหลอย่างไม่กล้าคาดคิด แต่ตอนนี้กลับไม่มีคนรู้สึกแปลก มองดูแล้วก็ใกล้เปลี่ยนใหม่หมดแล้ว แน่นอนทุกอย่างล้วนไม่เหมือนเดิม เรื่องนี้ไม่มีอันใดไม่ถูกต้อง
บรรดาขุนนางในการประชุมราชสำนักเข้าเฝ้าโอรสสวรรค์ ตามหลักมหาอำมาตย์คณะเสนาบดีใหญ่ควรใกล้โอรสสวรรค์ที่สุด แต่ตอนนี้หวังทงร่วมประชุม ขุนนางยืนสองแถว
“อ๋องจี้ตำแหน่งสูงส่ง พวกข้าไม่บังอาจยืนเสมอ”
ตอนหวังทงเข้าประชุมราชสำนัก สวีกว่างกั๋วดึงมหาอำมาตย์เสิ่นอีก้วนไว้ ‘อย่างห่วงใย’ พอยืนประจำที่ เสิ่นอีก้วนก็ยืนอยู่หลังตำแหน่งหวังทงสองก้าว หวังทงอยู่หน้าพระที่นั่งเพียงผู้เดียว
ไม่ได้เป็นดังคำว่าใต้หนึ่งคน เหนือนับหมื่นอีกแล้ว ฮ่องเต้ไท่ชางต่อหน้าหวังทงก็ก้มหัวหด