หลังจากที่คุยกับอาจารย์มู่หลางเสร็จเกาเผิงก็ขอตัวออกจากห้องพักครู
เกาเผิงรู้สึกสนใจในมหาวิทยาลัยหยูโจว
เขาจำได้ว่าที่นั่นมีกลุ่มบริษัทเซาเทิร์นสกายตั้งอยู่ เขาเคยไปที่นั่นสองสามครั้ง เขาประทับใจพี่สาวคนสวยขาเรียวยาวคนนั้นมาก..
แต่อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่ประเด็น สิ่งสำคัญที่เขาสนใจที่นี่ก็คือเมืองตั้งอยู่ใกล้ๆกับภูเขาและแม่น้ำ
หลังเกิดมหาภัยพิบัติ ทำให้แถวนั้นมีภูเขาเพิ่มมากขึ้น
มหาวิทยาลัยเซาเทิร์นตั้งอยู่ในเมืองหยางเฉินที่อยู่ใกล้บริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำเพิร์ลและมีพรมแดนติดกับทะเล
ก่อนเกิดมหาภัยพิบัติเมืองนี้เป็นเมืองที่มีความเจริญมากที่สุดในโลก ถึงจะผ่านมหาภัยพิบัติไปก็ไม่ทำให้ความเจริญนั้นลดลงเลย แถมเมืองนี้ก็ดึงดูดผู้ฝึกสอนสัตว์อสูรมากหน้าหลายตาให้มีที่นี่ ทำให้เมืองหยางเฉิงเป็นที่หนึ่งในด้านผู้ฝึกสอนสัตว์อสูรในภูมิภาคหัวเซีย
เคยมีคนกล่าวไว้ว่า ถ้าใครอยากจะสร้างชื่ออย่างรวดเร็วก็มาที่เมืองหยางเฉิงแห่งนี้
นอกเมืองหยางเฉิงในภูมิภาคหัวเซียแล้ว ก็ยังมีเมืองที่มีความโดดเด่นเทียบเท่าเมืองหยางเฉิงก็คือเมือง หนานจิง โมดู และอำเภออู๋จงที่เป็นประตูสู่ตะวันออก มีเด็กเก่งๆมากมายในภาคตะวันออกรวมตัวกันที่นั่น
เกาเผิงเหม่อมองฟ้าอย่างเศร้าๆ เขาตัดสินใจที่จะทำทีละขั้นตอนอย่างค่อยๆเป็นค่อยๆไป
…..
ที่สนามฝึกซ้อมในช่วงบ่าย เกาเผิงเดินไปเจอการโต้เถียงอันดุเดือดที่นั่น
ก่อนที่เขาจะไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็ได้ยินดังที่เสียงมาก
“ทำไมคุณถึงมาดูถูกหมู หมูมันทำไมห๊ะ หมูมันก็หมูของฉันและมันกินข้าวที่บ้านฉันไม่ได้ไปกินข้าวบ้านใครนี่”
“มันก็แค่สำนวนบนป้ายเท่านั้นเอง” ผู้ฝึกสอนโต้แย้ง
“นั่นก็ไม่ไดเปลี่ยนความจริงที่ว่าคุณได้ดูถูกหรอกนะ”
“ได้ๆเดี๋ยวทางเราป้ายออกให้นะ” ผู้ฝึกสอนถามด้วยความงุนงงเล็กน้อย
เมื่อเกาเผิงเดินแหวกฝูงชนเข้ามาข้างใน เขาเห็นชายร่างใหญ่ที่มีหมูเกราะหนามที่ขนาดยาว 2เมตรยืนอยู่ข้างๆ ที่ทำท่าไม่พอใจราวกับต้องการคำอธิบายในเรียกนี้
เขาหยุดชั่วครู่ จากนั้นเขาก็พูดอย่างดื้อรั้นว่า “ฉันไม่สนหรอกนะว่าคุณจะเปลี่ยนเรื่องนี้ยังไง คุณควรรู้ไว้ว่าคุณได้สร้างความเสียหายทางจิตใจกับหมูของผมมากขนาดไหน”
หมูเกราะหนามที่อยู่ข้างๆเขาได้นอนลงไปที่พื้น จากนั้นมันก็กลิ้งไปมาซ้ายขวา ช่างเป็นภาพที่ดูแปลกตามาก
ทางผู้ฝึกสอนไม่สามารถโต้เถียงชนะนักเรียนในเรื่องนี้ได้ เขาจึงต้องสั่งให้พิมพ์ป้ายอันใหม่มาแขวน
และแล้วป้ายอันให่ก็เอามาแขวน
“แด่ผู้เข้าสอบทุกคน หากสอบไม่ผ่านก็กลับไปเลี้ยง X ซะ”
‘X มันคืออะไรน่ะ’
มันทำให้ผู้เข้าสอบใช้จินตนาการตีความไปได้หลายความหมาย ที่นี้ก็ตัดปํญหาเรื่องข้อความเหยียดจากป้ายอันเก่าไปได้แล้ว
…..
“เหลือเวลาอีกแค่ 1เดือนเท่านั้น ในการสอบเอนทรานซ์ของพวกคุณ เพื่อความเตรียมพร้อมสำหรับการสอบของพวกคุณ ทางเราเลยจัดสัตว์อสูรมาให้พวกเธอได้ท้าทายและรับชมมัน เป็นแนวทางในการสอบของทุกคน”
ที่ตรงกลางของลานฝึกมีกรงโลหะพิเศษตั้งอยู่ ตัวกรงสูง 45เมตร กว้าง 200×100เมตร ที่ด้านนอกมีกระจกกันกระสุนกั้นอีกชั้นหนึ่ง
ในกรงมีสัตว์อสูรนอนบนที่พักอยู่เงียบๆ
มันเป็นค้างคาวขนาดยักษ์และมีกระดูกยื่นออกมาจากร่างกายและตามข้อต่อของมัน จุดที่เด่นที่สุดของมันก็หูที่ใหญ่ถึงราว 1ใน3ของศีรษะ
ที่หางมีไฟสีน้ำเงินลูกโชนอยู่ปลายหาง
[ชื่อสัตว์อสูร] ค้างคาวกะโหลกปีกสีน้ำเงิน
[เลเวล] 20 (ชนชั้นสูง)
[ระดับ] สูง
[คุณสมบัติ] ธาตุอันเดต
[สถานะ] สุขภาพดี (นอนหลับ)
[จุดอ่อน] ธาตุแสงกับธาตุลม
‘นี่มันสัตว์อสูรระดับสูงและเลเวล 20!!’
ดูเหมือนโจทย์นี้จะยากเกินกว่าที่เด็กๆพวกนี้จะรับมือได้นั่นเพราะว่าค้างคาวกะโหลกปีกสีน้ำเงินเป็นสัตว์อสูรที่บินได้และมีเลเวลที่สูงอีกด้วย พวกสัตว์อสูรที่เลเวลต่ำๆไม่สามารถรับมือมันได้อย่างแน่นอน
“ค้างคาวกะโหลกปีกสีน้ำเงินเป็นสัตว์อสูรที่อยู่ในระดับสูง พวกคุณคือผู้ฝึกสอนสัตว์อสูรฉะนั้นชีวิตของคู่หูของพวกคุณอยู่ในมือของพวกคุณ ดังนั้นตัดสินใจให้ดีๆ” ผู้ฝึกสอนได้กล่าวเตือนพวกเขา
เมื่อนักเรียนได้ยินคำเตือนเหล่านั้น ทำให้บรรยากาศชวนให้หนักอึ้งทันที
“งั้นผมขอลองท้าทายมันดูนะครับ” เฉินฮั่วเฉียวอาสา ที่ด้านหลังของเขามาเงาขนาดใหญ่อยู่ข้างหลัง เขาลูบศีรษะมันด้วยมือที่สวมถุงมือยาง ก่อนที่มันเดินเข้าไปในกรงอย่างช้าๆ
มันสูง 2เมตรปกคลุมด้วยขนสีขาวทั้งตัว มีขนสีน้ำเงินรอบคอของมัน ขนสีน้ำลากยาวไปที่ด้านหลังไขว้กันเป็นรูปตัว ‘X’
[ชื่อสัตว์อสูร] หมีประกายแสง (วัยเจริญเติบโต)
[เลเวล] 18 (ชนชั้นขุนนาง)
[ระดับ] สูง (หากกลายเป็นชนชั้นนักรบระดับจะลงลดมาเหลือ ปกติ)
[คุณสมบัติ] ธาตุไฟฟ้า
[สถานะ] สุขภาพดี (มีความสุข)
[จุดอ่อน] หากดื่มน้ำผลไม้วิญญาณมากเกินไปอาจทำให้ท้องร่วง แขนขาอ่อนแรง
หมีประกายแสงสร้างประจุไฟฟ้ารอบตัวมันจากการเสียดสีของขนสีขาวของมัน
มันเข้าไปในกรง เงยหน้ามองค้างคาวและส่งคำราม
*โฮกกก*
ค้างคาวกะโหลกปีกสีน้ำเงินกับไม่ตอบสนอง ราวกับว่ามันหลับลึกไม่ได้ยินเสียงอะไร
หมีประกายแสงยังคงคำรามอย่างต่อเนื่องตลอดครึ่งแต่ก็ไม่มีทีท่าว่าค้างคาวจะสนใจ
มันคำรามจนเสียงแหบแห้งแต่มันก็ยังคำรามต่อ
ในที่สุดหูของค้างคาวกะโหลกปีกสีน้ำเงินก็กระดิก มันค่อยลืมตาขึ้นมา
เมื่อเห็นว่าค้างคาวกะโหลกปีกสีน้ำเงินตื่นมาซะที หมีประกายแสงรู้สึกฮึดสู้ขึ้นมาทันที มันยืนขี้นสองขาและตีหน้าอกอย่างบ้าคลั่ง
แต่เจ้าค้างคาวมันกลับปิดตาหลับอีกครั้ง……
หมีประกายแสงตกตะลึง มันยืนจ้องค้างคาวกะโหลกปีกสีน้ำเงินด้วยสีหน้าว่างเปล่า
‘ฉันควรจะทำอย่างไรดี’ มันคิดอยู่ในใจ
ด้วยท่าทีที่เมินเฉยของค้างคาวกะโหลกปีกสีน้ำเงินทำให้มันรู้สึกโกรธทันที มันวิ่งไปมาในกรงและชนลูกกรงอย่างบ้าคลั่ง
กรงที่สั่นไหวแบบนี้ส่งผลให้ที่นอนของค้างคาวกะโหลกปีกสีน้ำเงินสั่นไหวดั่งเปลโยกไปมาก็ทำให้มันหลับสบายมากขึ้น
ในที่สุดหมีประกายสายฟ้าก็ยอมแพ้ออกมาจากกรงด้วยสภาพเหนื่อยล้า
หัวหน้าผู้ฝึกสอนเฉินที่เห็นผลสรุปแบบนี้ เขาก็กระแอมขึ้นมาทันที
“นี่แสดงให้เห็นว่า บางครั้งใช่ว่าพวกสัตว์อสูรที่จะมาสู้นั้น ไม่ได้มีแต่พวกที่วิ่งเข้ามาหาพวกคุณอย่างบ้าคลั่ง ก็มีบางตัวที่ไม่คิดจะสู้ ใช้ความความพยายามอย่างหนักเพื่อคอยหลบเลี่ยงการต่อสู้ นี่เป็นเหตุผลที่ทุกคนต้องประยุกต์แผนกลยุทธ์ให้เข้ากับสถานการณ์”
เกาเผิงพยักหน้าเข้าใจสิ่งที่หัวหน้าผู้ฝึกสอนเฉินต้องการจะสื่อ แต่มันจะแปลกๆไปหน่อยที่เขาจะมาพูดในตอนนี้
หลังจากนั้นก็มีนักเรียนคนอื่นได้ลองทดสอบเช่นกัน เขานำสัตว์อสูรที่มีรูปร่างเม่นอย่างเฮดจ์ฮอกซึ่งมันสามารถยิงหนามที่ตัวของมันได้ดั่งลูกธนูจากหน้าไม้
คราวนี้ค้างคาวกะโหลกปีกสีน้ำเงินที่หลับอยู่ได้ตื่นขึ้นทันที มันกลิ้งตัวออกจากที่ที่มันนอนเมื่อตะกี้
มันอ้าปากแล้วกรีดร้อง
*ก๊าซซ*
คลื่นเสียงซูเปอร์โซนิคที่ทำให้กระจกบริเวณนั้นสั่นสะเทือน
คลื่นเสียงนี้ทำให้เจ้าเฮดจ์ฮอกฟุ่บลงไปกลิ้งที่พื้นด้วยความเจ็บปวด