เกาเผิงใช้เวลาพักใหญ่ในการอธิบายเรื่องอสูรทรายให้ต้าซื่อกับซิลลี่เพื่อให้มันสงบลง
เขาสงสัยว่าหากนำอสูรทรายมาที่นี่มันคงอยู่ไม่ถึง 3วินาทีแน่ๆ
เกาเผิงเช็ดเหงื่อที่หน้าผากของเขา เขาไม่เข้าใจว่าทำไมสัตว์อสูรพวกนี้ถึงหวงเขามากขนาดนี้ เขามีความสุขมากที่พวกมันมีปฏิกิริยาแบบนี้
จากนั้นเกาเผิงก็เดินไปที่ห้องครัวเพื่อเตรียมอาหารพวกเด็กๆของเขา ‘เท่านี้พวกมันก็หายงอนฉันแล้ว’
และเขาเดินไปเปิดทีวีและกดช่องรายการสำหรับเด็ก ตอนนี้กำลังออกอากาศรายการที่มีชื่อว่า “สแควร์เบบี้”
พวกสัตว์อสูรมานั่งดูกันอย่างมีความสุข ถึงแม้พวกมันจะฟังไม่รู้เรื่องก็ตาม
เกาเผิงเดินไปที่ห้องนอนของเขา เขาหยิบหนังสือเล่มหนึ่งมาและก็เริ่มอ่าน
จู่ๆต้าซื่อก็เคาะประตูห้อง แต่ก่อนที่เกาเผิงจะเดินไปเปิดประตู ต้าซื่อก็เปิดประตูเข้ามาเอง ที่ปากของมันคาบโทรศัพท์มือถือที่ดังอยู่ไว้
หลังจากที่เกาเผิงหยิบโทรศัพท์ไปมันก็คลานกลับดูการ์ตูนต่อ
เกาเผิงรู้ว่าตั้งแต่ที่มันถูกขังอยู่ในห้อง มันพยายามเรียนรู้อย่างหนักที่จะเปิดประตูให้ได้
จากนั้นเขาก็กดรับสาย “หวัดดีเกาเผิง พอดีพวกเราติดคำขอบคุณกับนายน่ะ เลยอยากเลี้ยงข้าวนาย วันมะรืนนี้นายพอจะสะดวกมาทานข้านกับเรามั้ย?” เป็นมู่ไทยิงที่โทรมาหาเกาเผิง
‘ช่วงนี้เราก็ไม่ค่อยว่างซะด้วย’ วันจันทร์ถึงศุกร์เขาก็เรียนตามปกติ ส่วนวันหยุดเขาก็ไปทำงานที่สำนักงานของเขา
“ขอบคุณมากที่เธอชวนฉันนะ แต่คำรับไว้แค่คำขอบคุณก็พอนะ พอดีช่วงนี้ฉันยุ่งมาก ไว้โอกาสหน้าล่ะกันนะ” เกาเผิงตอบ
ราวกับมู่ไทยิงเข้าใจสิ่งที่เกาเผิงจะสื่อ เธอจึงตอบอย่างร่าเริงว่า “งั้นเปลี่ยนเป็นให้ฉันอัดเจ้าเด็กปากเสียนั่นแทนมั้ย” มู่ไทยิงรู้ถึงความแข็งแกร่งของดัมมี่ เธอไม่กังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของเกาเผิง แต่เธอกลัวว่าเกาเผิงจะส่งคนพวกนั้นไปนอนหยอดน้ำข้าวต้มที่โรงพยาบาลแทน
“อ๋อ เรื่องนั้นเหรอ พวกเราไม่มีเรื่องผิดใจกันซะหน่อย ฉันได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้ทางวิชาการอย่างสนุกสนานนะ” เกาเผิงกล่าวพร้อมหัวเราะ
“ก็ได้ๆ งั้นแค่นี้นะ” จากนั้นมู่ไทยิงก็วางสายเพราะไม่มีเรื่องอะไรให้คุยแล้ว
“เด็กผู้ชายคนนั้นเป็นใคร” ผู้ชายที่ใส่เสื้อสีดำนี่นั่งตรงข้ามมู่ไทยิงถามอย่างเรียบๆ ชายคนนี้คิ้วหนามากและไว้ผมสั้น
“ก็แค่เพื่อนร่วมชั้นเองนี่ หนูต้องบอกพี่ทุกเรื่องรึไง เขาได้ช่วยชีวิตหนูที่หุบเขารวมถึงชิงหลวนกับชิงเหยียนด้วย” เธอลุกออกไปพลางมองพี่ชายที่นั่งอยู่ตรงข้ามเธอ
เธอรู้ว่าพี่ชายของเขากำลังคิดอะไรอยู่ เธอกับเกาเผิงเป็นแค่เพื่อนเท่านั้น
เมื่อเขาถูกน้องสาวโมโหใส่ เขาลูบศีรษะด้วยความงุนงง ‘เขาเป็นใครกัน ฉันควรจะขุดคุ้ยเรื่องเด็กคนนี้ดีมั้ย’
เขาไม่แคร์คนอื่นจะมองยังไง เขาพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องน้องสาวสุดที่รักของเขา
ปกติน้องสาวของเขาไม่เคยมีเพื่อนผู้ชายมาก่อน เรื่องนี้ทำให้เขาสนใจเพื่อนชายคนนี้มาก
…………
หนึ่งเดือนผ่านไปไวเหมือนโกหก เหลือเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนเท่านั้นก่อนจะถึงการสอบเอนทรานซ์เข้าวิทยาลัยภาควิชาสัตว์อสูรและอีกไม่กี่วันก็จะเป็นสอบเข้ามหาวิทยาลัยตามปกติ
ด้วยเหตุนี้ทำให้บรรยากาศในโรงเรียนเต็มไปด้วยความตึงเครียด
มีป้ายสีแดงที่เป็นด้วยตัวอักษรสีขาวแขวนไว้ตรงหน้าประตูโรงเรียนเขียนไว้ว่า
“สู้ให้ถึงที่สุดที่สุดรับรองว่าคุณจะไม่เสียใจภายหลัง”
เกาเผิงหงายหน้ามองป้านข้างบน เขาส่งเสียงคร่ำครวญ ‘ฤดูกาลสอบประจำปีเวียนกลับมาอีกแล้ว’
“ไปกันเถอะ” เกาเผิงลูบศีรษะสตีปี้ที่ตามเขามา
ช่วงเวลาที่ผ่านมาสตีปี้ลดน้ำหนักไปเยอะมาก มันสูง 2เมตร กว้าง 5เมตร ตัวมันใหญ่เท่ารถเก๋งขนาดย่อมๆเลย ผู้ตามท้องถนนต่างหลบให้มัน
ขาที่แข็งแกร่งที่สามารถเจาะถนนได้สบายๆและที่ด้านหน้ามีโล่ขนาดยักษ์สองอันตรงอยู่
แต่มีเรื่องเดียวที่ทำให้เกาเผิงไม่พอใจอยู่เล็กน้อยก็คือ สตีปี้มันชอบเดินไปด้านข้างแบบปูจริงๆ ทำให้มันดูตลกมาก
เมื่อพวกเขามาถึงลานซ้อมที่ด้านหน้าก็มีข้อความที่เขียนให้กำลังใจเช่นกัน
“แด่ผู้เข้าสอบทุกคน หากสอบไม่ผ่านก็กลับไปเลี้ยงหมูไป๊”
เกาเผิงรู้สึกไม่ดีเลยที่อ่านข้อความนี้ ช่างแตกต่างจากข้อความที่หน้าประตูโรงเรียนมาก
หลังจากเอาสตีปี้ไปไว้ในที่พักสัตว์อสูรเสร็จ เกาเผิงจึงเดินไปที่ห้องเรียน วันนี้เป็นวันนักเรียนจะส่งมอบตั๋วเข้าสอบให้กับอาจารย์ ถึงเกาเผิงจะเป็นนักเรียนเตรียมทหารจึงไม่จำเป็นต้องใช้ตั๋วนี้แต่อาจารย์มู่หลางก็ให้เกาเผิงล่วงหน้า
หากในยามปกติอาจารย์จะเก็บให้ไว้กับตัวหากให้นักเรียนไปก่อนเกรงว่าตั๋วอาจจะหายได้
เกาเผิงรับตั๋วเข้าสอบจากอาจารย์มู่หลาง เมื่อรับเสร็จเกาเผิงยังไม่รีบออกจากห้องพักครูในทันที ดูเหมือนอาจารย์มู่หลางจะมีเรื่องที่อยากจะคุยกับเกาเผิง
“เธอมีผลการเรียนที่ดีมาก มันจะทำให้เธอเข้ามหาวิทยาลัยดีๆที่ไหนก็ได้” อาจารย์มู่หลางกล่าว “ถ้าผลการสอบออกมาดีทั้งคู่ เธอมีแผนจะไปทางไหนเหรอจ๊ะ”
ข้างในหัวเกาเผิงตอนนี้โล่งมาก เขาไม่รู้จะตอบอาจารย์ว่าอย่างไรดี เขาไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน เขาคิดแค่ว่าทำผลการเรียนให้ที่ดีสุดก็พอ เพื่อพ่อแม่ของเขาที่อยู่บนสวรรค์จะได้ไม่ผิดหวังในตัวเขา
“บางที ผมอาจจะสมัครเข้ามหาวิทยาลัยฉางอานล่ะมั้งครับ” เกาเผิงพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่แน่ใจ
แม้ว่ามหาวิทยาลัยฉางอานจะเป็นสถาบันท้องถิ่นที่มีชื่อเสียงและเธอก็เป็นคนฉางอานด้วย แต่อดไม่ได้ที่จะให้คำแนะนำเกาเผิงเกี่ยวเรื่องนี้ ถึงแม้มหาวิทยาลัยเมืองฉางอานจะไม่เลวแต่มันไม่ใช่มหาวิทยาลัยอันดับต้นของประเทศ
เธอเล็งเห็นความสำคัญของอาชีพผู้ฝึกสอนสัตว์อสูรและเกาเผิงก็สนใจในอาชีพนี้ด้วย
“แต่ว่ามหาวิทยาลัยฉางอานไม่อาจารย์ผู้สอนที่เก่งๆเลยนะและสถานที่ก็ไม่เอื้ออำนวยอีกด้วย ฉันขอแนะนำเธอใหไปเรียนที่มหาวิทยาลัยหนานจิง, มหาวิทยาลัยหยูโจว หรือมหาวิทยาลัยเซาเทิร์นก็เป็นตัวเลือกที่ดีนะ ที่นั่นมีคนเก่งเยอะมากเลยนะ จะต้องพัฒนาความสามารถของเธอได้มากแน่ๆเลยจ๊ะ”
เกาเผิงพยักหน้าตอบรับอย่างเงียบๆ
สถาบันที่อาจารย์มู่หลางกล่าวมาเมื่อกี้เต็มไปด้วยปัญญาชนที่มีพรสวรรค์ บางคนก็ออกทีวีบ่อยๆอีกด้วย