ในการสอบรอบแรกนั้นสำหรับหลายๆคนนี่ถือว่าเป็นจุดสิ้นสุด แต่สำหรับบางคนแล้วนั้น นี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น
*กริ๊งงง*
สายเรียกเข้าสำนักงานการสอบโทรมาหาเกาเผิงในตอนเช้า
“สวัสดีครับ นี่ใช่คุณเกาถือสายอยู่รึเปล่าครับ” เจ้าหน้าที่ถาม
“ใช่ครับ ผมเกาเผิงเองครับ”
“สวัสดีครับผมโทรมาจากสำนักงานการสอบแห่งชาติครับ ผมจะมาแจ้งข่าวให้คุณเกาเผิงรับทราบว่า คุณเกาได้รับคัดเลือกเข้าสอบในรอบที่สองครับ ทางเราจะมีกำหนดการดังนี้ครับ
เราจะนัดรวมตัวผู้เข้าสอบในวันที่ 27 มิถุนายน เวลา 9โมงเช้า สถานที่นัดหมายคือสนามสอบในรอบแรกครับ โดยระยะการสอบของรอบที่สองนั้น จะใช้เวลาทั้งสิ้น 15วันครับ ทางเราจะเตรียมข้าวของเครื่องใช้ให้กับผู้เข้าสอบ ฉะนั้นคุณเกาไม่จำเป็นต้องเอาสัมภาระมานะครับ ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ทางสำนักงานจะแจ้งให้ท่านทราบภายหลัง”
“ทราบแล้วครับ ขอบคุณครับ สวัสดีครับ” เกาเผิงกดวางและเปิดปฏิทินดูวันและเวลา
นี่เป็นการสอบรอบที่สองตามที่หัวหน้าผู้ฝึกสอนเฉินเล่าให้เขาฟัง แต่เขาก็ไม่ได้บอกถึงรายละเอียดอะไรมากนัก เขาไม่รู้ว่าการสอบรอบนี้เขาจะเจออะไรบ้าง
วันนี้เป็นวันที่ 26 ฉะนั้นพรุ่งนี้ เป็นวันที่ 27 จะเป็นการเริ่มการสอบรอบที่สองวันแรก
เนื่องเฟลมมี่ยังไม่แข็งแกร่งมากนัก ดังนั้นมันเลยจำเป็นที่จะอยู่ที่นี่ไปก่อน
เกาเผิงวางแผนที่จะฝากเฟลมมี่ให้ลุงหลิวดูแลในระหว่างที่เขาไม่อยู่ เขาจึงคว้าตัวเฟลมมี่เดินไปยังบ้านของลุงหลิว
“อ้าวเสี่ยวเผิงมีเรื่องอะไรอย่างงั้นหรือ” ลุงหลิงกำลังนั่งเก้าโยกอยู่ที่หน้าบ้าน เขาออกมารับอากาศที่บริสุทธิ์ที่อยู่ด้านนอก
“ลุงหลิวครับพอดีผมติดการสอบรอบที่สองเลยทำให้ต้องออกจากบ้านเป็นเวลาหลายวัน ผมเลยจะฝากเจ้าเฟลมมี่ให้ลุงช่วยดูแลมันหน่อยนะครับ” เกาเผิงรู้สึกเขินๆ แม้จะรู้ว่าลุงหลิวจะถูกส่งมาโดยคุณตาเพื่อดูแลเขา แต่เขาก็รู้เขินๆอยู่ดีที่จู่ๆมาขอให้ลุงช่วยเขา
“แหม่ เสี่ยวเผิง หลานไม่ต้องเกรงใจไปหรอก ลุงจะดูแลมันอย่างดีให้ข้าวให้น้ำจนอ้วนหมีพีมันเอง ฮ่าๆ”
‘โอ้..’ เกาเผิงพึมพำกับตัวเองเบาๆ เขาก้มมามองเฟลมมี่ที่อุ้มอยู่ในอ้อมกอดของเขา เขาคิดว่าหลังจากที่เขากลับสภาพของมันต้องเปลี่ยนไปแน่ๆ
เฟลมมี่มองลุงหลิวด้วยความสับสน ชายแก่ยิ้มและพูดกับมันว่า
“แกสามารถพักผ่อนและอยู่ที่นี่ได้นะ คิดซะว่าเป็นบ้านของตัวเองล่ะกัน”
“ไม่ต้องกังวลไปนะ ลุงหลิวเป็นคนที่เชื่อถือได้” จากนั้นเกาเผิงก็ส่งเฟลมมี่ให้ลุงหลิวดูแล และบอกว่ามันว่าให้อยู่ที่นี่และเชื่อฟังลุงหลิวด้วย
เฟลมมี่มันไม่ได้โง่ มันเข้าใจสิ่งที่เจ้านายพูด มันตีปีกสองทีเพื่อแสดงว่ามันเข้าใจ
…….
ตอนนี้ต้าซื่อได้เลื่อนขั้นเป็นชนชั้นนักรบแล้ว หลังจากที่ติดอยู่ที่เลเวล 20มาเป็นเวลานาน
หากสัตว์อสูรมีเลเวลและระดับที่เหมาะสมแล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่มันจะสามารถเปลี่ยนชนชั้นได้ แต่อาจต้องใช้เวลาและจังหวะที่เหมาะสมถึงจะเปลี่ยนได้ ไม่จำเป็นต้องไปต่อสู้เพื่อให้เกิดการเลื่อนชนชั้นแบบที่ดัมมี่ทำ นั้นเป็นเรื่องบังเอิญมากกว่า สำหรับสัตว์อสูรทั่วไปมันจะเปลี่ยนชนชั้นเองโดยธรรมชาติ
วันถัดมา เกาเผิงนั่งสตีปี้พร้อมกับดัมมี่ ต้าซื่อและซิลลี่ไปยังที่สนามสอบรอบแรก เขาไม่รู้ว่าจะมีผู้สอบผ่านเข้าสู่รอบสองกี่คน
เขาคิดว่าคนที่สอบผ่านคงจะมีราวๆ สองหรือสามร้อยคน แต่เมื่อเขามาถึงกลับพบว่ามีผู้เข้าสอบแค่ไม่กี่คนเท่านั้น
‘สงสัยฉันคงจะมาเร็วเกินไป’ เกาเผิงคิด
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง จนเจ้าหน้าที่ที่คุมสอบเดินเข้ามาแล้ว ก็ไม่มีผู้เข้าสอบคนอื่นเข้ามาอีกเลย
เจ้าหน้าที่ขับรกจิ๊บที่มีป้ายทะเทียนของทหาร รถจิ๊บเข้ามาจอดใกล้ตรงที่ผู้สอบยืนรออยู่
“สวัสดีผู้ที่ผ่านการสอบรอบแรกทุกท่าน ตัวผมจะทำหน้าเป็นผู้ประสานงานให้คุณในตลอด การเดินทางนี้” ชายผมสั้นสวมแว่นลงมาจากรถจิ๊บและเดินมาหาพวกผู้สอบ “เอาล่ะ ขอให้ทุกคนตั้งใจหังสิ่งที่ผมจะพูดให้ดีๆ”
‘8 คนอย่างงั้นเหรอ บ้าน่า’ เกาเผิงถึงกับพูดไม่ออก ‘สอบครั้งนี้มีผู้สอบแค่ 8คนและ รอบสามล่ะ จะเหลือกี่คนกัน’ เกาเผิงอดไม่ได้ที่จะตะลึงกับสถานการณ์นี้
“สนามสอบรอบที่สองนี้ไม่ได้จัดที่เมืองฉางอานแต่จะจัดบริเวณใกล้ๆกับวนอุทยานแห่งไท่เจียงชาน ที่ตั้งของฐานทัพในเมืองเจียงหนาน ขอให้พวกคุณเตรียมใจไว้ให้ดี เพราะการสอบครั้งไม่ใช่การรับมือสัตว์อสูรแบบตัวต่อตัว แต่พวกตั้งรับมือกับสัตว์อสูรในป่าทุกทิศทาง”
“วนอุทยานแห่งชาติไท่เจียงชานนี้ทางเราได้ตรวจสอบและพบว่าที่นี่อาจมีสัตว์อสูรชนชั้นราชวงศ์อาศัยอยู่” หลังจากเขาก็หยุดนิ่งสักพักเพื่อดูปฏิกิริยาของทุกคน “อย่างไรก็ตามที่นี่มีสัตว์อสูรชนชั้นนักรบไม่ต่ำกว่า 500ตัวที่นี่และบางตัวก็เป็นชนชั้นนักรบที่มีเลเวลสูงอยู่ด้วย”
เมืองเจียงหนาน วนอุทยานแห่งชาติไท่เจียงชาน
ฝูงชนถึงกับตกตะลึง ‘ทำไมฉันต้องไปไกลถึงที่นั่นด้วย’
“โดยทางรัฐบาลและสหพันธ์ผู้ฝึกสอนสัตว์อสูรจะรับรองความปลอดภัยให้กับพวกคุณ โดยทางเราจะมอบปืนไฟให้พวกคุณ หากเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินขอให้พวกคุณยิงปืนขึ้นฟ้า พวกเขาจะไปช่วยพวกคุณให้เร็วที่สุด แต่ผมคงไม่ต้องบอกใช่มั้ย หากใช้ปืนไฟนี่ สถานะการสอบของคุณจะเป็นยังไงต่อ”
“ในรอบนี้ทางเราจะไม่บังคับพวกคุณและผลลัพธ์จะไม่กระทบกับการสอบรอบแรกของพวกคุณ พวกคุณมีเวลาตัดสินใจเพียงครึ่งชั่วโมง หลังจากครึ่งชั่วโมงจะมีเครื่องบินมารับพวกคุณไปส่งยังจุดหมาย”
หลังจากพูดเสร็จเจ้าหน้าที่ที่สวมแว่นไปเดินออกไป เขาหยิบบุหรี่ออกมาเพื่อสูบมัน
จู่ๆก็มีร่างขนาดใหญ่มาหาเขา
เจ้าหน้าที่เงยหน้าขึ้นมาและพบว่าดัมมี่มันจ้องมาที่เขา
“แกอยากได้อะไร” เจ้าหน้าที่ที่สวมแว่นถามพลางสูบควันบุหรี่เข้าปอด เขามองดัมมี่ด้วยสีหน้าที่งุนงง
ดัมมี่แบมือขวา เผยให้เห็นโครงกระดูกสีขาวใต้ผ้าคลุมสีดำ
เจ้าหน้าที่ที่สวมแว่นขมวดคิ้ว เขายื่นมือไปจับมือของดัมมี่
“ทำไมมือแกถึงเหลือเหลือกระดูกเนี่ย”
ดัมมี่จ้องไปที่บุหรี่ในมือซ้ายของเจ้าหน้าที่
เขาก็รู้ได้ในทันทีว่ามันไม่ได้อยากจะจับมือเขาแต่ต้องการบุหรี่เขา
“แกที่ผอมเหลือแต่กระดูกแบบนี้ยังต้องการจะสูบบุหรี่อีกหรือ”
ไม่ใช่ว่าเขาขี้งกอะไรแต่เขาอยากสูบบหรี่ของเขาเงียบๆ
ดัมมี่ก็ยังคงแบมือของมันอยู่อย่างงั้นไม่ไหน
มันเป็นแค่โครงกระดูกฉะนั้นจึงไม่มีความอายใดๆ
ในที่สุดเขาก็ยอม เขาหยิบบุหรี่ม้วนหนึ่งให้ดัมมี่
ดัมมี่หยิบที่ได้กับยัดเข้าไปในปากและเริ่มเคี้ยว
“เฮ้เดี๋ยวก่อนมันไม่ได้ใช้อย่างนั้น แกต้องจุดไฟก่อนถึงจะสูบได้”
เขาอดที่จะตะโกนออกมาไม่ได้ เพราะบุหรี่ม้วนนี้เป็นแบบพิเศษที่ทำด้วยสมุนไพรชนิดต่างๆ
ดัมมี่มองเขาอย่างงุนงง จากนั้นที่ปากของมันก็เริ่มมีควันออกมา
มันสามารถใช้วิธีนี้ในการสูบบุหรี่ได้