“เป็นแกใช่มั้ยที่เป็นคนพังข้าวของในบ้านแบบนี้” เกาเผิงถามนกกระเรียนชาดเปลวอัคคีพร้อมชี้ไปที่เฟอร์นิเจอร์ที่พังของเขา
นกกระเรียนชาดเปลวอัคคีแกล้งทำเป็นฟังไม่รู้เรื่อง มันทำเป็นมองที่เพดาน ราวกับจะพูดว่า “ฉันเป็นนก ฉันฟังไม่รู้เรื่องหรอก”
“ฉันรู้ว่าแกฟังฉันรู้เรื่อง ฉันจะพูดให้ฟังชัดๆนะ แกเป็นตัวการพังของในบ้านฉันใช่มั้ย” เกาเผิงถามพลางเดินไปตั้งโซฟาขึ้นและลงไปนั่ง
เมื่อนกกระเรียนชาดเปลวอัคคีได้ยินอย่างนั้นมันจึงแกล้งตายทันที มันเข้าใจสิ่งที่เกาเผิงพูดอย่างแน่นอน
มันเป็นสัตว์อสูรที่มีสติปัญญาสูง ที่สามารถกลายเป็นสัตว์อสูรชนชั้นราชวงศ์ได้เมื่อมันค่อยๆโตขึ้น
เกาเผิงถอนหายใช้เฮือกใหญ่ เมื่อนึกถึงค่าใช้จ่ายของเฟอร์นิเจอร์ที่จะต้องซื้อใหม่ เป็นจำนวน 12เครดิตพันธมิตร แค่คิดก็เจ็บปวดแล้ว
“รู้มั้ยว่าเฟอร์นิเจอร์พวกนี้แพงแค่ไหน ถึงฉันจะจับแกไปขายแกก็จะยัง—”
เกาเผิงหยุดชั่วครู่ ก่อนจะพูดว่า “ยังมีความผิด”
‘มีความผิด!!’ ต้าซื่อรู้สึกขนลุกตั้งแต่หัวจรดปลายหาง มันมองนกกระเรียนชาดเปลวอัคคีด้วยสีหน้าที่ชั่วร้าย
เมื่อก่อนต้าซื่อเคยกัดแทะโซฟาจนเละเทะ ตอนนั้นมันถูกเกาเผิงลงโทษหนัก ทำให้ตอนนี้มันจะได้เห็นนกกระเรียนชาดเปลวอัคคีที่โชคร้าย ที่ถูกลงโทษแบบเดียวกับมัน
มันจินตนาการว่าเกาเผิงจะจับนกกระเรียนชาดเปลวอัคคีจับขึงตรึงลงกับพื้น ด้วยภาพที่มันคิดไว้ มันดูน่าสนุกมากจึงอดไม่ได้ที่ต้าจะหัวเราะออกมา
นกกระเรียนชาดเปลวอัคคีมองดูเกาเผิงด้วยสายตาที่เบื่อน่าย มันคิดว่า
‘ถึงฉันจะทำลายบ้านของแกแล้วจะทำไม’
เมื่อก่อนตอนที่มันอาศัยอยู่ที่รัง มันชอบทำลายข้าวของตามอำเภอใจไปทั่ว
‘สัตว์อสูรตัวอื่นยังไม่ว่ามันอะไรมันเลยและแกเป็นใครถึงฉันจะพังของในบ้านแกไม่ได้’
แต่จู่ๆความดื้อรั้นของก็เปลี่ยนอย่างฉับพลัน ราวกับมันนึกเรื่องบางอย่างออก ดวงตาของมันผลุบต่ำลง ไม่มีท่าทีต่อต้านอะไรอีก ราวกับมันได้ยอมรับความพ่ายแพ้
ตอนนี้เกาเผิงเหนื่อยมากจากการและเห็นถึงความผิดปกติของมันด้วย เขาตัดสินใจที่จะไม่ลงโทษมัน
“เอาล่ะ ครั้งนี้ฉันจะคาดโทษแกเอาไว้ก่อน คราวต่อไปแกโดนหนักแน่”
ต้าซื่อมีท่าทีตกใจทันที ‘อะไรน่ะ เจ้านายไม่ลงโทษมันงั้นเหรอ ทีเค้าเจ้านายยังฟาดหนักเลย’
ต้าซื่อมองไปที่เจ้านายของมันด้วยสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อ ตอนนี้เกาเผิงเจอเรื่องมากมายในวันนี้ เขาเลยไม่ได้สังเกตต้าซื่อเลย
เกาเผิงหยิบมือถือขึ้นมา กดเบอร์โทรหาร้านของเฟอร์นิเจอร์สั่งซื้อพวกมันมาใหม่
พนักงานรับสาย เกาเผิงจึงดำเนินการสั่งซื้อทันที พวกเขาจะส่งคนมาตรวจบ้านเพื่อเสนอขายกับเฟอร์นิเจอร์ที่เหมาะสมให้เกาเผิง พนักงานจะมาที่คฤหาสน์ภายใน 2ชั่วโมง
เคสที่สัตว์อสูรชอบทำลายข้าวของพวกเขามักจะเจอบ่อยๆ แต่เคสของเกาเผิงที่สั่งซื้อแฟอร์นิเจอร์แทบทั้งบ้านไม่ค่อยมีให้เห็นมากเท่าไหร่นัก
เกาเผิงครุ่นคิดอย่างเงียบๆ คิดไปพลางมองนกกระเรียนชาดเปลวอัคคีอย่างระมัดระวัง เจ้านกตัวนี้อยู่ในระดับมหากาพย์เช่นเดียวกับดัมมี่ เมื่อมันโตขึ้นมันจะกลายเป็นชนชั้นราชวงศ์โดยอัตโนมัติ
ความแข็งแกร่งของมันต้องสูงกว่าดัมมี่แน่ๆเลย เมื่อมันโตขึ้น
เกาเผิงไม่คิดว่าคุณตาของเขาจะมอบของขวัญที่สุดวิเศษอย่างนี้ เขาไม่รู้ว่าสัตว์อสูรชนชั้นราชวงศ์เก่งแค่ไหนเพราะเขารู้จักแค่ผู้ปกครองผืนทะเลทรายเท่านั้น
เกาเผิงรู้สึกทึ่ง เขาไม่คิดว่าคุณตาของเขาจะมีอำนาจมากขนาดนี้
เกาเผิงรู้สึกดีที่รู้อย่างนี้ อย่างน้อยคุณตาก็จะปลอดภัยและแข็งแรง จะได้อยู่กับเขาได้นานๆ ยังไงเขาก็เป็นญาติคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ของเขา
แต่เขาก็รู้สึกกังวลที่นึกถึงเรื่องของคุณตา เนื่องจากเขาไม่รู้ว่าปัญหาที่คุณตาเจอมันใหญ่แค่ไหนและถ้าหากคุณตาสะสางปัญหาไม่ได้ล่ะ เขาพอจะช่วยคุณตาได้รึเปล่า
“อืม ตั้งชื่อให้แกดีกว่า” ตอนนี้เกาเผิงนั่งอยู่ที่ม้านั่งในสวนบริเวณหน้าบ้าน เขาหันไปมองนกกระเรียนชาดเปลวอัคคีที่มันกำลังก้มหน้ามองไปในสระน้ำเพื่อหาปลาที่อยู่ในบ่อ
มันมีแค่ขาข้างเดียวเท่านั้น ดังนั้นมันต้องกระโดดแหยงๆ ไปมาบนบก
นกกระเรียนชาดเปลวอัคคียืดคอมองหาปลาในสระพลางส่งเสียงบอกเกาเผิงว่า มันไม่สนใจชื่อที่เกาเผิงจะตั้งให้
ทันใดนั้นนกกระเรียนชาดเปลวอัคคีก็พุ่งลงไปในน้ำอย่างรวดเร็ว มันคาบปลาได้ตัวหนึ่ง ก่อนจะยกหัวขึ้นเหวี่ยงปลา ก่อนจะเปิดปากงับปลาและกลืนลงไป
มันทำหน้าพึงพอใจในรสชาติของปลามาก
“ชื่อของแกมีคำว่า เปลวอัคคี(Flaming) งั้นฉันจะตั้งชื่อแกว่า เฟลมมี่ ล่ะกัน”
นกกระเรียนชาดเปลวอัคคีกระพริบตาและหันมามองเกาเผิง มันไม่รู้ว่าชื่อมันหมายความว่ายัง แต่ชื่อมันฟังดูดีใช้ได้ มันส่งเสียงออกมาราวกับพอใจกับชื่อ
ถึงเกาเผิงจะรู้ว่าเฟลมมี่เพิ่งจะมาถึงบ้านและไม่ควรจะเร่งให้มันทำพันธะสัญญาเลือดทันที แต่เขาอยากจะลองทำสัญญากับมันดูสักหน่อย
ยังดีที่เขาย้ายมาอยู่ที่คฤหาสน์แล้ว ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะอยู่กับสัตว์อสูรของเขาอย่างแออัดที่ห้องเช่าในอพาร์ทเม้นท์ของเขา
และดัมมี่กับสตีปี้ก็ไม่ชอบนอนในโรงรถด้วย พวกมันชอบที่นอนบนหญ้าและมองดูดาวบนท้องฟ้า
เกาเผิงได้หันดูเหล่าสัตว์อสูรของเขา ต้าซื่อที่เป็นดั่งของดูต่างหน้าของพ่อแม่แน่นอนว่ามันมีความสำคัญต่อเขามาก ส่วนซิลลี่ ดัมมี่ และสตีปี้ ที่เขาได้ซื้อมา ได้รับมา หรือพามันมา ในช่วงเวลาที่ไล่เลี่ยกัน พวกมันต่างอาศัยอยู่ด้วยกัน
และตอนนี้ เฟลมมี่ ก็ได้กลายเป็นสมาชิกใหม่
เกาเผิงรู้สึกว่าเขามีเซนส์การตั้งชื่อที่ดีมาก ดูได้จากสัตว์อสูรทั้งหมดที่เขาตั้งไว้
“เฟลมมี่มาที่นี่สิ” เกาเผิงเรียกเฟลมมี่มาตรงที่ที่เกาเผิงนั่งอยู่ เขาปิดหนังสือและมองมาที่มัน
เฟลมมี่มองไปที่เกาเผิง มันกางปีกบินไปหาเขา มันมองเกาเผิงด้วยความสงสัย
เกาเผิงหยิบที่เจาะเลือดมาและเจาะที่นิ้วนางของเขา จากนั้นก็เอามือซ้ายวางไว้บนศีรษะของเฟลมมี่ และเขาก็หลับตา
เกาเผิงได้เขาไปในจิตใต้สำนึกของเฟลมมี่และบางอย่างอยู่ในนั้น
เกาเผิงได้เห็นความทรงจำของเฟลมมี่ที่กระจายอยู่ในนั้น
มีหนองน้ำขนาดใหญ่ ต้นไม้ที่เติบโตอย่างอุดมสมบูรณ์ มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่หนองน้ำที่นี่เป็นจำนวนมาก
แต่ทุกสิ่งทุกอย่างได้เปลี่ยนด้วยการเข้ามาของแขกที่ไม่พึ่งประสงค์
มีเงาขนาดใหญ่โผล่ขึ้นมาบนผิวน้ำ มีเกล็ดสีเขียวที่ดูเหมือนก้อนหินขนาดใหญ่ มันเคลื่อนที่มาที่หนองน้ำ
มันบุกมาที่หนองน้ำอย่างบ้าคลั่ง ผืนน้ำได้ซาดกระเด็นไปทั่ว
และภาพได้ตัดไปอย่างรวดเร็ว เกาเผิงเห็นภาพที่พื้นหลังได้เปลี่ยนไปเป็นสีแดงและเฟลมมี่ที่ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า
บริเวณหนองน้ำส่วนใหญ่มักจะเป็นที่ที่ช่วยสัตว์อสูรเติบโตได้อย่างรวดเร็ว จึงทำให้มีการแก่งแย่งอาณาเขตบริเวณนี้อยู่บ่อยครั้ง
ในความทรงจำของเฟลมมี่มีนกกระเรียนสีแดงตัวใหญ่ที่ดูคล้ายกับเฟลมมี่ มันถูกฉายขึ้นอย่างแจ่มชัด นกกระเรียนสีแดงตัวนี้ได้ถูกกัดโดยจระเข้ขนาดเกือบร้อยเมตร มันกัดและลากนกกระเรียนสีแดงลงไปในน้ำ จากน้ำที่ใสได้เปลี่ยนเป็นสีแดงของเลือด นกกระเรียนสีแดงได้ตายไปแล้ว
เกาเผิงรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดของเฟลมมี่จากภาพที่มันฉายฉากที่น่ากลัวนี้ให้เขาดู