ที่มีเลือดของแมงป่องย้อมพื้นสนามเต็มไปด้วยเลือด
แมงป่องยักษ์ผืนนทีค่อยๆลืมตามองดัมมี่ด้วยความหวาดกลัว มันต้องการหนีเอาชีวิตแต่มันทำไม่ได้เพราะมันเสียเลือดมากเกินไป
มันส่งเสียงครวญครางอ้อนวอนให้ดัมมี่ปลิดชีพของมันซะ ด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง มันรู้ตัวว่ามันไปต่อไม่ไหวแล้ว
ดัมมี่มองมันเงียบๆ จากนั้นก็เดินไปหาแมงป่องยักษ์ผืนนทีจับคอของมันขึ้นมาและหักคอมันอย่างนิ่มนวล
หลัวจากฆ่าแมงป่องยักษ์ผืนนทีเสร็จสีหน้าของดัมมี่ดูนิ่งๆ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเลย
ดัมมี่เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าจากนั้นหันหลังกลับมามองที่เกาเผิง
มันคุกเข่าลง ก้มไปกอดเผิงอย่างนิ่มนวล มันอยากกอดเกาเผิงมาก มันกลัวว่าหากมันตัวใหญ่มากกว่านี้ มันจะไม่สามารถกอดเกาเผิงได้
ดัมมี่เอาศีณษะวางที่ไหล่ของเกาเผิง พูดด้วยเสียงที่อู้อี้ว่า
“ขอบคุณ เจ้านาย”
หากไม่ใช่เจ้านายที่มาช่วยมันในตอนนั้น มันคงได้แต่นอนรอความตายในกรงแห่งนั้น
ถึงมันจะหัวช้าแต่มันก็ไม่ได้โง่
เกาเผิงยืนอยู่นิ่ง เขาก็อยากกอดดัมมี่เช่นกัน แต่พอจะกอดตอบแต่เกาเผิงกับสอดมือเข้าไปข้างในซะนี่ เขาเลยเอามืองวางไว้ที่ซี่โครงของมันแทน
“พอแล้วดัมมี่ หากกอดนานกว่านี้เดี๋ยวต้าซื่อก็หึงฉันพอดีสิ”
ตอนนี้ต้าซื่อเริ่มอยู่ไม่สุกแล้ว มันไม่คิดว่าแม้แต่ดัมมี่ก็มาอ้อนเจ้านายของมันด้วย
‘พวกเขาจะกอดกันนานไปแล้วนะ ไม่ได้การแล้ว’
ต้าซื่อยกตัวขึ้นพร้อมชนไปที่หลังของเกาเผิง ทำให้เกาเผิงไปกองที่พื้น ส่วนต้าซื่อนอนทับเจ้านายของมัน
“ต้าซื่อ!!!”
……..
ในสนามสอบ A นี้ ดัมมี่เป็นหนึ่งในสัตว์อสูรที่สู้เสร็จเร็วที่สุด ตัวที่เร็วกว่าดัมมี่ก็คืออนาคอนด้าทมิฬที่อยู่ทางสนามประลองด้านซ้าย
ตอนนี้มันนอนอย่างเกีจวคร้านที่กลางสนามประลอง ที่ท้องของมันใหญ่โตมากราวกับมันกลืนล้อรถบรรทุกเข้าไป
อนาคอนด้าทมิฬแข็งแกร่งมาก จนเกาเผิงมองไปที่มันหลายต่อหลายครั้ง
โดยปกติแล้วการต่อระหว่างสัตว์อสูรชนชั้นนักรบจะกินเวลาไม่นานมาก แปปเดียวก็สู้เสร็จแล้ว แต่หากเป็นสัตว์อสูรที่บังเอิญจับคู่ได้มีทักษะฟื้นฟูพลังชีวิตการต่อสู้จะกินเวลานานมากขึ้น
“เด็กสาวคนนั้นมาจากครอบครัวจุนเฮงใช่มั้ย” ใครบางคนที่อยู่ในฐานทัพได้พูดขึ้นมา
“ใช่แล้วจุนเฮงมีลูกสาวชื่อจุน จุนอะไรน้า” เขาจำชื่อของเธอไม่ออก
“โอ้จำได้แล้วเธอชื่อจุน เหม่ยลี่” เขากล่าวด้วยน้ำเสยงที่มีความสุขขณะที่ตบหน้าผากของของเขา
จู่บรรยากศในห้องก็กระอั่กกระอ่วนทันที
‘จุน เหมยลี่เป็นใครน่ะ ชื่อฟังดูได้คุ้นเลย’
“อย่ามาล้อเล่นนะฉันจำเด็กสาวที่บุคลิกเย็นชาคนนี้ได้ เธอชื่อจุนเหมยต่างหาก”
เจ้าหน้าที่พูดชื่อชื่อผิดก็หัวแห้งๆทันที “โอ้จุนเหมยนี่เอง โทษทีๆบางทีก็จำผิดไปบ้าง แต่ดูสัตว์อสูรที่อยู่สนามข้างเธอสิ มันเป็นสัตว์อสูรประเภทผี”
“อืม สัตว์อสูรประเภทนี้ค่อนข้างที่หายาก”
“โอ้ ฉันรู้จักเด็กคนนี้” มีใครบางได้พูดขึ้นมาทันที เขาสวมหมวกเบเรต์ ผิวเข้ม คิ้วหนาและมีแผลเป้นเล็กๆที่บริเวณหางตาของเขา นั่นคือหัวหน้าผู้ฝึกสอนเฉิน
“เฒ่าเฉินอย่าบอกนะว่าเด็กนี่เป็นหนึ่งในเด็กที่อยู่ในความดูแลของนาย”
“ใช่แล้ว” หัวหน้าเฉินกล่าว เขาหยุดพูดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “และเขาก็เป็นผู้เพาะพันธุ์สัตว์อสูรที่อายุ้อยที่สุดของเมืองฉางอาน ผลงานที่โดดเด่นของเขาก็คือการขับไล่ตั๊กแตนปาทังก้าใบไม้แห้งและไส้เดือนเผ่ามนุษย์กินคน เขาเป็นตัวแปรสำคัญในการไล่พวกสัตว์อสูรที่พยายามบุกมาที่เมืองฉางอานได้”
เหล่านายทหารระดับสูงต่างตกตะลึง อดไม่ได้ที่จะมองไปที่เด็กคนนี้
“อืม” เจ้าหน้าที่อาวุโสกล่าวพลางจ้องเกาเผิงด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ราวกับเกาเผิงเป็นหลานของเขา
“ฉันได้ยินมาว่าครอบครัวของจุนเหมยให้เธอเรียนโฮมสคูลตี้งแต่ที่เธอขึ้นมัธยมปลาย ที่บ้านเธอได้เชิญอาจารย์มาสอนที่บ้านและได้ไปสำรวจพื้นที่ป่ากับเจ้าหน้าที่ของสหพันธ์รัฐบาลโลก มันเป็นเรื่องจริงรึเปล่า?” เจ้าที่เปิดปากถาม
“ใช่แล้ว เด็กสาวคนนั้นเป็นพนักงานฝึกหัดของหน่วยธงดำของสหพันธ์รัฐบาลโลก” เจ้าหน้าที่อาวุโสได้พยักหน้า
“โอ้ พนักงานฝึกหัดของสหพันธ์รัฐบาลโลก เธอเป็นเด็กสาวที่มีความสามารถมาก” เจ้าหน้าที่ได้พยักหน้า
……
เด็กสาวนามจุนเหมยเธอก็เป็นผู้ฝึกสอนสัตว์อสูรที่มุ่งเน้นกับการฝึกสัตว์อสูรตัวเดียวเท่านั้น ตามที่คนส่วนใหญ่เขาทำกัน
หลังจากรอให้งูของเธอย่อยอาหารเสร็จแล้ว ค่อยเตรียมตัวกลับบ้าน ระหว่างที่เธอจะเดินออกจากสนาม A เธอเหลือบไปเห็นเกาเผิงกับสัตว์อสูรที่ยังรอต่อสู้ในรอบต่อไปของเขา เธอหยุดมองชั่วครู่ก็จะเดินออกไป
หลังจากพักได้ครึ่งชั่วโมง ก็ถึงคราวของต้าซื่อแล้ว คราวนี้นี้ต้าซื่อต้องปะทะสัตว์อสูรชนชั้นขุนนาง
การต่อสู้ในรอบนี้ถือว่าง่ายกว่าปลอกกล้วยเข้าปากมาก ต้าซื่อที่อยู่ในชนชั้นสูงและระดับสมบูรณ์อีก แบบนี้โอกาสแพ้จึงเท่ากับศูนย์
โดยคู่ต่อสู้ที่มันจะท้าทายก็คือ กระทิงเพลิง เลเวล 14 ระดับปกติ
เมื่อเริ่มต่อสู้ต้าซื่อพุ่งเข้าไปกัดทันที แต่กระทิงเพลิงที่มั่นใจให้พลังป้องกันขอมัน หาได้สนใจที่จะหลบไม่ มันเข้าไปโจมตีต้าซื่อเอาดื้อๆ
ส่วนต้าซื่อใช้กลยุทธ์ ฮิทแอนรัน มันพยายามคอยกัดและหลบกระทิงเพลิงในเวลาเดียวกัน
ท้ายที่สุดกระทิงเพลิงที่ได้รับพิษอย่างต่อเนื่อง มันเริ่มขยับตัวไม่ไหว ล้มลงไปที่พื้นด้วยสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อว่ามันจะแพ้แบบนี้ มันพยายามลุกขึ้น แต่ขาไม่ยอมขยับและผิวหนังเริ่มเปลี่ยนสีฟ้า
ทำให้ต้าซื่อได้รับชัยชนะอย่างง่ายดาย
และทีนี้ก็ถึงตาสตีปี้แล้ว
หลังจากพักไปครึ่งชั่วโมง รถบรรทุกก็ได้นำสัตว์อสูรมาส่งที่สนามประลอง มันเป็นสัตว์อสูรสีเหลืองอมเขียวที่แวววาวราวกับหยกทั่ว ทั้งร่างกาย
[ชื่อสัตว์อสูร] ตั๊กแตนตำข้าวใบไม้แห้ง
[เลเวล] 16
[ระดับ] ปกติ
[คุณสมบัติ] ธาตุไม้
[จุดอ่อน] ธาตุไฟ
‘สตี้ปี้เป็นธาตุดินนี่ ส่วนตั๊กแตนตำข้าวใบไม้แห้งเป็นธาตุไม้ เป็นธาตุที่สตีปี้แพ้ทางนี่นา’
เกาเผิงรู้สึกมีความสุขมากที่เขาจะได้คะแนนเพิ่มอีก10%
สัตว์อสูรชนชั้นขุนนางได้คะแนน 100 หากเจอคู่ต่อสู้ที่แพ้ทางอีกได้ 10%
‘โอ้ว ทีนี้ฉันก็จะได้คะแนนมหาศาล ฮ่าๆๆ’
หลังจากที่ตั๊กแตนตำข้าวใบไม้แห้งเดินออกมาจากกรงด้วยท่าทีที่ดูดุร้าย มันหลังไปฟาดกรงไปมา ส่งเสียงดังลั่น
จากนั้นรถบรรทุกที่ขนมันมาได้สตาร์ทรถขับออกไป มันพยายามไล่ตามแต่มันตามไม่ทัน มันจึงกลับมาฟาดกรงด้วยความโมโห
สตีปี้ไม่รู้จะทำอย่างไรดี มันจึงตัดสินใจส่งเสียงเรียกมัน
ตั๊กแตนตำข้าวใบไม้แห้งหยุดตีกรง มันประหลาดใจเล็กน้อย มันไม่คิดว่าจะมีใครพยายามที่จะท้าทายมันด้วย
จากนั้นตั๊กแตนตำข้าวใบไม้แห้งเปลี่ยนความสนใจจากกรงเป็นสตีปี้แทน
ตั๊กแตนตำข้าวใบไม้แห้งใช้กรงเล็บชี้ไปที่สตีปี้จากนั้นก็ชี้มีตัวมัน ราวกับจะถามว่า แกต้องการจะสู้กับฉันก็เข้ามาเลย
เกาเผิงรู้สึกทึ่งกับความฉลาดของตั๊กแตนตำข้าวใบไม้แห้งตัวนี้ ดูเหมือนว่ามันจะมีสติปัญญาเทียบเท่ากับเด็ก 8หรือ9 ขวบเลย