ปฏิบัติการ ตามล่า อำนาจ ของ ฮาร์วีย์ ยอร์ก บทที่ 5
“ครับท่าน ผมจะรีบรายงานให้ท่านประธานทราบทันที ท่าน…”
“อย่าพยายามต่อรองกับฉัน ไม่งั้นฉันจะทำลาย ยอร์ก เอ็นเทอร์ไพรส์ ให้พินาศทั้งหมด!”
ก่อนที่ปลายสายจะได้พูดอะไร ฮาร์วี่ย์ก็ตัดสายไปทันที
…
ในอาณาเขตคฤหาสน์โกลด์โคสต์ คฤหาสน์ทุกหลังของที่นี่ได้รับการออกแบบโดยนักออกแบบที่มีชื่อเสียงระดับโลก โดยเฉพาะประเภทของกระเบื้องเซรามิกจนถึงประเภทของต้นไม้ พวกเขาได้คัดสรรมันมาอย่างดี มันไม่ใช่ว่าใครก็สามารถที่จะซื้อได้แม้ว่าพวกเขาจะร่ำรวยมากแค่ไหนก็ตาม
ในขณะนั้น ฮาร์วี่ย์กำลังนั่งสบายๆ บนโซฟาที่ระเบียง ตรงข้ามเขาคือ โยนาธาน ยอร์ก ผู้บริหารคนปัจจุบันของธุรกิจทั้งหมดในเครือของตระกูลยอร์ก เขามีศักดิ์เป็นลุงของฮาร์วี่ย์และก็เป็นเขาเองที่ให้คนขับรถของเขาไปรับฮาร์วี่ย์มายังคฤหาสน์แห่งนี้
เมื่อมองไปที่ฮาร์วี่ย์ที่ทำตัวสบายๆ โยนาธานยิ้มและพูดว่า “ฮาร์ฟ นี่เราไม่ได้เจอกันมาหลายปีเลยสินะ นายดูหล่อและกำยำมากกว่าเมื่อก่อนอีกนะ…”
“คุณลุง เราไม่ต้องพูดจาอ้อมค้อม วกไปวนมาหรอกครับ เข้าประเด็นกันเลยเถอะ บอกผมมาเถอะครับว่าจะให้ผมช่วยอะไร คุณลุงต้องการให้ผมเข้ามาจัดการปัญหาทั้งหมดงั้นหรอครับ?” ฮาร์วี่ย์ถามอย่างใจเย็นและเขาก็ไม่แม้แต่จะมองไปที่โยนาธานด้วยซ้ำ
โยนาธานหัวเราะเยาะหยัน “ฮาร์ฟ นายนี่ยังคงเป็นคนตรงไปตรงมาเสมอเลยนะ ถ้าอย่างนั้นฉันจะไม่พูดอ้อมค้อมนะ…” ในขณะนั้นโยนาธานดูเหมือนทำอะไรไม่ถูก เขาเป็นคนที่มีอิทธิพลและมีอำนาจมากคนหนึ่งในเมืองนิอัมมี่ เขาสามารถสร้างผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ให้กับคนทั้งเมืองได้เพียงแค่ลงมือทำ แต่ตอนนี้เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องถ่อมตัวและยอมจำนนต่อหน้าฮาร์วี่ย์ เพราะเขามีสิ่งที่จะต้องร้องขอ
“ครอบครัวของเราลงทุนตามกระแสและนำเงินไปลงทุนในตลาดหุ้นซื้อขายน้ำมันดิบล่วงหน้า ด้วยเหตุนี้แหละ เราจึงขาดทุนมหาศาล ตอนนี้เงินทุนของครอบครัวเรา…”
“เข้าประเด็นเลยเถอะ! คุณลุงต้องการเท่าไหร่”
“มันไม่มากหรอก ก็แค่ประมาณพันล้านดอลลาร์…”
‘บัดซบ!’ ตาของฮาร์วี่ย์กระตุกสั่นเล็กน้อย ‘พันล้านดอลลาร์งั้นหรอ? ทำไมคุณลุงไม่ไปปล้นธนาคารซะเลยล่ะ’
“เอาล่ะครับท่านประธานยอร์ก ผมมีธุระอื่นต้องไปจัดการ ผมขอตัวก่อนนะครับ…” ฮาร์วี่ย์ลุกขึ้นยืนทันทีและกำลังจะออกไป
“ฮาร์ฟ!” โยนาธานค่อนข้างเป็นกังวล เขาพูดออกมาทันทีว่า “เราจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนนี้ ถ้าเราไม่มีเงินทุนก้อนนี้ เราจะไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้และธุรกิจเราก็จะเจ๊ง นอกจากนี้ถ้านายต้องการอะไร ฉันยอมทำทุกอย่างที่นายต้องการ!”
ฮาร์วี่ย์มองลึกเข้าไปในดวงตาของโยนาธานและพูดอย่างหมดหนทางว่า “ผมเห็นความจริงใจของคุณลุงนะครับ แต่ปัญหาคือผมจะไปเอาจำนวนมากขนาดนั้นมาจากไหน”
“ฮาร์ฟ นายอยากเห็นครอบครัวของเราพังพินาศจริงๆหรอ? นายมีเงินกว่าล้านล้านดอลลาร์ในบัญชีต่างประเทศของนาย นายสามารถช่วยเรานะฮาร์ฟ แค่เพียงนายให้เงินเล็กน้อยนั่นกับเรา!” โยนาธานรู้สึกประหม่ามากจนดวงตาของเขาแดงก่ำ “นายอย่าลืมสิ ว่านายมาจากไหน!”
ในตอนแรกฮาร์วี่ย์ก็ยิ้มออกมา แต่เมื่อได้ยินเช่นนั้นสีหน้าของเขาก็สลดลง “คุณลุงครับ แต่จากสิ่งที่ผมจำได้ ในช่วงเวลานั้นทุกๆคนต่างก็เชื่อว่าผมไม่สมควรที่จะเป็นทายาทของตระกูลยอร์ก”
“ตระกูลของเรามีมากกว่าร้อยคน ไม่มีใครสักคนที่จะไถ่ถาม มีแต่คอยประณามกันอย่างรุนแรงครั้งหนึ่งผมเคยเป็นคนที่ทำผลกำไรให้ครอบครัวอย่างมหาศาล แต่ผมกลับถูกไล่ออกมาเหมือนตัวปัญหา แต่มาตอนนี้คุณลุงกำลังขอให้ผมจดจำว่าผมมาจากไหนนั้นหรอครับ คุณลุงไม่คิดว่ามันจะดูตลกไปหน่อยเหรอครับ?
“ทำไมคุณลุงไม่ลองคิดดูว่าผมทำงานหนักแค่ไหนเพื่อหาเงินมาจุนเจือครอบครัวในช่วงตลอดหลายปีที่ผ่านมา? คุณลุงมีความสุขกับเงินและผลกำไรที่ผมหามาได้ แต่สุดท้ายกลับปฏิเสธผม”
“ผมกลายเป็นลูกเขยที่ไร้ค่าของครอบครัวอื่นในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา ผมใช้ชีวิตที่น่าสมเพชนั่น คุณลุงไม่แม้จะมาเยี่ยมหรือยื่นมือเข้ามาให้ความช่วยเหลือผมเลย”
“ถ้าคุณลุงไม่ได้อยู่ในวิกฤตครั้งใหญ่นี้ คุณลุงยังจำทายาทคนก่อนได้ไหมครับ” ฮาร์วี่ย์พูดทุกคำอย่างหมดจด
ดวงตาของโยนาธานกระตุกเล็กน้อย เขาพูดทันทีว่า “ฮาร์ฟ พวกเราผิดไปแล้ว ให้เราได้ทำอะไรเพื่อเป็นการขอโทษนายเถอะนะ ฉันอยากให้นายยกโทษให้กับเรา… แต่ตอนนี้เราต้องการให้นายช่วยแก้ไขวิกฤตนี้ก่อน ฉันสามารถตัดสินใจอะไรก็ได้ทันทีที่นี่ นับจากนี้เป็นต้นไปนายคือ ซีอีโอของยอร์ก เอ็นเทอร์ไพรส์!”
แม้ว่า ยอร์ก เอ็นเทอร์ไพรส์ ไม่ใช่บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในตระกูลยอร์ก แต่มันก็เป็นบริษัทที่มีศักยภาพมากที่สุด ที่มุ่งเน้นไปที่การลงทุนเพื่อแลกกับการเป็นเจ้าของในบริษัทนั้น นอกจากนี้ยังมีหุ้นอยู่มากในหลายบริษัทในเมืองนิอัมมี่ ทั้งหมดรวมถึงผลิตภัณฑ์และแผนงานใหม่ๆที่กำลังจะเข้าจดทะเบียน
แต่ในตอนนี้ บริษัทแห่งนี้อยู่ภายใต้การดูแลของ เบลล์ ยอร์ค ซึ่งเป็นลูกสาวของโยนาธาน เธอเป็นลูกพี่ลูกน้องของฮาร์วี่ย์ น่าแปลกที่โยนาธานกำลังจะส่งมอบบริษัทนี้ให้กับเขา
“ก็ดีนะครับ ผมรับข้อเสนอนนี้” ฮาร์วี่ย์พิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง ตอนแรกเขาไม่หยากจะยุ่งเกี่ยวกับคนในตระกูลยอร์กอีก แต่เขายังจดจำสิ่งที่เกิดขึ้นในเช้าวันนั้นได้อย่างชัดเจน หากเขาไม่ได้เป็นเจ้าของบริษัท เขาก็จะถูกรังแกได้ง่ายและถูกประณามจากใครหลายๆคน
“ไม่ต้องกังวล ลุงจะจัดการให้เรียบร้อย พรุ่งนี้ลุงจะเข้าบริษัทและลงนามในเอกสารให้เรียบร้อย แล้วลุงจะจัดการเรื่องดอกกุหลาบจากปรากให้…” โยนาธานถอนหายใจด้วยความโล่งอก หากฮาร์วี่ย์ไม่ยินยอมที่จะช่วยเหลือพวกเขาแล้วละก็ ตระกูลยอร์กคงจะต้องทนทุกข์ทรมานอย่างมากแม้ว่าพวกเขาจะไม่ล้มละลายก็ตาม
ฮาร์วี่ย์ไม่สนใจเรื่องของเขาอยู่แล้ว หากเขาไม่สามารถจัดการกับเรื่องเล็กน้อยเช่นนั้นได้ เขาก็ไม่สามารถอยู่รอดได้ในสายงานธุรกิจนี้
“ยังไงก็ ผมขอยืมชุดสูทนี้หน่อยนะครับ” ฮาร์วี่ย์ที่กำลังจะจากไป แต่เขาเห็นชุดสูทใหม่ที่วางอยู่บนโซฟา ดวงตาของเขาก็เปล่งประกาย
คืนนี้เขาจะไปงานรวมรุ่นเพื่อพบปะเพื่อนร่วมชั้นเรียนจากมหา’ลัยและเขาก็ยังกังวลเกี่ยวกับเสื้อผ้าที่ดูดีไว้สำหรับใส่ออกงาน ซึ่งตอนนี้ก็ไม่มีเวลาแล้วที่จะออกไปหาซื้อ เขาจึงตัดสินใจยืมมันจากโยนาธาน
“ไม่เป็นไร ถ้านายชอบก็เอาไป มันเป็นของขวัญจากแบรนด์ Armani ยังมีป้ายราคาติดอยู่เลย” โยนาธานพยักหน้าอย่างสบายๆ แม้ว่าชุดสูทนั้นจะมีราคาแพง แต่ก็ไม่มีความหมายอะไรเลยหากเทียบกับหนึ่งพันล้านดอลลาร์ ประธานบริษัทยอร์กอย่างเขาจะสนใจเรื่องแค่นี้ได้อย่างไร?
ฮาร์วี่ย์ไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาจึงไปเปลี่ยนเป็นชุดในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที จากนั้นเขาก็เหลือบมองไปที่รองเท้าของตัวเองแล้วหันไปมองตู้รองเท้าของโยนาธานด้วยความรังเกียจ
โยนาธานดูเหมือนจะเป็นคนมีกลิ่นเท้า ‘ฉันไม่อยากใส่รองเท้าของเขาเลย ฉันจะใส่รองเท้าแตะของฉันเนี่ยแหละ’
เขาได้ยินมาว่าเพื่อนร่วมชั้นทุกคนจะเข้าร่วมการรวมรุ่นในคืนนี้ ดูเหมือน เวนดี้ เซอร์เรล ดาวมหา’ลัยในปีนั้นก็มางานนี้ด้วย ฮาร์วี่ย์เลยมีความกระตือรือร้นเล็กน้อย
…
หลังจากฮาร์วี่ย์ออกจากคฤหาสน์ เขาก็ผิวปากและขี่จักรยานไฟฟ้าคันเก่าไปที่โรงแรมแพลตตินั่ม การรวมรุ่นจะจัดขึ้นที่นั่นและเขากลัวว่าหากเขาช้ากว่านี้จะไปงานสาย
ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงแตรรถดังมาจากด้านหลัง พร้อมด้วยรถปอร์เช่คันหนึ่งจอดอยู่ข้างๆฮาร์วี่ย์ หน้าต่างรถก็ลดลงอย่างช้าๆ
เขาเห็นแม่ยายที่กำลังถอดแว่นกันแดดของเธอออกและมองมายังเขาอย่างเฉยชา ในตอนนี้มันทำให้เขารู้สึกอึดอัด
แม้ว่าลิเลียน เยตส์ จะเป็นแม่ยายของฮาร์วี่ย์ แต่เธอก็ดูเหมือนหญิงสาวที่อายุเพียงสามสิบปี นั่นเ็นเพราะว่าเธอดูแลรูปร่างหน้าตาและสุขภาพเป็นอย่างดี เธอดูสง่างามและใครๆ ก็สามารถสังเกตเห็นความคล้ายคลึงกันระหว่างเธอกับแมนดี้เนื่องจากทั้งคู่สวยสง่างามโดดเด่นมาก
อย่างไรก็ตามเธอกำลังจ้องมองไปที่ฮาร์วี่ย์ จากนั้นเธอก็พูดอย่างเย็นชาว่า “นายเอาชุดสูทนั้นมาจากไหน”
ตลอดสามปีที่ฮาร์วี่ย์อยู่ภายใต้ตระกูลซิมเมอร์ คนที่เขากริ่งเกรงที่สุดคือ ลิเลียน เมื่อได้ยินเช่นนั้นเขาก็พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาทันที “คุณแม่ครับ ผมยืมมันมาจากเพื่อน…”
“ โอ้? นายมีเพื่อนด้วยหรอ” ลิเลียนยิ้มอย่างเยือกเย็น จากนั้นเธอก็พูดว่า วันนี้มีคนมารายงานฉันนะว่าเกิดอะไรขึ้นที่บริษัทบ้าง เนื่องจากนายไม่มีความสามารถที่จะทำอะไรให้ประสบความสำเร็จได้เลยสักอย่าง กลับบ้านไปซะแล้วเก็บข้าวของของนายคืนนี้ให้หมด พรุ่งนี้ก็เซ็นใบหย่า ไม่ต้องกังวลไปละ ฉันจะส่งเสียค่าเลี้ยงดูให้นาย”
ความหนาวเยือกเย็นสั่นสะท้านวิ่งวนไปตามกระดูกสันหลังของเขา “แต่…คุณแม่ครับ…ผมรักแมนดี้จริงๆ ผมขาดเธอไม่ได้…”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นลิเลียนก็หัวเราะออกมาอย่างสมเพชและพูดว่า “อย่าเรียกฉันว่าแม่นะ ฉันไม่มีลูกชายอย่างแก ถ้าฉันกลายเป็นแม่ของแกจริงๆ ฉันกลัวว่าบรรพบุรุษของฉันจะผิดหวังในตัวฉัน …”
“ยิ่งไปกว่านั้น นายอย่ามาอ้างว่าแกรักลูกสาวของฉัน ยังไงล่ะ? แกมีสิทธิ์อะไรถึงมีจะมารักลูกสาวฉัน แกทำอะไรได้บ้างงั้นเหรอนอกจากทำความสะอาดบ้าน แกไม่รู้ตัวบ้างเลยหรือไงว่าได้ทำลายช่วงเวลาที่มีค่าของชีวิตลูกสาวฉันไปตลอดสามปีที่ผ่านมา”
“เมื่อกี้ดอนโทรหาฉัน เขาบอกว่าเขายินดีที่จะจ่ายเงินหนึ่งล้านดอลลาร์เป็นของขวัญแต่งงานหากฉันยอมให้เขาแต่งงานกับแมนดี้ แกรู้หรือเปล่าล่ะว่ามันมีมูลค่ามากแค่ไหน? ฉันว่าแกคงไม่รู้ค่าของมันสินะ”