USB:บทที่ 42 ศิษย์พี่
เมื่อได้ยินคำพูดของเจ้าสำนัก มีเพียงไม่กี่คน ที่มีการแสดงออกที่เปลี่ยนไป ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความกังวล คนที่ถามเจ้าสำนักก่อนหน้านี้ ถอนหายใจลึก ๆ ทั้งกังวล และเต็มไปด้วยความหวัง เพ่งสายตามองไปที่คนด้านล่าง
หวังว่าพวกเขาจะมีความโดดเด่นอะไรบางอย่าง
.
เมื่อถึงเวลาที่กำหนด การทดสอบก็เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ ทุกคนพบว่า แม้ว่าการสอบในครั้งนี้ จะคล้ายกับการทดสอบครั้งก่อน แต่ความยากก็ลดลงไปมาก คนส่วนใหญ่สามารถผ่านไปได้อย่างราบรื่น
และในเวลานี้ชายหนุ่มสกุลหลิว ก็เชื่อคำพูดของชายหนุ่มสกุลหลี่เช่นกัน แม้ว่าเขาจะไม่รู้เหตุผล เบื้องหลังการรับศิษย์ในครั้งนี้ แต่ตอนนี้ทั้งคู่ได้ผ่านการคัดเลือกและเข้าสู่สำนักเรียบร้อยแล้ว แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
เขาจะเป็น ผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้
“ พี่หลี่ ข้าไม่คาดคิดมาก่อนว่า เราจะผ่านช่วงเวลานี้ไปได้จริงๆ” เมื่อผู้อาวุโสที่รับผิดชอบการทดสอบนั้น ประกาศผลทั้งชายหนุ่มสกุลหลี่และชายหนุ่มสกุลหลิว ต่างก็ผ่านเข้า สำนักได้อย่างราบรื่น แม้พวกเขาจะรู้ตัวว่า ตนเองผ่านแน่นอน แต่เมื่อผู้อาวุโสประกาศอย่างเป็นทางการ ทั้งสองคนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกภูมิใจ
“ใช่…ในที่สุด ข้าก็ทำได้แล้ว” ชายหนุ่มสกุลหลี่ ก็เต็มไปด้วยความรู้สึกท่วมท้นเหมือนกันกับชายหนุ่มสกุลหลิว; เขาได้เข้าร่วมการทดสอบต่าง ๆมากมาย ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด เขาก็รู้สึกสะเทือนใจอย่างมาก ที่สามารถผ่านการคัดเลือกในครั้งนี้ได้ในที่สุด
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น พวกเราเพิ่งเข้าสำนัก ดังนั้นสิ่งที่เราจะทำได้ในอนาคตนั้น จะขึ้นอยู่กับวิธีที่เราฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ของเรา ในอนาคต เราสองคนต้องผ่านการทดสอบมากมาย ดังนั้นความสามารถของพวกเรานับว่า เป็นเรื่องธรรมดา
ชายหนุ่มสกุลหลี่ ไม่ได้หลงระเริงไปกับความยินดีในเรื่องนี้ สมองของเขาแจ่มชัดในการมองความจริงที่อยู่เบื้องหน้า
“ พี่หลี่พูดถูก” ด้วยการเตือนสติของชายหนุ่มสกุลหลี่ ชายหนุ่มหลิวก็ได้สติ และมองเห็นความจริงได้ในที่สุด
ส่วนผู้ที่ไม่ผ่านการคัดเลือก ก็ทำได้เพียงแค่ผิดหวัง แม้ว่าจะมีการเพิ่มจำนวนคนที่ได้คัดเลือกเข้าสำนัก แต่ก็ยังมีผู้คนจำนวนมาก ที่ไม่ผ่านการคัดเลือก อย่างไรก็ตาม มีคนจำนวนมากเกินไปที่นี่ และแม้ว่าสำนักนั้นจะเพิ่มจำนวนศิษย์ที่จะรับเข้า แต่ท้ายที่สุดแล้ว คนก็ยังมากเกินความต้องการอยู่ดี เนื่องจากสำนักเจ็ดนพเคราะห์ นั้นมีข้อ จำกัด เพราะถ้ามีคนจำนวนมากเกินไป สำนักนั้นไม่สามารถรับรองพวกเขาได้ และยิ่งไปกว่านั้น ความสามารถของคนที่ไม่ผ่านการคัดเลือกก็ยากเกินที่จะพูดถึงมัน ดังนั้น คนที่เหลือจึงทำได้แค่ยอมแพ้เท่านั้น
ในวันนี้เป็นวันของการคัดเลือกศิษย์เข้าสำนักประจำปีที่ยิ่งใหญ่ ตราบใดที่ไม่มีศิษย์ระดับสูง ที่จะขอถอนตัวจากสำนัก พวกเขาทุกคนต้องเข้าร่วมการคัดเลือก เพื่อบ่งบอกถึงความสำคัญ ของการทำความรู้จักกับศิษย์ร่วมสำนักคนใหม่ ถึงแม้ว่าพวกเขา จะไม่ได้รับศิษย์ที่มีความสามารถ มาเป็นเวลาหลายปีแล้ว แต่ธรรมเนียมนี้ ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง
“ ทุกคนจงฟัง! ตั้งแต่วันนี้ไป พวกเจ้าทุกคน ล้วนเป็นศิษย์ของสำนักเจ็ดนพเคราะห์ของข้า วันนี้พวกเจ้าทุกคน จะกลายเป็นครอบครัวเดียวกัน และทุกคนจะต้องจำไว้ว่า ไม่มีผู้ใดได้รับอนุญาต ให้ทำร้ายศิษย์ร่วมสำนัก อย่างเด็ดขาด ท่านเจ้าสำนัก มู่หรงหยุนไห่ กล่าวเสียงดังกังวาน และเพ่งสายตา มองไปที่ศิษย์จำนวนมากที่อยู่เบื้องหน้า
เมื่อเจ้าสำนักเห็นว่า ศิษย์ทุกคนกำลังตั้งใจฟัง มู่หรงหยุนไห่ก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ และกล่าวว่า “ต่อไป ข้าจะคัดเลือกอาจารย์ให้พวกเจ้าแต่ละคน อย่างไรก็ตาม มีคำกล่าวในโลกแห่งศิลปะการต่อสู้ว่า อาจารย์เป็นผู้นำศิษย์เข้าสู่หนทางแห่งวิถีการต่อสู้
หลังจากการเจ้าสำนักพูดจบ ศิษย์ทุกคนก็ได้พบกับอาจารย์ของตน แน่นอนว่า เนื่องจากมีลูกศิษย์ใหม่จำนวนมาก จึงเป็นไปไม่ได้ที่อาจารย์ของพวกเขา จะสอนศิษย์แบบตัวต่อตัว แต่หลังจากที่ได้รับการจัดแจงอาจารย์ที่คอยดูแลและสอนวิชาการต่อสู้แล้ว
ทุกคนก็พาศิษย์ไปยังที่พัก และวันนี้พวกเขาทั้งหมดจะไปพักที่ บริเวณที่สำนักจัดไว้ให้ และไม่ได้รับอนุญาตให้ลงจากเขา ทั้งชายหนุ่มสกุลหลิวและชายหนุ่มสกุลหลี่นั้นโชคดีมาก พวกเขาสองคน มีอาจารย์คนเดียวกัน ในอนาคต ทั้งสองคนสามารถฝึกศิลปะการต่อสู้ร่วมกันได้
อย่างไรก็ตาม หลังจากเข้ามาในที่พักแล้ว สองชายหนุ่มจากสกุลหลิวและสกุลหลี่ ต่างก็อารมณ์เสีย
“เฮ้ๆ ให้ข้าดูชัด ๆซิ ว่านี่ใคร นี่ไม่ใช่หลิวหมิงเจี๋ย อัจฉริยะจากเมืองจื่อหยูของเราหรือ? อะไรกัน ? ในที่สุด เจ้าก็ถูไถผ่านเข้ามา?” ไม่นานนัก หลังจากที่ชายหนุ่มสกุลหลิว เดินเข้ามาในบ้านพัก เขาก็ได้ยินคำเยาะเย้ยเหล่านี้
ลูกชายคนที่สองของตระกูลฝาง ในเมืองจื่อหยู มีความไม่ลงรอยกับชายหนุ่มสกุลหลิวมานาน เนื่องจากทั้งสองนั้น เติบโตขึ้น และเป็นเด็กหัวเร็วทั้งคู่ มีชื่อเสียงในเมืองจื่อหยู ในเรื่องทักษะการประพันธ์ ดังนั้นโดยธรรมชาติแล้ว
หลิวหมิงเจี๋ยไม่ได้ชื่นชอบ ฝางจื้อห่าว ที่อายุใกล้เคียงกัน และพวกเขามักจะแข่งขันกันมาโดยตลอด แต่ฐานะของตระกูลหลิวหมิงเจี๋ยนั้น ก็ไม่เลว ดังนั้นเขาจึงไม่หวาดกลัว ฝางจื้อห่าว
หลังจากนั้น เคยมีช่วงเวลาที่ทั้งสองคนนั้น ต่างก็เข้าร่วมการคัดเลือกที่สำนักเจ็ดนพเคราะห์ ในเวลาเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ในแง่ของความสามารถด้านวรรณกรรม หลิวหมิงเจี๋ยนั้น มีมากกว่า ฝางจื้อห่าวมากโข แต่ในแง่ของความสามารถ
ในด้านศิลปะการต่อสู้ ฝางจื้อห่าวนั้น เหนือกว่า หลิวหมิงเจี๋ยนิดหน่อย
ดังนั้นฝางจื้อห่าว จึงใช้เรื่องนี้คอยถากถาง ในช่วงเวลาของการกลับไปเยี่ยมตระกูล ในการไปโอ้อวดดี ต่อหน้าหลิวหมิงเจี๋ย และเยาะเย้ยเขา สิ่งนี้ทำให้ หลิวหมิงเจี๋ยโกรธมากอยู่ในใจของเขา และนี่เป็นหนึ่งในเหตุผล ที่ทำให้เขามุ่งมั่น
ที่จะเข้าร่วมการคัดเลือกของสำนักเจ็ดนพเคราะห์
อย่างไรก็ตาม หลิวหมิงเจี๋ย ไม่เคยคิดเลยว่า เขาจะมีอาจารย์คนเดียวกับ ฝางจื้อห่าว ดังนั้นแม้ว่าจะเป็นที่ ที่เขาพักผ่อนก็จะพบหน้าฝางจื้อห่าวตลอดเวลา เนื่องจากศิษย์ธรรมดาๆ อย่างพวกเขานั้น ยังไม่มีห้องเดี่ยว ต้องนอนร่วมห้องกันเท่านั้น
หากไม่เต็มใจที่จะอดทนอยู่ที่นี่ ก็สามารถจากไปได้ทุกเมื่อ เฉพาะในกรณี ศิษย์ที่มีระดับศิลปะการต่อสู้นั้นมาก ศิษย์คนนั้นก็จะสามารถมีห้องเดี่ยว เพื่อแสดงความเคารพ และสนับสนุน เป็นตัวอย่างให้ศิษย์คนอื่น ฝึกฝนอย่างขยันขันแข็ง
และเห็นได้ชัดว่า ฝางจื้อห่าวนั้น ไม่ได้เก่งกาจขนาดนั้น เขาจึงยังคงพักผ่อนอยู่ที่นี่
“ ฝางจื้อห่าว นั่นเจ้าเองหรือ?” หลิวหมิงเจี๋ยไม่แปลกใจเลย ที่ได้เห็นฝางจื้อห่าว หลังจากนั้นผ่านการคัดเลือก เขาก็เตรียมใจไว้แล้วว่าจะต้องเผชิญหน้ากันที่นี่ สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือ ทั้งสองคนมีอาจารย์คนเดียวกัน
“แน่นอนว่า ตอนนี้เจ้าต้องเรียกข้าว่า ศิษย์พี่” ฝางจื้อห่าวกล่าว ขณะที่เขามองหลิวหมิงเจี๋ยอย่างหยิ่งผยอง
แม้ว่า หลิวหมิงเจี๋ยไม่เต็มใจ ที่จะถูกบังคับให้เรียกฝางจื้อห่าว ว่า ศิษย์พี่ แต่เขาก็รู้ว่า ฝางจื้อห่าวนั้นพูดถูก แม้ว่าทั้งสองคนจะอายุใกล้เคียงกัน แต่อีกฝ่ายก็ผ่านการคัดเลือกได้เร็วกว่าเขาหนึ่งปี ดังนั้น เขาจึงกลายเป็นศิษย์พี่ของเขาอย่างแท้จริง