ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง – บทที่ 289 เข้าสู่สนามอย่างยิ่งใหญ่ (1)

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 289 เข้าสู่สนามอย่างยิ่งใหญ่ (1)

บทที่ 289 เข้าสู่สนามอย่างยิ่งใหญ่ (1)

“นี่คือบุตรสาวของข้า!”

อาสะใภ้ขมวดคิ้วพลางอุ้มหลิงอินขึ้นมาวางบนตัก

“หรือว่านางหน้าตาไม่เหมือนข้ากัน” อาสะใภ้ทำหน้าไม่พอใจเล็กน้อย

ตรงไหนที่เหมือน นางไม่เหมือนเจ้าเลยสักนิด…ใบหน้าแต้มรอยยิ้มบางๆ ของป้าแก่แข็งทื่อ แต่ก็กลับมาเป็นปกติในชั่วพริบตา ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน

“ดูดีๆ คิ้วกับตาก็คล้ายกันอยู่บ้าง เป็นข้าที่เลอะเลือนเอง”

อืม คิ้วกับตาเหมือนคนขับรถม้าข้างนอกเลย

เงียบกริบตลอดทาง

สวี่ผิงจื้อขับรถม้ามาถึงบริเวณใกล้ๆ หอดูดาวก็ได้ยินเสียงจ๊อกแจ๊กจอแจดังสะท้อนมาเป็นอย่างแรก เมื่อหันมองข้ามถนนไปก็เจอกับคลื่นมนุษย์จำนวนมหาศาล

เขากวาดตามองฝูงชนนั้น อย่างน้อยก็หนึ่งถึงสองพันคน ทว่านี่เป็นเพียงชาวบ้านกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่งเท่านั้น จินตนาการได้เลยว่าที่บริเวณกลางหอดูดาวจะมีฝูงชนห้อมล้อมมากแค่ไหน ต้องเป็นตัวเลขที่น่าสยดสยองแน่

“คึกคักกว่างานเทศกาลไหว้วสันต์เสียอีก…” สวี่ผิงจื้อควบคุมบังเหียนให้รถม้าจอดไว้ด้านนอก

“หยุดทำไมกัน” เสียงอาสะใภ้ดังมาจากในรถม้า

“ข้างหน้าไม่มีทางแล้ว มีแต่คน” สวี่ผิงจื้ออธิบาย “เราลงจากรถตรงนี้กันเถอะ”

อาสะใภ้เลิกม่านหน้าต่างก่อนจะก้าวลงจากรถม้าด้วยความช่วยเหลือของสามี สวี่หลิงเยวี่ยก็มีบิดาคอยประคองลงจากรถม้า ส่วนเสี่ยวโต้วติงนั้นถูกสวี่ผิงจื้ออุ้มลงไป

ป้าแก่ขมวดคิ้ว ปกตินางจะมีสาวใช้นำตั่งพักเท้ามาคอยรับเวลาขึ้นลงรถม้า ยามนี้จึงรู้สึกไม่ชินเล็กน้อย

โชคดีที่เป็นรถม้าธรรมดา ส่วนล่างของรถสูงจากพื้นไม่มาก ต่างจากรถม้าหรูทำจากไม้สนแต่งลวดลายสีทองของนางที่ส่วนล่างของรถสูงเท่าเอวคน

นางกระโดดลงจากรถม้าอย่างสบายๆ

สวี่ผิงจื้อกวักมือเรียกกองดาบข้างถนนมาคนหนึ่งแล้วสั่งว่า “ดูรถม้าด้วย”

ขณะที่พูดก็แสดงตรากองดาบที่เอวของตน

องครักษ์กองดาบวัยเยาว์ตอบรับด้วยความเคารพ

สวี่ผิงจื้อพาภรรยาและลูกๆ เดินอ้อมฝูงชนไปทางที่องครักษ์หลวงจัดให้ซึ่งมีองครักษ์หลวงยืนขนาบสองฝั่งตลอดเส้น กันชาวบ้านออกไปเพื่อสร้าง ‘ทางที่ปลอดภัย’ สำหรับบุคคลสำคัญโดยเฉพาะ

ตรงปากทางมีองครักษ์หลวงถือหอกไขว้กันขวางทางกลุ่มของสวี่ผิงจื้อไว้

สวี่ผิงจื้อหยิบตราที่สวี่ชีอันมอบให้ออกมา องครักษ์หลวงเหลือบมองก่อนจะปล่อยพวกเขา

“สถานะของหนิงเยี่ยนสูงขึ้นเรื่อยๆ” อาสะใภ้กล่าวอย่างมีความสุข “นายท่าน ข้าไม่เคยคิดฝันเลยว่าจะได้นั่งกับเหล่าชนชั้นสูงของเมืองหลวง”

สวี่ซินเหนียนอดอิจฉาไม่ได้จึงแค่นเสียงกล่าว “ท่านแม่ ต่อไปท่านก็จะได้เป็นเก้ามิ่งฮูหยินแล้ว”

สวี่ผิงจื้อสวนกลับ “เจ้าเอาเวลาไปคิดว่าจะรั้งอยู่ในเมืองหลวงได้อย่างไรก่อนเถอะ”

สวี่ซินเหนียนห่อเหี่ยวลงทันควัน

ตามความตั้งใจของสำนักคือคิดหาวิธีส่งเขาไปชิงโจว ไปไกลจากเมืองหลวง วางแผนการอย่างดี

แต่สวี่ซินเหนียนไม่ค่อยอยากไปนัก ไปเมืองชิงโจว ลิ้มรสการอยู่ห่างไกลบิดามารดา ไหนจะพี่ใหญ่และเหล่าน้องสาวอีก หากครบกำหนดสามปีแล้วไม่สามารถกลับเมืองหลวงได้ เขาก็ต้องรับตำแหน่งต่อไปอีกสามปี

สามปีแล้วก็อีกสามปี สามารถมาหาครอบครัวได้แค่ยามกลับมารายงานที่เมืองหลวงเท่านั้น

แน่นอนว่ายังมีอีกเหตุผลหนึ่ง หากไม่สามารถเข้าสำนักบัณฑิตฮั่นหลินได้ เขาก็จะถูกตัดออกจากคณะรัฐมนตรี

‘บุตรชายข้ามีสิทธิ์ในสำนักสมุหราชเลขาธิการ’ ของท่านพ่อก็จะกลายเป็นคำพูดที่ไร้ความหมายจริงๆ

หลังเดินผ่าน ‘ทางที่ปลอดภัย’ มาแล้ว ทั้งครอบครัวก็มองเห็นจัตุรัสขนาดใหญ่ ซุ้มไม้ตั้งเรียงราย เหล่าขุนนาง แม่ทัพและชนชั้นสูงต่างนั่งอยู่ในพื้นที่ของตนอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยและแบ่งอาณาเขตกันชัดเจน

นอกจากนี้ยังมีสตรีสูงศักดิ์และสตรีรุ่นเยาว์มากมายที่มาชมพิธีต้าวฮวด[1]พร้อมครอบครัว

สำหรับสตรีสูงศักดิ์เหล่านี้ หน้าตาของต้าฟ่งเป็นรอง การดูเรื่องสนุกสิที่สำคัญที่สุด

สวี่ผิงจื้อกวาดตามองโดยรอบ พลางพาภรรยาและลูกๆ ไปยังพื้นที่ของที่ทำการปกครองหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ตรงที่นั่งตำแหน่งสูงสุดมีชายชราผมขาวสวมชุดดำนั่งอยู่

ทั้งสองข้างของเขาคือฆ้องทอง ด้านหลังฆ้องทองคือฆ้องเงิน ส่วนฆ้องทองแดงถูกส่งไปปฏิบัติหน้าที่ ไม่ได้รับสิทธิ์อยู่ชมการแสดงในซุ้มไม้

สวี่ผิงจื้อพาภรรยาและลูกๆ เข้าไปใกล้และประสานมือระดับอก ก่อนจะพาภรรยาและลูกๆ เข้าไปนั่งกับสตรีแปลกหน้าอย่างรวดเร็ว

เว่ยเยวียนและฆ้องทองผู้โด่งดังไม่สนใจเขาซึ่งก็ทำให้อารองสวี่โล่งใจ เป็นคนไร้ตัวตนนี่ก็ดีนะ

ป้าแก่เองก็โล่งใจ เป็นคนไร้ตัวตนนี่ดีจริงๆ

ในบรรดาซุ้มไม้ทั้งหมด ซุ้มไม้หลังที่หรูหราที่สุดคือแท่นพักผ่อนหุ้มผ้าไหมสีเหลือง ด้านล่างแท่นจัดวางโต๊ะเรียงราย สมาชิกจากราชวงศ์นั่งอยู่ด้านข้างโต๊ะเหล่านั้น

ฮองเฮาและสนมเฉินที่เป็นมันสมองแห่งวังหลังก็มากันแล้ว ทุกคนพูดคุยกันอย่างอารมณ์ดีราวกับเป็นพี่น้องที่รักใคร่กันเสมอมาและไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกัน

องค์หญิงทั้งสี่มากันพร้อมหน้า ฮว๋ายชิ่งนั่งอยู่ตำแหน่งแรกสุด ส่วนยายตัวร้ายก็นั่งอยู่ข้างๆ นาง

ส่วนเหล่าองค์ชาย องค์รัชทายาทยังถูกกักตัวจึงไม่สามารถออกมาได้ องค์ชายองค์อื่นๆ ล้วนมากันหมด

สำหรับราชวงศ์ พิธีต้าวฮวดครั้งนี้ไม่ใช่แค่การแสดงรื่นเริง แต่เกี่ยวพันถึงหน้าตาของราชสำนักและราชวงศ์

“สวี่ชีอันไปไหนเสียเล่า เหตุใดจึงไม่ออกมา เขาสู้กับเหล่านักบวชได้หรือเปล่า นักบวชคิดจะสู้อย่างไร…”

หลินอันพูดฉอดๆ ไม่พูด ดวงตาลูกท้อฉ่ำน้ำสอดส่ายสายตาไปทั่ว เมื่อมองไม่เห็นสุนัขรับใช้ของตนก็ผิดหวังเล็กน้อย

“เหลวไหล!”

องค์ชายเจ็ดส่ายหน้า “สวี่ชีอันผู้นั้นเป็นทหาร เกี่ยวอะไรกับพิธีต้าวฮวดของสำนักพุทธ จากพลังตบะอันน้อยนิดของเขา เขาจะรับมือได้จริงหรือ”

องค์ชายสามยิ้มเป็นเชิงเห็นด้วย “เว้นแต่สำนักพุทธจะแข่งกวีกับเขา”

องค์หญิงทั้งสองและองค์ชายทุกคนหลุดพระสรวล

หลินอันโกรธจัดจึงตวัดสายตามองพี่ชายพี่สาวแล้วพูดอย่างดุเดือด “เขาแพ้แล้วพวกท่านดีใจมากงั้นหรือ ต้องให้ข้าหล่อพระพุทธรูปให้พวกท่านทุกคนเลยหรือไม่”

องค์หญิงสามขมวดคิ้ว “เราก็แค่พูด หลินอันเจ้าทำเกินไปแล้วนะ”

องค์ชายองค์อื่นๆ พากันขมวดคิ้ว

นับตั้งแต่เกิดเรื่องสนมฝู หลินอันก็กลายเป็นคนอารมณ์ร้าย ไม่เกรงใจพี่น้องอย่างพวกเขา คำพูดก็ก้าวร้าวขึ้นทุกวัน

ฮว๋ายชิงกล่าวเบาๆ “หากเป็นพิธีต้าวฮวดของลัทธิเต๋า ใครที่แข็งแกร่งกว่าย่อมเป็นฝ่ายชนะ ลัทธิอื่นก็เช่นกัน แต่ศาสนาพุทธนั้นมิใช่ ศาสนาพุทธให้ความสำคัญกับการเห็นแจ้ง การตรัสรู้และการฝึกปฏิบัติ สวี่ชีอันเป็นเพียงทหารขั้นเจ็ด มีคนที่ตบะบำเพ็ญแข็งแกร่งกว่าเขาตั้งมากมาย แต่ตบะบำเพ็ญสูงแล้วจะมีประโยชน์อะไร สูงแล้วจะเทียบเท่าพระอรหันต์ได้หรือ”

คำพูดของฮว๋ายชิ่งทำให้ผู้คนพูดไม่ออกเสมอ และไม่อาจหักล้างได้เช่นกัน

เหล่าองค์ชายองค์หญิงจึงเงียบกริบโดยพลัน

ตำแหน่งถัดจากซุ้มของราชวงศ์ สมุหราชเลขาธิการหวางเจินเหวินกำลังจิบสุราและสังเกตเห็นว่าสายตาของบุตรสาวจ้องไปทางพื้นที่ของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลอยู่ตลอด

เขาขมวดคิ้วถาม “มู่เอ๋อร์ มองอะไร”

คุณหนูหวางถอนสายตากลับมา ก่อนจะตอบด้วยรอยยิ้มบางๆ “เป็นครั้งแรกที่ลูกได้พบเว่ยกงผู้โด่งดังนี่เจ้าคะ ท่าทางไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย”

พูดจบหางตาก็เหลือบมองบุรุษรูปงามอีกครั้ง

“จริงสิ เหตุใดจึงไม่เห็นฝ่าบาทเลยเจ้าคะ” คุณหนูหวางเปลี่ยนเรื่องอย่างแนบเนียนเพื่อปัดความสนใจของบิดา

สมุหราชเลขาธิการหวางหันไปมองซุ้มของราชวงศ์แล้วยิ้มตอบ “ทั้งสองท่านนั้นทะเลาะกันเสียงดังนัก ฝ่าบาททรงมิชอบใจจึงไม่อยากลงมา อีกเดี๋ยวก็คงลงมาดูที่แท่นแปดทิศ”

คุณหนูหวางเปล่งเสียง ‘อ้อ’ ออกมาคำหนึ่งแล้วถามต่อว่า “ท่านพ่อ สมณทูตจากแดนประจิมมาเมืองหลวงครั้งนี้มีจุดประสงค์อะไรเจ้าคะ พิธีต้าวฮวดที่ไม่สมเหตุสมผลนี่น่าสงสัยจริงๆ”

สมณทูตใช่ว่าต้องการมาก็มาได้เลย ต้องมีจุดประสงค์อันชัดเจน กอปรกับท่าทีกระหายการต่อสู้ของสำนักพุทธในช่วงหลายวันนี้ ทำให้ผู้คนตระหนักได้ว่าสมณทูตจากแดนประจิมมาเยือนเมืองหลวงครานี้มิใช่เรื่องดี

“บางทีอาจเกี่ยวกับคดีซังผอกระมัง” สมุหราชเลขาธิการหวางตอบเสียงเบา

คุณหนูหวางขมวดคิ้ว นางดึงข้อมูลจากคำตอบของบิดาได้สองส่วน หนึ่ง คือแม้แต่สมุหราชเลขาธิการอย่างบิดายังไม่รู้แน่ชัด สอง คดีซังผอดูเหมือนจะซ่อนเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรมากกว่านี้

ขณะกำลังจะเอ่ยถามต่อ สมุหราชเลขาธิการหวางก็โบกมืออย่างหมดความอดทน “เจ้าเป็นสตรี อย่าได้ยุ่งเกี่ยวเรื่องของราชสำนักมากนัก ความฉลาดของเจ้าควรเก็บไว้ใช้กับสามีในอนาคตเถอะ”

คุณหนูหวางเม้มปากไม่เอ่ยอะไรอีก ฉวยโอกาสตอนบิดาไม่สนใจมองไปทางหน่อยลาดตระเวนยามวิกาลอีกครั้ง

หลังการแสดงจบ ข้าจะจัดงานชุมนุมวรรณกรรมที่จวน…นางคิดกับตัวเอง

อีกด้านหนึ่ง สวี่ผิงจื้ออาศัยประสบการณ์ทำงานในเมืองหลวงมานมนานกวาดตามองซุ้มไม้ทีละหลัง เขาเห็นคนสำคัญที่ตนรู้จัก แน่นอนว่าที่มีมากกว่าคือคนที่เขาไม่รู้จัก

ทว่าหากอิงจากซุ้มของราชวงศ์เป็นศูนย์กลาง ยิ่งซุ้มใดตั้งอยู่ใกล้ย่อมหมายถึงฐานะที่สูงขึ้น

ทันใดนั้นก็เกิดภาพจินตนาการว่าเขาได้ขึ้นไปยังแท่นอำนาจแห่งเมืองหลวง ซึ่งทั้งหมดนั้นเป็นหนิงเยี่ยนที่นำพามา…หลังจบพิธีต้าวฮวดครั้งนี้ หากหนิงเยี่ยนคว้าชัยชนะมาได้ เขาก็จะมีชื่อเสียงไปทั้งเมืองหลวง โด่งดังไปทั้งต้าฟ่ง…ทว่าหากพ่ายแพ้ เกรงว่าคงจะโดนดูถูกไปอีกนาน หากหนังสือประวัติศาสตร์เขียนบันทึกอีกครั้ง เขาคงจะเสียชื่อไปอีกหลายชั่วอายุคน

คิดถึงตรงนี้อารองสวี่ก็อารมณ์ซับซ้อน

“นายท่าน ท่านว่าองค์หญิงท่านนั้นใช่คนที่มาเซ่นไหว้หนิงเยี่ยนวันนั้นหรือไม่” อาสะใภ้ก็กำลังมองไปทางนั้นและจำองค์หญิงฮว๋ายชิงผู้สงบเยือกเย็นและสง่างามคนนั้นได้

สวี่ผิงจื้อตอบ ‘อืม’ หนึ่งคำเป็นการตอบรับภรรยา

อาสะใภ้กล่าวต่อ “องค์หญิงชุดแดงข้างกายนางก็รูปงามนัก ดู…สายตาเย้ายวน ไม่ค่อยน่าเคารพนัก”

สวี่ผิงจื้อตกใจและพูดเสียงเบา “พูดไร้สาระ อย่าวิจารณ์องค์หญิงในสถานการณ์แบบนี้ เจ้าอยากถูกประหารรึ”

อาสะใภ้รีบหุบปากทันที

“มีอะไรพูดไม่ได้กัน ราชวงศ์ต้าฟ่งไม่เห็นมีอะไรดีสักอย่าง” ป้าแก่พูดเบาๆ

เราไม่รู้จักท่าน ท่านออกไปพูดไกลๆ หน่อยสิ…สวี่ซินเหนียนสบถในใจ

สวี่ผิงจื้อระบายลมหายใจ บังคับตัวเองให้เลิกสนใจสตรีผู้นั้นและเตือนภรรยากับลูกๆ “ในสถานที่แบบนี้ต้องมองให้มาก ฟังให้มาก พูดให้น้อย ไม่ทำอะไรก็จะไม่มีความผิด…หลิงอิน?!”

เสียงเรียก ‘หลิงอิน’ กลายเป็นเสียงตะโกน

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่สวี่หลิงอินก้าวไปหาขันทีชุดดำด้วยขาสั้นๆ ของนาง นางเงยหน้าชี้ไปยังอาหารบนโต๊ะ ก่อนจะพูดด้วยความอยากได้

“ท่านลุง ข้ากินอาหารของท่านได้หรือไม่เจ้าคะ”

สวี่ผิงจื้อที่เห็นฉากนี้ก็ชาหนึบไปตามกระดูกสันหลังลามไปยังปลายศีรษะ

เหล่าฆ้องทองคำข้างกายเว่ยเยวียนขมวดคิ้วพร้อมกันทันใด ในใจพลางคิดว่าเด็กคนนี้มาจากไหนกันถึงไม่รู้มารยาทเช่นนี้

จางไคไท่ที่เคยไปสักการะสวี่ชีอันจำเสี่ยวโต้วติงได้จึงรีบพูดขึ้นว่า “เว่ยกง นี่คือน้องสาวของสวี่หนิงเยี่ยนขอรับ”

เหล่าฆ้องทองคำมองประเมินสวี่หลิงอินด้วยสายตาอ่อนโยนพลางคิดในใจ เด็กหญิงคนนี้กล้าหาญนัก จะต้องกลายเป็นอาวุธที่ยิ่งใหญ่แน่

เว่ยเยวียนหยิบผลไม้เชื่อมยื่นให้หนึ่งชิ้น

สวี่หลิงอินรับมากินไม่กี่คำก็หมดเกลี้ยง

“ผลไม้เชื่อมไม่ได้กินกันแบบนั้น ยิ่งอมไว้ในปากนานๆ ก็จะยิ่งหวานติดปากนาน” เว่ยเยวียนกล่าวยิ้มๆ

“รอให้ความหวานหมด ผลไม้เชื่อมก็ถูกคนอื่นกินหมดสิเจ้าคะ” สวี่หลิงอินเลิกคิ้วเล็กๆ นั้นขึ้นเล็กน้อย

“ข้าเพียงไม่หยุดกิน เท่านี้ก็จะหวานตลอดไป…ท่านลุง ข้ายังอยากกินอีกเจ้าค่ะ”

เว่ยเยวียนยิ้มแล้วยื่นผลไม้เชื่อมให้อีกสองสามอย่าง สวี่หลิงอินกินไปครู่หนึ่งก็พูดอย่างเขินอาย “ท่านลุง แล้วเหตุใดท่านถึงไม่กินล่ะเจ้าค่ะ”

เว่ยเยวียนส่ายหน้ายิ้มๆ

“ท่านไม่กินเองนะ” สวี่หลิงอินกะพริบตาใสบริสุทธิ์แล้วพูดหยั่งเชิงอย่างระมัดระวัง “หากท่านลุงไม่กิน ข้าจะกินให้หมดเลย”

“เจ้ากินหมดรึ” เว่ยเยวียนยิ้ม เหลือบมองท้องเล็กๆ ของสวี่หลิงอินแล้วมองไปยังโต๊ะที่เต็มไปด้วยผลไม้ ผลไม้เชื่อม และของหวานชั้นเลิศ

“เว่ย เว่ยกง…”

สวี่ผิงจื้อกัดฟันก้าวเข้ามาแล้วโค้งเอวต่ำ พยายามบังคับไม่ให้เสียงสั่น “เด็กน้อยไม่รู้ความ ท่านอย่าถือสานางเลยขอรับ”

เว่ยเยวียนยกแขนเสื้อพลางหยิบลูกแพร์สีเหลืองอมส้มยื่นให้สวี่หลิงอิน

เจียงลวี่จงเห็นดังนั้นจึงกล่าวยิ้มๆ “เว่ยกงกำลังพูดคุยกับเด็ก เจ้ากลับไปเถอะ”

สวี่ผิงจื้อมองเสี่ยวโต้วติง ก่อนจะชำเลืองมองเว่ยเยวียนที่ไม่เห็นตนอยู่ในสายตา จากนั้นก็หันกายออกไปอย่างจนปัญญา

…………………………………………………

[1] พิธีต้าวฮวด คือ พิธีการแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Status: Ongoing
ตั้งแต่ข้ามเวลามาเขาตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในสังคมที่ไร้ซึ่งคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ นี้ แต่ทำไมเขาถึงต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องการเมือง และอำนาจลึกลับที่อยู่เบื้องหลังราชวงศ์ต้าฟ่งแห่งนี้ด้วย!Top 5 นิยายยอดนิยมในเว็บจีนต่อเนื่อง 10 เดือน! นิยายแปลจีน สืบสวน ไขคดี ใช้ความรู้ยุคปัจจุบันผสมกับแอ็คชั่นกำลังภายในสวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท