ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง – บทที่ 330-2 พลังเทพก่อร่างขั้นต้น (2)

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 330-2 พลังเทพก่อร่างขั้นต้น (2)

บทที่ 330 พลังเทพก่อร่างขั้นต้น (2)

พลังของทั้งสามเพิ่มขึ้นโดยปริยาย พุ่งเข้าชนกัน แปรเปลี่ยนเป็นลมกระโชก กวาดปลายเสื้อของผู้ชมที่อยู่ไกลๆ

เรืออูเผิงที่อยู่ไกลๆ สามจั้ง ห้าจั้ง สิบจั้ง ยี่สิบจั้ง…ภายในเรือ ใบหน้ารูปไข่ที่งดงามของฝูเซียงยื่นออกมา พลางโบกมือลาด้วยรอยยิ้ม

ฉู่หยวนเจิ่นลงมือกะทันหัน ปลายนิ้วชี้ไปที่ผิวแม่น้ำเล็กน้อย แรงฉุดพลังปราณ ได้ยินเพียงเสียงดัง ‘ตู้ม’ กระแสน้ำของแม่น้ำเว่ยพุ่งสูงสิบกว่าจั้ง

น้ำไม่ได้กระเซ็นตกลงมา แต่กลายเป็นกระบี่เล็กๆ ทีละอัน สาดยิงไปทางสวี่ชีอันที่ไม่มีท่าทีว่าจะหลบ ราวกับกำลังเผชิญหน้ากับกองกำลัง และลูกธนูนับหมื่น

เพิ่งเริ่มลงมือ ก็ใช้วิธีเทพเซียนแล้ว

เหล่าจอมยุทธ์มองด้วยดวงตาพร่าพราย อกสั่นขวัญหาย หากไม่เปลี่ยนตำแหน่งที่ยืนอยู่ เห็นทีพวกเขาคงตายอย่างสลดท่ามกลาง ‘ลูกธนูที่ปล่อยออกมานับหมื่น’ นี้แน่

สวี่ชีอันไม่ได้หลบ สิบมือประสานกัน เงยหน้าขึ้นสูง

‘ครืน’…เกราะป้องกันทรงกลมสีทองบางๆ ขยายตัวในทันใด ฝนกระบี่ที่หนาแน่นชนเข้ากับเกราะป้องกัน ทำให้เกิดละอองน้ำกระจายไปทั่ว

นี่คือพลังเทพวชิระของสวี่ชีอัน ที่นำมาสู่การเปลี่ยนแปลงให้ใกล้เคียงกับระดับก่อร่างขั้นต้น ถึงขั้นตอนนี้ พลังเทพวชิระสามารถก่อพลังปกคลุมร่างกายออกมา ไม่ใช่การโจมตีทางกายภาพอีกต่อไป

แน่นอนว่าการป้องกันของเกราะป้องกันนั้นอ่อนแอกว่าตัวมันเอง เมื่ออยู่ในระดับก่อร่างขั้นต้น เกราะป้องกันจึงเป็นเพียงขั้นกายภาพเท่านั้น

เป็นพลังป้องกันที่แข็งแกร่งยิ่ง…ไม่เพียงแต่ฉู่หยวนเจิ่นและหลี่เมี่ยวเจิน ยอดฝีมือยุทธภพที่ชมอยู่รอบๆ รวมถึงเหล่าฆ้องทองคำ ก็ถูกร่างกายสีทองอันทรงพลังของสวี่ชีอันที่ปรากฏขึ้นทำให้ประหลาดใจเช่นเดียวกัน

โดยเฉพาะเกราะป้องกันสีทองนั้น มันคือปาฏิหาริย์ที่ภิกษุจิ้งซือไม่มีในตอนนั้น

‘ใช่แล้ว นี่คือพลังเทพวชิระ เขาไม่ได้โกหกข้า’…ฉู่เซียงหลงรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที เขาจำท่าทางของสวี่ชีอันได้ เพราะในวันที่เขาบำเพ็ญพรตฝึกพลังเทพวชิระ ในห้วงภาพที่ระยิบระยับ ก็เคยทำท่าทางเดียวกันนี้มาแล้ว

หลังฉู่เซียงหลงฝึกฝนล้มเหลว เส้นลมปราณถูกตัดขาด ก็เคยสงสัยว่าพลังเทพวชิระเป็นเพียงของปลอมที่สวี่ชีอันใช้เพื่อหลอกลวงเขา

ทว่าฉู่เซียงหลงไม่มีหลักฐาน เดิมทีก็ไม่เคยเห็นพลังเทพวชิระกับตา นอกจากนี้ เขาไม่เชื่อว่าสวี่ชีอันกล้าหาญถึงขนาดกล้าโกหกเขา

เมื่อเห็นท่าทางที่คุ้นเคยแล้ว การคาดเดาของเขาโน้มเอนไปทางความยากลำบากในการบำเพ็ญพรตพลังเทพวชิระ ตนเองไม่มีพื้นฐานวิชาพุทธ ดังนั้นจึงถูกพลังเทพโจมตี

ฉู่หยวนเจิ่นยื่นมือออกมา กดลง จากนั้นค่อยๆ ‘ดึงออก’ กระบี่ยาวขนาดสามจั้งหนึ่งเล่มโผล่ขึ้นจากพื้นผิวแม่น้ำที่ปั่นป่วน กระบี่ขนาดใหญ่นั้นเกิดขึ้นจากกลุ่มน้ำ

กระบี่ยักษ์ค่อยๆ เชิดขึ้น ปลายดาบชี้ไปที่สวี่ชีอัน

เสื้อคลุมสีเขียวของฉู่หยวนเจิ่นตีกัน ปลายนิ้วส่งกระบี่พุ่งไปข้างหน้า

กระบี่ยักษ์ทะยานออกไป กระแทกกับเกราะป้องกันสีทองอย่างแรง เสียงน้ำดังก้องเหมือนเสียงฟ้าร้อง เกราะป้องกันสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น

ในเวลานี้ รูม่านตาของหลี่เมี่ยวเจินกลายเป็นแก้วโปร่งแสง เต็มไปด้วยความเยือกเย็น

‘ชิ้ง!’

กระบี่ที่อยู่ด้านหลังเอวของสวี่ชีอันถูกถอดออกโดยอัตโนมัติ ฟันลงไปบนเกราะป้องกัน ด้านนอกด้านในตีขนาบประสานกันกับกระบี่ยักษ์ ทำลายเกราะป้องกันของพลังเทพวชิระในพริบตา

เกราะกำบังกระบี่ยักษ์ของสวี่ชีอันพุ่งออกไปสิบจั้ง สวี่ชีอันพลิกตัว ล้มลงอย่างสะบักสะบอม

ทั้งสองรวมพลัง จนทำลายเกราะป้องกัน

เหล่าประชาชนตกตะลึง ทันทีที่ฆ้องเงินสวี่ผู้น่าเกรงขามเพิ่งปรากฏตัวก็ตกลงมาอย่างน่าเวทนาเช่นนี้เสียแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะเชื่อคำกล่าวของเหล่าชาวยุทธภพในตอนแรก

ฆ้องเงินสวี่ที่อยู่ขั้นเจ็ด มีความแตกต่างอย่างมากกับตัวหลักทั้งสองท่านของการต่อสู้ระหว่างสวรรค์กับมนุษย์

“เป็นคุ้มกายาร่างทองคำที่แข็งแกร่งดี นึกไม่ถึงว่าต้องรวมพลังสองคนจึงจะสามารถทำลายได้” หลิ่วหยุนวีรสตรีกระบี่คู่หรี่ตาลง และกล่าวอย่างแปลกประหลาด

แม้ไม่รู้ว่าเหตุใดกระบี่ของฆ้องเงินสวี่ถึง ‘ก่อกบฏ’ แต่นางมองออก หลี่เมี่ยวเจินกับฉู่หยวนเจิ่นต้องร่วมมือกันถึงทำลายเกราะป้องกันของอีกฝ่ายได้

“แต่ยังคงห่างไกล” คนเฝ้าประตูกระบี่คู่ส่ายหน้า

ความทนทานไม่ใช่ความสามารถ อย่างมากก็คือประคับประคองเวลาให้ยาวนานขึ้น ฆ้องเงินสวี่ขาดวิธีการเอาชนะ

สายตาของยายตัวร้ายมองตามสวี่ชีอันเสมอ แม้จะเห็นเขาจนตรอก แต่ยังไม่บุบสลาย ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกในทันที พลางแอบให้กำลังใจเขาอยู่ในใจเงียบๆ

กลางอากาศ หลี่เมี่ยวเจินและฉู่หยวนเจิ่นขยายการต่อสู้อย่างดุเดือด ทั้งคู่ไม่พยายามที่จะทำลายร่างทองคำของสวี่ชีอันต่อ เพราะมันยากเกินไป

ทำลายเกราะป้องกันเป็นวิธีที่ชาญฉลาด หากทำลายร่างทองคำ พลังภายในร่างของสวี่ชีอันคงไม่ตีขนาบประสานกันได้

ความคิดของพวกเขาทั้งนุ่มนวลและแข็งกระด้าง ในขณะต่อสู้ บางครั้งก็ส่งสวี่ชีอันออกมา และทำลายร่างทองคำของเขาทีละนิด

“เมื่อครู่เป็นพลังภายใน ‘สวรรค์และมนุษย์รวมเป็นหนึ่ง’ ของนิกายสวรรค์? ยอดเยี่ยม ทำให้ยากจะป้องกัน” ฉู่หยวนเจิ่นถามด้วยความสนใจอย่างยิ่ง

“วิชากระบี่ของนิกายมนุษย์ก็ไม่เลว” หลี่เมี่ยวเจินกล่าวอย่างราบเรียบ

“ยังมีที่ดีกว่านี้อีก”

ฉู่หยวนเจิ่นส่งเสียงต่ำ ยกมือขึ้น กระบี่นิ้วหันขึ้นฟ้า

ทันใดนั้น ชาวยุทธภพที่อยู่ในสนามรู้สึกว่าอาวุธของตนเองเริ่มเคลื่อนไหว และยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทันใดนั้น พวกมันก็แยกออกจากมือของเจ้าของพร้อมกัน ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า ทะลักไปทางฉู่หยวนเจิ่นเป็นกลุ่ม

อาวุธนับร้อยลอยอยู่ในอากาศ ประกอบขึ้นเป็นกองกำลัง และเป็นฉากที่งดงามยิ่งนัก

ชาวยุทธภพที่สูญเสียอาวุธไม่เพียงแต่ไม่โกรธ กลับเผยให้เห็นสีหน้าที่ดูตื่นเต้นออกมา ตื่นตัวเหมือนเด็กน้อยที่มีน้ำหนักแค่สองร้อยจิน

“ฟู่ว…เกือบจะต้องเสียเจ้าไปแล้ว”

อาจารย์ของคุณชายหลิวพยายามอย่างถึงที่สุด เพื่อรักษาอาวุธวิเศษที่ได้รับจากสำนักโหราจารย์ ไม่ได้ถูกฉู่หยวนเจิ่นปล้นไป

“ฟู่ว…” เมื่อเห็นสถานการณ์ในตอนนี้ คุณชายหลิวก็โล่งใจเช่นกัน

ฉู่หยวนเจิ่นขยับกระบี่นิ้ว ควบคุม ‘ค่ายกลกระบี่’ ของกลุ่มอาวุธที่แหวกว่ายในอากาศอย่างช้าๆ ทันใดนั้นพวกมันก็หันกลับลงไป และพุ่งเสียงดัง ‘ตึง ตึง ตึง’ เข้าใส่ฆ้องเงินท่านนั้นต่อสู้จนเขาล้มลงไปอย่างสะบักสะบอมอีกครั้ง

บัดซบ คิดว่าข้าเป็นเด็กอมมือจริงๆ หรือ? เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะเปิดเผยช่องโหว่ค่ายกลของเจ้า…สวี่ชีอันโกรธเล็กน้อย

เขาเคยเผชิญหน้ากับกระบวนท่านี้เมื่อตอนที่ทั้งสองเคยต่อสู้กันในลานของลั่วอวี้เหิง ฉู่หยวนเจิ่นก็ใช้ค่ายกลนี้ ช่องโหว่ก็คือเพียงต้องใช้กระบี่ใจตัดวิธีฟันกระบี่ ก็จะสามารถรบกวน ‘จังหวะ’ ได้

ทว่าหลี่เมี่ยวเจินใช้กระบี่ใจของนิกายมนุษย์ไม่เป็น นางไม่สามารถใช้วิชาทำลายด้วยกระบวนท่านี้ได้

โจมตีสวี่ชีอันแล้วหนึ่งยก ฉู่หยวนเจิ่นจัดการกับค่ายกลกระบี่บินที่ห่อหุ้มหลี่เมี่ยวเจิน ทว่า ภายในค่ายกระบี่ปรากฏผู้ทรยศแล้ว ทันใดนั้นอาวุธส่วนหนึ่งก็เบนปลายคมกริบ แล้วพุ่งเข้าโจมตี ‘เพื่อนร่วมทีม’

สองอาวุธต่อสู้จนยากจะแยกออกจากกันอยู่กลางอากาศ

‘ชิ้ง!’

กระบี่ของสวี่ชีอันออกจากฝัก เขาพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า และฟันไปทางฉู่หยวนเจิ่น เป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดยิ่ง

เวลานี้ กระบี่บินสองเล่มราวกับเกิดใหม่ไปโดยปริยาย ชนเข้าหากัน และฟาดฟันอย่างอึกทึกเข้าใส่สวี่ชีอัน

ท่ามกลางเสียงดัง ‘ปัง ปัง’ อาวุธแต่ละชิ้นแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ร่างกายของสวี่ชีอันก็สาดแสงสีทองตาม สีทองที่ฉาบเคลือบอยู่หลุดลุ่ยไปบ้างแล้ว เผยให้เห็นสีผิวปกติ แต่ในชั่วพริบตา สีทองชั้นหนึ่งก็ห่อหุ้มขึ้นมาใหม่อีกครั้ง

ต่อสู้ได้ยอดเยี่ยม…สวี่ชีอันทั้งยอมรับอย่างอยากลำบาก ทั้งเพิ่มศักยภาพ ทำให้สีทองปกคลุมร่างกายอย่างต่อเนื่อง

เขาต้องการต่อสู้เช่นนี้เพื่อขัดเกลาร่างสีทอง ก็เหมือนกับการตีเหล็ก การต่อสู้ที่แข็งแกร่งในทุกครั้งต่างทำให้เขายิ่งเพิ่มความบริสุทธิ์มากยิ่งขึ้น

สวี่ชีอันที่ใช้กระบี่ฟันอากาศ และตกลงไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จนกลายเป็นเป้าที่มีชีวิต อาวุธนับร้อยเล่มแตกเป็นเสี่ยงๆ ตีจนเขากลายเป็นพระพุทธรูปโบราณที่ฉาบทาด้วยสีทอง

หลี่เมี่ยวเจินฉวยโอกาส รูม่านตาเคลือบกระจกแก้วอีกครั้งหนึ่ง ความรู้สึกจางหายไป จนเต็มไปด้วยความเย็นชา

กระบี่ยาวสีดำทองที่อยู่ในมือของสวี่ชีอันก่อกบฏอีกครั้ง หลุดออกจากมือเจ้าของ ก่อนจะฟันเข้าที่หน้าอกอย่างแรง กระบี่เล่มนี้ ในที่สุดก็ทำลายร่างทองคำ ปรากฏรอยแผลเป็นที่ลึกเข้าไปในกระดูกออกมา

หนึ่งคนหนึ่งกระบี่ตกลงไปในแม่น้ำพร้อมกัน

‘ซ่า’…เสียงน้ำสาดกระเซ็น

“กระบี่เล่มนี้เพียงพอที่จะทำให้เขาบาดเจ็บแล้ว แต่ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต” หลี่เมี่ยวเจินเอ่ยปากเพื่ออธิบาย

“ก็ดี ให้เขาได้รับบทเรียนเสียบ้าง ดีกว่านิกายสวรรค์มีคำสั่งให้เจ้าฆ่าเขา” ฉู่หยวนเจิ่นพยักหน้า

ทั้งสองไม่กลัวเกรงอีกต่อไป พยายามสุดความสามารถ และต่อสู้อย่างดุเดือดกลางอากาศ ประเดี๋ยวปราณกระบี่ก็ท่องทะยาน ประเดี๋ยวมังกรน้ำก็ขึ้นไปในอากาศ โรมรันต่อสู้กันจนแยกไม่ออก

“ฆ้อง ฆ้องเงินสวี่แพ้แล้ว?”

ประชาชนที่ชมอยู่รอบๆ ยอมรับความจริงนี้ไม่ได้เล็กน้อย และไม่สามารถยอมรับความพ่ายแพ้ที่รวดเร็วเช่นนี้ของสวี่ชีอันได้

ความผิดหวังครั้งใหญ่พัดผ่านเข้ามา ในที่สุดพวกเขาก็ตระหนักได้ว่า ฆ้องเงินสวี่ที่ตนเองชื่นชม และโอ้อวด ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตัวเอกทั้งสองของการต่อสู้ระหว่างสวรรค์และมนุษย์จริงๆ

“เขาไม่น่าเป็นแบบนี้นี่ สองกระบี่ที่เขาแสดงในช่วงการต่อสู้พลังเวทสุดยอดยิ่งนัก เหตุใดเมื่อครู่จึงไม่แสดงออกมาเล่า”

“ได้ยิน ได้ยินมาว่าในช่วงพิธีต้าวฮวด เป็นท่านโหราจารย์ที่ช่วยเหลือเขา?”

…พวกเขามองหน้ากันไปมา สักพักหนึ่งก็ยังไม่สามารถหาคำกล่าวมาหักล้างได้

“ดีกว่าที่ข้าจินตนาการไว้เสียอีก” เจียงลวี่จงกล่าวชมเชย

กลุ่มฆ้องทองคำพยักหน้า ท่ามกลางการโจมตีที่พยายามอย่างเต็มที่ของยอดฝีมือขั้นสี่ทั้งสองท่าน สามารถต้านทานได้นานขนาดนี้ ก็นับว่าคุ้มค่ามากแล้ว ความแข็งแกร่งด้านการป้องกันร่างกายของสวี่หนิงเยี่ยนนั้นอ่อนกว่าขั้นสี่ของพวกเขาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

‘ระหว่างขั้นหกกับขั้นสี่ ความจริงช่างแตกต่างกันมาก เขายอดเยี่ยมมากแล้ว’…ฮว๋ายชิ่งมองไปที่แม่น้ำ ถอนหายใจอย่างเงียบๆ

“สุนัขรับใช้คงไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่” ยายตัวร้ายกล่าวอย่างเป็นห่วง

“ยังดีที่เป็นทหารขั้นหก บาดแผลเล็กๆ แค่นั้นไม่ทำให้เขาถึงแก่ชีวิตหรอก” ฮว๋ายชิ่งกล่าวปลอบใจ คิดไปคิดมา นางก็กล่าวเสริมประโยคหนึ่ง “นี่ก็ดีมากแล้ว ขั้นหกส่วนมากต่างก็ทำในขั้นเขาเช่นนี้ไม่ได้”

“อืม” ยายตัวร้ายพยักหน้า แต่ยังคงผิดหวังอยู่เล็กน้อย ผู้ใดบ้างไม่ต้องการให้ชายที่ตนเองชื่นชมกลายเป็นจอมยุทธ์ที่หายากกัน

สำหรับจุดจบของเรื่องนี้ ชาวยุทธภพขั้นสูงที่บำเพ็ญตนในขั้นสูงบางคนดูไม่ประหลาดใจ อย่างเช่นกระบี่ผีเสื้อฉ่ายเชินอี และกระบี่คู่วีรสตรีหลิ่วหยุน

สวี่ชีอันทำให้คนตกตะลึงในพิธีต้าวฮวด ประวัติย่อและข้อมูลของเขา เป็นธรรมดาที่จะถูกสืบข่าวและเก็บรวบรวม การบำเพ็ญตนของเขาเป็นเช่นไรกันแน่ ก็ง่ายแก่การวิเคราะห์ออกมา แม้กระทั่งจะสืบข่าวได้จากทางตรง

‘ทหารขั้นเจ็ดจะสู้ขั้นสี่สองคนได้อย่างไรกัน สามารถยืนหยัดได้จนถึงตอนนี้ ก็คุ้มค่าแล้ว’

‘พรสวรรค์ด้านสติปัญญาของเขาดียิ่งนัก อีกไม่กี่ปี การทะลวงขั้นสี่คงเป็นสิ่งที่ไม่อาจเลี่ยงได้แน่ แต่ตอนนี้ ยังไม่เพียงพอจะตีเสมอลูกศิษย์ที่โดดเด่นของทั้งสองนิกายสวรรค์และมนุษย์’…แม่นางหรงหรงจากหอหมื่นบุปผาคิดในใจ

“อวดดี!” พระมเหสีถ่มน้ำลาย และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เบาเหมือนยุง

ฉู่เซียงหลงตกตะลึง ขมวดคิ้ว “ท่านว่าอย่างไรนะพ่ะย่ะค่ะ”

พระมเหสีกล่าวเสียงราบเรียบ “จะทำอย่างไรกับเจ้าดี”

ฉู่เซียงหลงไม่ได้พูดอะไรอย่างรู้เท่าทัน

สวี่ซินเหนียนก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวโดยไม่รู้ตัว อยากจะไปที่แม่น้ำเพื่อตามหาพี่ใหญ่ จากนั้นสติปัญญาก็สามารถเอาชนะอารมณ์ และถอนหายใจอย่างจนใจ

ด้วยการฝึกตนของพี่ใหญ่ อาการบาดเจ็บแค่นี้ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต… ‘จริงๆ เลย ความแข็งแกร่งไม่เพียงพอแท้ๆ ยังชอบวางก้าม ชื่อเสียงที่ได้รับในพิธีต้าวฮวดพลันหายวับในหนึ่งวัน’

สวี่ซินเหนียนแอบด่าพี่ชายที่โง่เขลา สายตาพลางจับจ้องในแม่น้ำ เพียงพี่ใหญ่ปรากฏตัวขึ้นมา ก็จะพาเขากลับเมืองหลวง แวะรับโอสถที่สำนักโหราจารย์เสียหน่อย

ก้นแม่น้ำที่มืดมิด ในกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยว สวี่ชีอันกำลังปรับสภาพร่างกายภายในน้ำ นั่งขัดสมาธิ สองมือประสานกันไว้ที่ตันเถียน

เลือดสีแดงเข้มไหลออกจากบาดแผลตรงหน้าอก กระจายอยู่ในน้ำลึกที่มืดมิด

ในเวลานี้ เขารู้สึกว่าเลือดกำลังเดือดปุด เส้นลมปราณทุกเส้นต่างเกิดความรู้สึกเจ็บปวด ความรู้สึกนี้เคยปรากฏในตอนที่กลืนยาชิงตัน ตอนนี้ ฤทธิ์ยาที่กระจายอยู่ภายในร่างกำลังผสมกับหยดโลหิตที่เหลืออยู่ของไต้ซือเสินซู เดือดพล่านไม่หยุดหย่อน

บาดแผลพลันสมานกันอย่างรวดเร็ว ระหว่างคิ้วปรากฏแสงสีทองสว่างเรืองขึ้นเล็กน้อย แผ่ปกคลุมทั่วร่างกายอย่างรวดเร็ว แสงสว่างจ้าเปล่งสีทองออกมา ทำให้พื้นหลังสีดำสว่างขึ้น สวี่ชีอันดูเหมือนเป็นร่างมนุษย์ที่แข็งตัวและเคลือบไปด้วยแสงสีทองบริสุทธิ์

“ช่างเป็นพลังที่มหาศาลยิ่งนัก ข้าอยากออกไปแสดงให้พวกเขาอิจฉาเต็มที…”

ด้วยการเตะเท้าทั้งสองข้าง น้ำขุ่นก็เอ่อล้นเหมือนน้ำหมึก สวี่ชีอันที่มีร่างกายเป็นสีทองเจิดจ้าพุ่งเหมือนลูกธนูขึ้นสู่ผิวน้ำ

ด้านนอก ฉู่หยวนเจิ่นกับหลี่เมี่ยวเจินที่ต่อสู้กันอย่างดุเดือดต่างยอมรามือจากกันเป็นการชั่วคราว ทั้งสองทิ้งระยะห่าง ก้มศีรษะ พลางมองไปที่แม่น้ำอย่างกระสับกระส่าย

“เหตุใดจึงไม่ต่อสู้แล้วเล่า”

กลุ่มผู้ชมรอบๆ มองอย่างเหม่อลอยต่อการหยุดลงมืออย่างกะทันหันของทั้งสองท่าน เต็มไปด้วยความสงสัย

ฆ้องทองคำที่อยู่ท่ามกลางหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล และผู้แข็งแกร่งอย่างหลานหวนที่อยู่ท่ามกลางชาวยุทธภพ ราวกับรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง ทุกคนต่างเบนสายตามองไปทางผิวแม่น้ำ

แสงสีทองอ่อนๆ แสงหนึ่งสว่างขึ้นจากกลางแม่น้ำ ก่อนจะแผ่ขยายอย่างรวดเร็ว ทำให้ผิวน้ำส่องสะท้อนแสงนั้นราวกับน้ำซุปสีทองอร่าม

‘ตูม!’

กระแสน้ำระเบิดขึ้นสู่ท้องฟ้า แสงสีทองแสงหนึ่งปรากฏออกมาจากน้ำ คาดไม่ถึงว่าจะสว่างเจิดจ้ายิ่งกว่าดวงอาทิตย์เสียอีก สว่างเสียจนฝูงชนไม่สามารถลืมตาขึ้นได้

ร่างนั้นโผล่ออกมาจากคลื่น กระแทกกับฝั่งแม่น้ำอย่างแรง ก้อนหินที่กระเด็นกระดอนเป็นเหมือนอาวุธที่ซ่อนอยู่

ทั้งสองฝั่งของแม่น้ำเว่ย สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่เขา

ครั้นแสงสีทองมาบรรจบกัน สวี่ชีอันยืดเอวอย่างสบายใจ กล่าวอย่างเฉื่อยชา “รอข้าบิดขี้เกียจสักครู่ก่อน…”

………………………………………………

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Status: Ongoing
ตั้งแต่ข้ามเวลามาเขาตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในสังคมที่ไร้ซึ่งคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ นี้ แต่ทำไมเขาถึงต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องการเมือง และอำนาจลึกลับที่อยู่เบื้องหลังราชวงศ์ต้าฟ่งแห่งนี้ด้วย!Top 5 นิยายยอดนิยมในเว็บจีนต่อเนื่อง 10 เดือน! นิยายแปลจีน สืบสวน ไขคดี ใช้ความรู้ยุคปัจจุบันผสมกับแอ็คชั่นกำลังภายในสวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท