ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง – บทที่ 379-2 กระแสน้ำที่ปั่นป่วน (2)

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 379-2 กระแสน้ำที่ปั่นป่วน (2)

บทที่ 379 กระแสน้ำที่ปั่นป่วน (2)

เรือนตะวันออก

อารองสวี่นั่งอยู่ที่โต๊ะ ดื่มชาหนึ่งอึก กล่าวพลางทอดหายใจ “เจ้าเด็กสารเลวสองคนนั้น ไม่เคารพข้าเสียแล้ว”

อาสะใภ้ที่สวมเสื้อคลุมสีขาวบางๆ นั่งไขว่ห้างอยู่บนเตียง เล่นสร้อยข้อมือหยกของตนเองอยู่ ถาม “เกิดอะไรขึ้นหรือ”

ขาทั้งสองข้างของนางที่มีสัดส่วนได้รูปเรียงซ้อนกัน ช่างงดงามยิ่งนัก

“เฮ้อ ฉู่โจวเกิดเรื่องใหญ่แล้ว ตอนนี้เอ้อร์หลางก่อเรื่องในเขตพระราชฐาน อึกทึกไปทั่ว” อารองสวี่ขมวดคิ้วแน่น

“เรื่องอะไรหรือ” อาสะใภ้ถามด้วยความสงสัย

“เป็นสตรี จะยุ่งเรื่องมากมายขนาดนั้นไปทำไมกัน” อารองสวี่จ้องนางครู่หนึ่ง

ก็เหมือนสองพี่น้องที่ไม่อยากให้อารองสวี่เป็นกังวลมากนัก ขณะเดียวกันอารองสวี่ก็ไม่อยากให้ภรรยากังวลโดยเปล่าประโยชน์ เช่นนางที่อายุปูนนี้แล้วยังคิดว่าตนเองเป็นสตรีที่อยู่ในช่วงวัยที่กำลังรุ่งโรจน์ บางทีนางเป็นคนหนึ่งที่สงบสุขก็เพียงพอแล้ว

“พี่ใหญ่ ท่านยังไม่เคยเล่ารายละเอียดของเมืองฉู่โจวให้ข้าฟังเลย”

ในห้องตำรา สวี่เอ้อร์หลางวางถ้วยชาเข้มข้นไว้ และนั่งอยู่ที่โต๊ะ

สวี่ชีอันยืนอยู่ข้างหน้าต่าง มองไปทางสนามหญ้าที่มืดมิดและเงียบสงัด พลางกล่าวอย่างช้าๆ “คดีฉู่โจวซับซ้อนกว่าที่เจ้าคิด…”

เขาเล่าอย่างใจเย็น และนำประสบการณ์ในการเดินทางของตนเองค่อยๆ บอกสวี่ฉือจิ้วทีละนิด รวมไปถึงความเข้าอกเข้าใจของสมุหเทศาภิบาลเจิ้ง และพบเห็นฉากของการสังหารหมู่เมืองฉู่โจว

น้ำเสียงของเขาสงบนิ่งมาก นิ่งจนไม่กล้ามีอารมณ์ที่ผันผวนแม้แต่น้อย

ความโศกเศร้าไร้ซึ่งน้ำตา

“ที่แท้ ที่แท้เขาก็มีส่วนร่วม…”

สวี่ซินเหนียนกล่าวอย่างตกตะลึง จิตใจของเขา รวมถึงความรู้สึกจงรักภักดีต่อกษัตริย์ที่นับไม่ถ้วนพังทลายลงเสียงดังสนั่น ไม่หลงเหลือร่องรอยอยู่อีก

“เป้าหมายการกลับเมืองหลวงของคณะทูตในครั้งนี้ ก็เพื่อต้องการประกาศให้ใต้หล้าได้ทราบถึงความผิดของอ๋องสยบแดนเหนือ เหอะ ใต้เท้าเจิ้งไม่ยินยอมให้สัตว์ร้ายอย่างอ๋องสยบแดนเหนือใช้ฐานันดรศักดิ์องค์ชายประกอบพิธีฝัง ไม่ยอมให้ชื่อเสียงของวีรบุรุษปกป้องชาติส่งต่อไปยังคนรุ่นหลัง” สวี่ชีอันกล่าวเยาะเย้ย

ปัญญาชนให้ความสำคัญกับชื่อเสียงหลังจากถึงแก่ความตายที่สุด หากไม่สามารถลงโทษอ๋องสยบแดนเหนือได้ ในความคิดของเจิ้งซิ่งไหว นี่ถือเป็นความแค้นที่ไม่สำเร็จ และไม่ถือว่าเป็นการทวงคืนความยุติธรรมให้แก่ราษฎรเมืองฉู่โจว

“ฉือจิ้ว การ ‘ต่อสู้’ สนามนี้ควรสู้อย่างไรดีเล่า” สวี่ชีอันกล่าวทดสอบ

“พวกท่านกำลังทำอยู่ในตอนนี้แล้ว” สวี่ซินเหนียนกล่าว “มีแนวโน้มของสถานการณ์เพื่อข่มขู่จักรพรรดิหยวนจิ่ง แม้ว่าจะเป็นกษัตริย์ แต่ก็ไม่อาจต้านทานกระแสความโกรธเคืองของฝูงชนได้ ไม่ใช่ว่าเขาตกลงพบกับสมุหราชเลขาธิการหวางแล้วหรือ มาดูกันว่าวันพรุ่งนี้จะมีผลลัพธ์เช่นไร”

“น่าเสียดายเรื่องท้องพระโรง ข้าช่วยอะไรไม่ได้มาก ความรู้สึกที่ฝากความหวังไว้ให้คนอื่นไม่ใช่เรื่องดีนัก” สวี่ชีอันถอนหายใจ

“พี่ใหญ่ ท่านทำเกินพอแล้ว…”

สวี่ซินเหนียนกำลังรอการปลอบโยนไม่กี่ประโยค หว่างคิ้วก็ขมวดขึ้นอย่างฉับพลัน นิ่งครู่หนึ่ง สีหน้าของเขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นหนักแน่นจริงจัง “พี่ใหญ่ สถานการณ์ดูเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ”

สวี่ชีอันหันกลับมา พลางจ้องมองเขา

สวี่ซินเหนียนกล่าวเสียงต่ำ “ตามที่ท่านกล่าวมาทั้งหมด หากคดีนี้เป็นแผนร้ายของจักรพรรดิหยวนจิ่งกับไหวอ๋อง เช่นนั้นการที่คณะทูตต้องการต่อสู้กับเขาโดยการใช้แผนการที่คาดไม่ถึง ก็คงล้มเหลวตั้งแต่แรก

“ท่านอย่าลืมว่าเชวียหย่งซิวเผ่นหนี สายลับของอ๋องสยบแดนเหนือก็หนีไปแล้ว คนพวกนี้จะไม่นำข่าวคราวที่อ๋องสยบแดนเหนือตกลงมาจากที่สูงจนสิ้นพระชนม์ส่งกลับมายังเมืองหลวงเลยหรือ? บางทีช่วงที่พวกท่านกำลังลำพองตนเองอยู่นั้น เขาก็อาจได้รับข่าวคราวล่วงหน้าแล้วเป็นได้

“เช่นนั้น จักรพรรดิหยวนจิ่งคงคิดดีแล้วว่าจะจัดการอย่างไร ไม่ต้องสงสัย ฝ่าบาทพระองค์นี้ของพวกเราใช้กลยุทธ์มานานหลายปีแล้ว หากเขาจริงจังขึ้นมา เกรงว่าเว่ยกงและสมุหราชเลขาธิการหวางต่างก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา”

“เจ้าเตือนสติข้าแล้ว ความจริงเป็นเช่นนี้นี่เอง” สวี่ชีอันหันกลับ มองไปทางลานบ้านที่มืดมิด และไม่กล่าวอะไรอีก

สวี่ชีอันทราบดีว่าท้องพระโรงไม่ใช่สนามหลักของเขา อย่างแรก การต่อสู้ทางการเมืองไม่ใช่การคลี่คลายคดี ยิ่งไม่ใช่อาศัยความฉลาดทางสมองก็สามารถผ่านมาได้ ผู้ที่สามารถห้ำหั่นออกมาจากการสอบจอหงวนสำเร็จ ใครบ้างที่ไม่ใช่คนฉลาด

แต่ก็มีคนขึ้นๆ ลงๆ จำนวนมากในทุกปี

สวี่ชีอันจะไม่หยิ่งผยองจนคิดว่าตนเองสามารถต่อสู้กับจักรพรรดิหยวนจิ่งสามร้อยรอบในท้องพระโรงได้

อย่างที่สอง ตำแหน่งทางการของเขาต่ำกว่า แม้แต่โอกาสขึ้นท้องพระโรงยังไม่มี นี่ก็หมายความว่าเขาไม่มีคุณสมบัติขึ้นสู่ ‘แนวหน้า’

“ดังนั้นในครั้งนี้ ตำแหน่งของกองกำลังหลักต้องมอบให้เว่ยกง สมุหเทศาภิบาลเจิ้ง และเหล่าขุนนางที่หวังทำเพื่อชื่อเสียงและผลประโยชน์ หรือมีความยุติธรรมอยู่ในใจเสียแล้ว…ทว่า ข้ายังคงสามารถออกแรงจากภายนอกได้”

หอดูดาว แท่นแปดทิศ

ท่านโหราจารย์ที่สวมชุดขาวราวหิมะ ผมและเคราเป็นสีขาว ยืนอยู่ตรงขอบแท่นแปดทิศ ไพล่มือไขว้หลัง มองลงไปยังเมืองหลวงทั้งเมือง

ลมยามราตรีพัดชายเสื้อของเขา เคราสีขาวปลิวสยาย ช่างเป็นความงดงามซึ่งเป็นอมตะ ราวกับเทพเซียนถูกเนรเทศมายังโลกมนุษย์ก็มิปาน

“ได้ยินว่า อ๋องสยบแดนเหนือสิ้นพระชนม์ที่แดนเหนือแล้ว”

เสียงทุ้มต่ำเสียงหนึ่งดังขึ้น เป็นน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำและราบเรียบ เหมือนกับการสนทนาระหว่างเพื่อนเก่า ทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกที่ไม่อาจหยั่งถึงได้

ข้างหลังท่านโหราจารย์ ปรากฏเงาคนผู้หนึ่ง ชายสวมชุดสีขาวท่านหนึ่งเดินขึ้นมา

ปีอ๋องแห่งต้าฟ่ง หยางเชียนฮ่วน

อาจารย์และลูกศิษย์หันหลังให้กัน ทั้งสองยืนเอามือไพล่หลัง ต่างสวมชุดขาวราวกับหิมะทั้งคู่ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงทักษะความสามารถของทั้งสองที่ยากจะแยกแยะ

โหราจารย์ส่งเสียง ‘อืม’ครั้งหนึ่ง กล่าวกลั้วหัวเราะ “มีบางคนนอนหลับแล้วยังละเมอยิ้ม”

‘อาจารย์หมายถึงเว่ยเยวียน หรือว่าใครกัน’…หยางเชียนฮ่วนพึมพำในใจ น้ำเสียงยังคงเงียบขรึมเหมือนคนบำเพ็ญตนสูงส่งก็มิปาน ส่งเสียง ‘อืม’ เลียนแบบตามอาจารย์

ท่านโหราจารย์คุ้นชินกับนิสัยของลูกศิษย์คนนี้มานานแล้ว ไม่มีเหตุผล เพียงแค่หยางเชียนฮ่วนไม่ท่อง ‘ทะเลสุดปลายฟ้า โหรคือจุดสูงสุดของข้า’ ต่อหน้าเขา โหราจารย์ก็เกียจคร้านจะใส่ใจ

หยางเชียนฮ่วนกล่าวต่อ “คนที่สังหารอ๋องสยบแดนเหนือเป็นยอดฝีมือลึกลับท่านหนึ่ง ต่อสู้กับยอดฝีมือห้าคนเพียงลำพังบนซากปรักหักพังของเมืองฉู่โจว ตัดศีรษะของอ๋องสยบแดนเหนือท่ามกลางสายตาทุกคนที่จ้องมอง เพื่อชำระแค้นให้กับราษฎร จากนั้นไล่ล่าพันลี้ เพื่อฆ่าตัดศีรษะจี๋ลี่จือกู่

“ทำให้คนเดือดดาลเสียจริง ข้าแทบทนไม่ไหวที่จะเข้าไปแทน ทว่า เมื่อคิดว่าขณะเดียวกันสวี่ซินเหนียนก็ไม่ได้ทำตัวเด่น ในใจของข้าก็รู้สึกดีขึ้นมาก หึหึ เจ้าเด็กคนนี้ชอบแย่งโชคชะตาของข้าตลอด ช่างน่าเกลียดชังยิ่งนัก สันนิษฐานว่าเมื่อเห็นการต่อสู้ทางการทูตของยอดฝีมือลึกลับท่านนั้นในฉู่โจว ในใจเขาคงอิจฉาแย่แล้วกระมัง”

กล่าวจบ หยางเชียนฮ่วนอาศัยสัญชาตญาณของโหรระดับสี่ รู้สึกถึงการหันหลังกลับและเหลือบมองตนเองของท่านโหราจารย์เป็นครั้งแรก

ท่านโหราจารย์ ในที่สุดก็รู้สึกละอายใจกับสิ่งที่เขาทำผิดในอดีตแล้วหรือ…หยางเชียนฮ่วนรู้สึกโล่งใจขึ้นมา

ดวงตาของโหราจารย์เต็มไปด้วยความเมตตา

วันรุ่งขึ้น เหล่าขุนนางมารวมตัวกันที่ประตูวังและก่อความวุ่นวายอีกครั้ง พวกเขามีความรู้สึกเหมือนถูกหลอก

เมื่อวานโวยวายอยู่เสียนาน เดิมคิดว่าฝ่าบาททรงมีการประนีประนอม และเชิญท่านสมุหราชเลขาธิการเข้าไปหารือ ใครจะคิดเล่า คำตอบที่ให้สมุหราชเลขาธิการหวางมาคือ ฝ่าบาทไม่อยากพบเขา

ช่างน่าขัน คิดว่าการหลีกเลี่ยงไม่พบหน้า ก็จะทำเหมือนเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นได้งั้นรึ

ตามการลุกลามของเหตุการณ์ คดีการสังหารหมู่ของอ๋องสยบแดนเหนือไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในวงการขุนนางอีกต่อไป ในตลาด สำนักศาสนาและสำนักนักคิดต่างๆ ได้ยินเรื่องนี้ต่างก็ตกใจ

โรงเตี๊ยม โรงน้ำชา หอนางโลม สถานที่เหล่านี้เรียกได้ว่าเป็นศูนย์กระจายข่าว ทั้งวันจะมีคนมานั่งฟังและพูดคุยกันอยู่

“อ๋องสยบแดนเหนือช่างไร้มนุษยธรรมเสียจริง ชีวิตคนตั้งสามแสนแปดหมื่นคน เขาโหดเหี้ยมเช่นนี้ได้อย่างไรกัน” มีคนตบโต๊ะด้วยความกราดเกรี้ยว

ในตลาดตอนนี้ การด่าทออ๋องสยบแดนเหนือถือเป็นสิ่งที่ถูกต้องทางการเมืองแล้ว ไม่ต้องกลัวการถูกประณาม เพราะทั้งวงการขุนนางต่างกำลังด่าทออยู่ ใครไม่ด่าอ๋องสยบแดนเหนือ ถือเป็นสัตว์ร้ายที่สติฟั่นเฟือน

หากด่าทออ๋องสยบแดนเหนือแล้ว จะถือว่าเป็นปัญญาชนที่อ่านตำราอย่างล้นหลามและเป็นพันธมิตรที่ชอบธรรม

“พวกเจ้าทราบหรือไม่ ผู้ที่ไปสืบคดีที่แดนเหนือในครั้งนี้คือฆ้องเงินสวี่ ไม่แปลกใจที่เป็นเขา หากไม่มีเขา ความผิดของอ๋องสยบแดนเหนือคงยังไม่สามารถเปิดเผยได้จนถึงตอนนี้”

“บนโลกนี้ไม่มีคดีใดที่ฆ้องเงินสวี่สืบไม่ได้ มีฆ้องเงินสวี่แล้ว ข้าจึงรู้สึกว่าท้องพระโรงเป็นท้องพระโรงของจริง อาจเป็นเพราะไม่มีโอกาสให้คนร้ายหนีพ้นโทษอีกต่อไป”

“แต่ข้าได้ยินมาว่า เรื่องของท้องพระโรง ฆ้องเงินสวี่ไม่มีอำนาจแล้ว”

“แล้วอย่างไรเล่า ทหารกองร้อยคงรับหน้าที่แทนฆ้องเงินสวี่อยู่แล้ว เจ้าเคยได้ยินหรือไม่ว่าญาติผู้น้องของฆ้องเงินสวี่ ผู้ที่สอบคัดเลือกช่วงวสันต์ได้ที่หนึ่งท่านนั้น เมื่อวานด่าทออยู่หน้าประตูวังสองชั่วยามเต็มๆ ด่าจนถึงช่วงพลบค่ำ วันนี้ก็ไปอีกแล้ว”

“ช่างยอดเยี่ยมเสียจริง”

ในห้องบรรทม

ขันทีชราก้าวข้ามธรณีประตูด้วยอาการปวดศีรษะที่แทบจะระเบิด ใบหน้าชราโกรธเคืองจนซีด “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ สวี่ สวี่ซินเหนียนผู้นั้นมาด่าทออยู่ด้านนอกอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ ช่างน่าเกลียดชังและน่าฆ่าทิ้งเสียจริง”

จักรพรรดิหยวนจิ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ ในมือถือตำราเต้าจิงอยู่ เมื่อได้ยิน จึงตอบกลับอย่างราบเรียบ “ฆ่าเขาแล้ว เช่นนั้นกระแสที่เข้ามาคงไม่อาจต้านทานได้ และทำให้ฝูงชนโกรธจริงๆ แน่”

จักรพรรดิเฒ่าสีหน้าสงบนิ่ง กล่าว “เมื่อวานเว่ยเยวียนมีความเคลื่อนไหวอย่างไรบ้าง”

ขันทีชราพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาโดยไม่รู้ตัว “เมื่อวานเว่ยกงไปพบสมุหราชเลขาธิการหวางเป็นการส่วนตัวในยามวิกาลพ่ะย่ะค่ะ…”

ความหมายก็คือ เสือสองตัวในท้องพระโรงก่อกลุ่มพันธมิตรส่วนตัวแล้ว

เว่ยเยวียนและหวางเจินเหวิน เป็นสัญลักษณ์ของสองฝ่ายที่ใหญ่ที่สุดในท้องพระโรง หากพวกเขาร่วมมือกัน จะไม่มีผู้ใดเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเขา แม้แต่ฝ่าบาท ก็ยังเคยเสียเปรียบให้กับเขาสองคน

ในช่วงที่การซื้อตำแหน่งทางราชการได้รับความนิยมอยู่ระยะหนึ่ง ภายหลังได้ถูกพวกเขาร่วมมือกันกำจัดจนสูญสิ้น เหล่าเจ้าหน้าที่ที่ขายออกไป ตำแหน่งบรรดาศักดิ์ที่ถูกปิดผนึก ในระยะเวลาห้าปี ปลดตำแหน่งก็ปลดจากตำแหน่ง ตัดศีรษะก็ตัดศีรษะ ต่างถูกสมุหราชเลขาธิการหวางนำกลับมากว่าครึ่ง

จักรพรรดิเฒ่าหัวเราะราวกับจะเย้ยหยัน ก่อนจะเปลี่ยนคำถาม “ในวังมีสิ่งผิดปกติหรือไม่”

ขันทีขันทีชราเอ่ยเสียงต่ำ “ปกติดีพ่ะย่ะค่ะ ทว่า เมื่อวานองค์หญิงหลินอันกลับวังแล้ว ส่วนองค์หญิงฮว๋ายชิ่ง…”

จักรพรรดิเฒ่าหรี่ตาลง “ฮว๋ายชิ่งทำไมหรือ”

“ออกจากวังแล้ว ก็กลับไปยังตำหนักฮว๋ายชิ่งพ่ะย่ะค่ะ”

หลังจากเงียบไปนาน จักรพรรดิเฒ่าก็ส่งเสียงอืม พลางกล่าวกำชับ “ภายหลังหากหลินอันขอเข้าพบ ก็ให้นางกลับไปเสีย”

วันที่สาม

เหล่าขุนนางยังคงรวมกลุ่มที่ประตูวังเช่นเคย แต่ผู้ที่คิดรอบคอบจะสังเกตได้ว่า แม้จำนวนคนไม่เปลี่ยน แต่ขุนนางใหญ่ที่มีอำนาจอยู่ในมือบางส่วน วันนี้กลับไม่ได้มา

สวี่ชีอันอยู่ที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล เห็นทหารรักษาพระองค์ของจวนองค์หญิงฮว๋ายชิ่งเดินทางมาพบตามคำสั่งขององค์หญิงใหญ่ เพื่อเชิญสวี่ชีอันให้ไปที่พระตำหนัก

…………………………………………………………

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Status: Ongoing
ตั้งแต่ข้ามเวลามาเขาตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในสังคมที่ไร้ซึ่งคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ นี้ แต่ทำไมเขาถึงต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องการเมือง และอำนาจลึกลับที่อยู่เบื้องหลังราชวงศ์ต้าฟ่งแห่งนี้ด้วย!Top 5 นิยายยอดนิยมในเว็บจีนต่อเนื่อง 10 เดือน! นิยายแปลจีน สืบสวน ไขคดี ใช้ความรู้ยุคปัจจุบันผสมกับแอ็คชั่นกำลังภายในสวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท