ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง – บทที่ 379 กระแสน้ำที่ปั่นป่วน (1)

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 379 กระแสน้ำที่ปั่นป่วน (1)

บทที่ 379 กระแสน้ำที่ปั่นป่วน (1)

สมุหราชเลขาธิการหวางโค้งคำนับไปทางเหล่าเจ้าหน้าที่ และตามขันทีชราเข้าไปในวัง เดินไปจนถึงห้องโถงด้านข้างของห้องทรงพระอักษร

ขันทีชราสั่งให้ขันทียกน้ำชามา พลางกล่าวอย่างเคารพ “ท่านสมุหราชเลขาธิการโปรดรอสักครู่”

พูดเสร็จก็เดินจากไป

สมุหราชเลขาธิการหวางนั่งคนเดียวบนเก้าอี้ รอคอยต่อไป จนกระทั่งผ่านมาครึ่งชั่วยามแล้ว

เขาไม่รีบร้อน รอคอยอย่างเงียบๆ สวมชุดข้าราชการสีแดง หมวกทรงสูง และจอนผมสีเทา

สีหน้าของเขาสงบนิ่งไม่แสดงอารมณ์ใดๆ แต่ดวงตากลับอยู่ในภวังค์เป็นบางครั้ง ทำให้ผู้คนตระหนักว่าอารมณ์ของชายชราท่านนี้ไม่ได้ดีอย่างที่คิด

ในที่สุด เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นมา

ดวงตาที่ขุ่นมัวของสมุหราชเลขาธิการหวางเป็นประกายเล็กน้อย และมองไปทางประตู

ขันทีชราที่สวมเสื้อคลุมงูเหลือมถือแส้ขนหางจามรีอยู่ในอ้อมแขน เดินเข้ามาเพียงลำพัง และกล่าวอย่างเสียใจ “ท่านสมุหราชเลขาธิการ ฝ่าบาทโศกเศร้าจนทนไม่ได้ เวลานี้ไม่เหมาะสม และจะไม่พบท่านแล้ว”

แสงสว่างในดวงตาของสมุหราชเลขาธิการหวางหรี่ลงทีละนิด

ขันทีชราถอนหายใจ “ฝ่าบาทต้องการเวลาให้ใจเย็นลง ท่านคงทราบดี ไหวอ๋องเป็นน้องชายของพระองค์ พระองค์ทรงมีความรู้สึกที่ลึกซึ้งกับไหวอ๋องตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ บัดนี้ได้จากไปอย่างคาดไม่ถึงเสียแล้ว…”

สมุหราชเลขาธิการหวางพยักหน้าโดยไม่พูดจา ประสานมือ และออกจากห้องโถงด้านข้างของห้องทรงพระอักษร

ตอนเดินลงบันได สมุหราชเลขาธิการหวางได้สติกลับคืนแล้วก็อดไม่ได้ จึงโค้งคำนับอย่างลึกซึ้งไปทางห้องทรงพระอักษร

จากนั้นก็เดินจากไป โดยไม่หันกลับมามองอีก

เมื่อมองดูสมุหราชเลขาธิการหวางจากไป ขันทีชราก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขากลัวสายตาของหวางเจินเหวินเล็กน้อย ภายในดวงตาคู่นั้นมีความผิดหวังอย่างลึกซึ้งอยู่

เขาเดินผ่านห้องทรงพระอักษร เข้าไปในห้องนอน โค้งคำนับและกล่าว “ฝ่าบาท ท่านสมุหราชเลขาธิการกลับไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิหยวนจิ่งส่งเสียง ‘อืม’ โดยไม่ลืมตา เอ่ยถามทั้งๆ ที่ยังหลับตาอยู่ “คนที่มาชุมนุมกันที่ประตูวังมีใครบ้างหรือ”

ขันทีชรากล่าวอย่างเคร่งขรึม “ผู้ที่คิดว่าจะมาก็มาทั้งหมดพ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิหยวนจิ่งพ่นลมอย่างเย็นชา “ข้าทราบดี เหล่าสุนัขเหล่านี้ปกติกัดกัน ครั้งหนึ่งต่างแก่งแย่งกันแสดงละคร น่าเกลียดแค้น น่าชิงชัง สมควรประหารชีวิต!”

เขาโกรธอยู่ครู่หนึ่ง สงบสติอารมณ์ก่อนจะถาม “เจ้ากรมการตรวจตราฝ่ายซ้ายหยวนสยงมาหรือไม่”

ขันทีเฒ่าครุ่นคิดครู่หนึ่ง ส่ายหน้า “เหมือนจะไม่เห็นพ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิหยวนจิ่งหลับตาลงอีกครั้ง หลังจากเงียบไปนาน ขันทีชราคิดว่าเรื่องนี้จบลงแล้ว ทันใดนั้นก็ได้ยินจักรพรรดิหยวนจิ่งกล่าว

“จดบันทึกผู้ที่ไม่มาในวันนี้ วันอื่นก็บันทึกเช่นกัน”

“พ่ะย่ะค่ะ!”

พลบค่ำ ท่ามกลางแสงระเรื่อสีแดงทอง

สวี่ชีอันจูงแม่ม้าน้อย สวี่ซินเหนียนก็จูงม้าของเขา เดินช้าๆ บนทางเดิน

พร้อมด้วยสมุหเทศาภิบาลเจิ้งซิ่งไหว และทหารระดับห้าเซินถูไป๋หลี่

“ใต้เท้าเจิ้ง ท่านอาศัยอยู่ในจุดพักเปลี่ยนม้าหรือ?” มีความกังวลแฝงอยู่ในน้ำเสียงของสวี่ชีอัน

ด้วยตำแหน่งราชการของเจิ้งซิ่งไหว เขาต้องอาศัยอยู่ในจุดพักเปลี่ยนม้าของเมืองชั้นในอย่างแน่นอน เรื่องความปลอดภัยที่ดีมาก ทั้งยังมีเซินถูไป๋หลี่ และหน่วยอารักขาอีกหนึ่งกลุ่มอยู่ข้างกาย

ทว่าตอนนี้พวกเขาคือศัตรูของจักรพรรดิหยวนจิ่ง ในบางเรื่องก็ควรมีการป้องกันไว้ ทหารสลายแรงระดับห้าไม่ค่อยมีให้เห็นในเมืองหลวงมากนัก

“พี่ใหญ่ไม่ต้องกังวลไป เรื่องการสังหารอ๋องสยบแดนเหนือในตอนนี้ ไม่เพียงแต่ผลักให้ฝ่าบาทถูกกระแสลมปากแหลมคมเท่านั้น แต่ยังผลักใต้เท้าเจิ้งโดนไปด้วยเช่นกัน แม้จะเป็นฝ่าบาท ก็ไม่สามารถกระทำเรื่องที่โง่เขลาในเวลานี้ได้ เพราะมันจะทำให้ราษฎรไม่พอใจ จำเป็นต้องทราบถึงความเป็นจริงของสถานการณ์ที่กำลังคืบคลานเข้ามาอย่างไม่อาจต้านทานได้”

สวี่ซินเหนียนกล่าว

สมุหเทศาภิบาลเจิ้งเหลือบมองเขาอย่างประหลาดใจ ใบหน้าที่ทนทุกข์อย่างขมขื่นและเก็บความเกลียดชังไว้อย่างลึกซึ้ง มีร่องรอยชมเชยสรรเสริญอยู่อย่างมาก กล่าว

“ฆ้องเงินสวี่ ลูกพี่ลูกน้องของท่านผู้นี้ วิสัยทัศน์ช่างกว้างไกลยิ่งนัก ที่กล่าวมาหมายความว่าเยี่ยงไรหรือ ท่าทางที่เป็นที่รักหรือที่ชังก็มิได้ใส่ใจเยี่ยงนี้ จะต้องมีอนาคตที่สดใสอย่างแน่นอน”

สวี่ซินเหนียนยิ้มเบาๆ

ไม่ใช่ เขาเพียงแค่เคยชินกับการจองหองและเสแสร้งเท่านั้น ความจริงแล้วความอดทนภายในใจของเขาก็งั้นๆ แถมมักจะตายตกทางสังคม และไม่ใช่แบบผู้เล่นระดับชาติที่สงบและไม่ตื่นตระหนกเช่นนั้น…สวี่ชีอันบ่นในใจ

สมุหเทศาภิบาลเจิ้งไม่ทราบถึงการเล่นตลกภายในจิตใจของสวี่คนไร้ประโยชน์ ดังนั้นจึงกล่าวเตือนความจำ “เขาทำให้ข้านึกถึงพรสวรรค์ของเว่ยกงเมื่อตอนที่ยังเด็ก”

ไม่สิ ใต้เท้าเจิ้ง คำพูดนี้เว่ยกงเขาเห็นด้วยหรือ…มุมปากของสวี่ชีอันกระตุก มุมปากโค้งขึ้นอย่างไม่เต็มใจ สุดท้ายยังคงรักษาความเงียบไว้

เรื่องบางเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว หากไม่ได้รับการจัดการหนึ่งวัน ก็เหมือนก้างปลาที่ติดคอ

“ท่านไม่ต้องกังวล” สมุหเทศาภิบาลเจิ้งกล่าว “มีหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลกลุ่มหนึ่งเข้ามาพักในจุดพักเปลี่ยนม้า ท่านก็ทราบ”

เว่ยกงเตรียมพร้อมแล้วหรือ มีเขาดูแลความปลอดภัยของใต้เท้าเจิ้ง เช่นนั้นข้าก็วางใจ…สวี่ชีอันรู้สึกโล่งใจ

“ขอตัวลา!”

สมุหเทศาภิบาลเจิ้งคารวะ และจากไปพร้อมกับเซินถูไป๋หลี่

สวี่ชีอันเฝ้าดูอย่างเงียบๆ ในเวลาสิบวันสั้นๆ จากฉู่โจวไปยังเมืองหลวง แผ่นหลังของเจิ้งซิ่งไหวค่อมเล็กน้อย ราวกับว่ามีบางอย่างกดทับอยู่บนไหล่ของเขา ทำให้เขาไม่สามารถยืดเอวให้ตรงได้

“เฮ้อ…” เขาส่งเสียงถอนหายใจในใจ ลูบไปที่เส้นโค้งหลังของแม่ม้าน้อย และพลิกตัวขึ้นไป

ท่ามกล่างเสียงดัง ‘กับ กับ กับ’ ของกีบม้า สองพี่น้องก็ค่อยๆ มุ่งหน้าไปยังทางที่กลับบ้าน

“ใต้เท้าเจิ้งเป็นคนน่าสงสาร บัณฑิตขั้นสูงในปีหยวนจิ่งที่สิบเก้า ได้ยินหลิวยวี่สื่อเล่าว่า คนผู้นี้บิดาจากไปเร็ว แม่หม้ายเลี้ยงดูเขาจนเติบใหญ่ด้วยความลำบาก ไม่ง่ายเลยที่จะส่งเขาไปจนถึงราชวิทยาลัยหลวง และกลายเป็นบัณฑิตขั้นสูง ผลจากการทำงานหนักหลายปีของตนเองทำให้ร่างกายเหนื่อยล้า ยังไม่ทันรอให้บุตรชายสวมเสื้อไหมปักกลับบ้านเกิดก็จากไปเสียแล้ว”

ขณะที่แม่ม้าน้อยเดินช้าๆ สวี่ชีอันก็กล่าว “แล้วเพราะแบบแผนและปฏิบัติตามกฎ ไม่รู้จักปรับตัว ทำให้อดีตสมุหราชเลขาธิการขุ่นเคือง และถูกส่งไปยังฉู่โจว

“เขาดูแลฉู่โจวสิบแปดปีแล้ว อยู่ที่นั่นมาเกือบครึ่งชีวิตคน สุดท้ายแล้วกลับกลายเป็นฝุ่นผงในชั่วข้ามคืน”

สวี่ซินเหนียนเงียบเป็นเวลานาน ข่มความหดหู่ไว้ภายในใจ รู้สึกเป็นทุกข์อย่างยิ่ง

เขาระบายความหดหู่ออกมาทั้งหมด และกล่าวด้วยอารมณ์ปลงตก “ลมฝนสิบแปดปี ทำงานมาครึ่งชีวิต พูดให้กระดูกแห้งฟัง”

“ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว” ราวกับเพื่อจะกำจัดอารมณ์ที่มืดมนนั้นทิ้ง สวี่ชีอันจึงยกรอยยิ้มที่ไม่ปกติขึ้นมา

“ฉือจิ้วกับคุณหนูสกุลหวางไปถึงขั้นไหนแล้วหรือ ได้…เอ่อ ได้มอบทุกอย่างให้ไปหรือไม่”

สวี่ซินเหนียนหน้าแดง กล่าวอย่างไม่พอใจ “หยาบคายยิ่งนักที่จะใช้คำนี้ ข้ายอมรับว่ามีความรู้สึกที่ดีต่อคุณหนูหวาง นางรู้หนังสือ คงแก่เรียน พูดจาไพเราะ และสามารถพูดคุยกับข้าได้ทุกอย่าง

“หญิงที่มีความรู้ความสามารถเป็นเยี่ยมเช่นนี้ นอกจากองค์หญิงฮว๋ายชิ่ง ข้าก็ไม่เคยพบเห็นผู้ใดอีก รู้สึกหวั่นไหวต่อนางนิดหน่อย แปลกตรงไหนหรือ”

น้องชาย รสนิยมของเราสองคนเหมือนกัน ข้าก็ชอบหญิงที่มีความสามารถอย่างฮว๋ายชิ่ง อ้อ นอกจากนี้ ข้ายังชอบหญิงที่โง่เขลาอย่างหลินอัน ชอบหญิงที่ตะกละอย่างไฉ่เวย ชอบจอมยุทธ์หญิงอย่างหลี่เมี่ยวเจิน และยังชอบหญิงที่น่าสงสารอย่างจงหลี…

“ความจริงแล้วข้ามีความลังเลมาโดยตลอด” สวี่ซินเนียนกล่าวอย่างจนใจ “หวางเจินเหวินเป็นศัตรูทางการเมืองของเว่ยเยวียน ไม่จำเป็นต้องยกแม่นางซือมู่แต่งงานกับข้า และข้า ก็ยังไม่ได้ตัดสินใจจะแต่งงานกับนาง”

สวี่ชีอันกะล่อนอีกแล้ว เขากล่าวอย่างไตร่ตรอง “ปัญหานี้ พวกเราเคยคุยกันไม่ใช่แค่ครั้งเดียวแล้ว ระหว่างเจ้ากับข้า จำเป็นต้องแยกจากกัน

“เจ้าเดินทางไปยังหนทางที่สะดวกสบายของเจ้า ข้าเดินทางไปยังหนทางที่ยากลำบากของข้า เหอะ เว่ยกงไม่ใช่ทางที่ยากลำบากหรือ ข้าทราบความกังวลของเจ้า เจ้าคงกลัวจะถูกหวางเจินเหวินบังคับให้เป็นศัตรูกับข้าจนพี่น้องต้องต่อสู้กันใช่หรือไม่ เกี่ยวกับประเด็นนี้ พี่ใหญ่อยากบอกเจ้าวิธีหนึ่ง”

สวี่ซินเหนียนขอคำปรึกษาอย่างนอบน้อม “พี่ใหญ่ได้โปรดบอกมาเถอะ”

สวี่ชีอันกล่าวอย่างสงบนิ่ง “ดูแลภรรยาของเจ้าให้ดี”

“พี่ใหญ่ นี่หมายความว่าอย่างไรหรือ”

“เจ้าแต่งงานกับบุตรสาวคนเขา เทียบเท่ากับการมีตัวประกัน นอกเสียจากหวางเจินเหวินไม่สนใจคุณหนูใหญ่ผู้นี้ ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์ของพวกเจ้าจะแย่แค่ไหน เขาก็คงไม่ไร้น้ำใจจริงๆ เข้าใจระดับนี้ได้ เจ้าก็จะสามารถอยู่ยงคงกระพัน อีกอย่าง เจ้าไม่จำเป็นต้องพึ่งพาตระกูลหวางไปเสียหมด นี่เพียงแค่ให้ตระกูลสวี่มีหนทางเพิ่มขึ้นเท่านั้น”

“มีเหตุผล” สวี่ซินเหนียนพยักหน้าช้าๆ

เมื่อเห็นว่าเขาดูเหมือนจะเข้าใจ สวี่ชีอันก็ยิ้ม มองไปข้างหน้า ในใจนึกถึงนางสนมที่ตนเองเลี้ยงไว้ด้านนอกผู้นั้น

ไม่ได้เจอหลายวัน นึกไม่ถึงว่าข้าจะเลี้ยงนาง…เสน่ห์ของสาวงามอันดับหนึ่งในต้าฟ่ง ดูเหมือนจะแปลกไปเสียหน่อย ไม่ได้มีเสน่ห์เหมือนลั่วอวี้เหิงเช่นนั้น กลับแอบดูมีอิทธิพลที่มองไม่เห็น

อยากรู้จริงๆ ว่านางมาจากที่ใดกันแน่

อืม ก่อนอื่นนำนางสนมไปฝากไว้กับสหายรู้ใจก่อน รอเรื่องของอ๋องสยบแดนเหนือคลี่คลาย ค่อยไปเจอนาง เวลานี้ จำเป็นต้องระมัดระวัง

จงหลีก็ปฏิเสธจะไปรับนางมาพักที่สำนักโหราจารย์ หลายวันนี้ข้าต้องออกไปข้างนอกบ่อยๆ อย่างแน่นอน พานางไปด้วยคงไม่สะดวก

หลินอันและฮว๋ายชิงก็ยังไม่ไปพบ ช่วงเวลานี้ข้าคงไม่เข้าวังแน่ เรื่องนี้เกี่ยวกับราชวงศ์ ข้าก็ถือว่ามีส่วนร่วม จึงยังไม่อยากพบพวกนาง

ระหว่างความคิดหลายอย่างผุดขึ้นมาอย่างไม่ขาดสาย ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงสวี่เอ้อร์หลางกล่าวขึ้นอย่างสับสน “พี่ใหญ่ ยอมให้ทุกอย่างมันหมายความว่าเยี่ยงไรหรือ”

ตอนแรกเขาคิดว่าพี่ใหญ่จอมหยาบคายที่ไร้วัฒนธรรมจะใช้คำผิด แต่ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกมีบางอย่างผิดปกติ ดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถาม

สวี่ชีอันคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบ “ชายคนหนึ่งจะชอบหญิงสาวคนหนึ่งหรือไม่ ก็ดูที่เขายอมให้ทุกอย่างหรือไม่”

ยังมีวิธีแบบนี้ด้วยหรือ สวี่ฉือจิ้วกล่าว “เช่นนั้นหญิงสาวจะชอบชายคนหนึ่งหรือไม่เล่า ทำเยี่ยงไรจึงจะมองออก”

หลังจากที่พี่ใหญ่ทะลวงถึงเขตพลังปราณ เขายังคงโชคดีไม่หยุด มักจะได้คบกับสาวงามอยู่เสมอ ในด้านรักๆ ใคร่ๆ นี้ สวี่ฉือจิ้วยังคงเลื่อมใสพี่ใหญ่อย่างมาก

เจ้าอยากจะถามว่า หวางซือมู่ชอบเจ้าด้วยใจจริงใช่หรือไม่ สวี่ชีอันครุ่นคิดอยู่นาน กล่าว “ก็แค่ดูว่าหญิงคนนั้น ยอมตอบแทนแม้เป็นเรื่องเล็กน้อยหรือไม่”

ที่พี่ใหญ่กล่าวมันคือความหมายบ้าอะไร…สวี่ฉือจิ้วไม่สามารถเข้าใจมันได้ พยายามทบทวนอยู่ตลอดทาง

“พี่ใหญ่…”

ครั้นเข้ามาภายในจวน เดินมาถึงในห้องโถง ก็ได้จังหวะรับประทานอาหารเย็นพอดี

สวี่หลิงอินเมื่อเห็นพี่ใหญ่ที่ไม่ได้พบกันมานานกลับมา แม้แต่อาหารก็ไม่กินแล้ว รีบซอยเท้าสั้นๆ เข้าไปหาอย่างประหลาดใจ จากนั้นกระแทกศีรษะเข้าไปในอ้อมแขนของสวี่ชีอัน

ร่างกายของสวี่ชีอันส่ายไปมา ค่อนข้างตกตะลึง

ไม่ได้เจอกันครึ่งเดือน พลังของเสี่ยวโต้วติงเพิ่มขึ้นถึงระดับนี้แล้วหรือ?

“ช่วงนี้ได้ทำให้ท่านแม่โกรธหรือไม่” สวี่ชีอันอุ้มเสี่ยวโต้วติงไว้ในอ้อมแขน และเดินไปยังห้องโถงด้านใน

“อ๋า? ข้ามักจะทำให้ท่านแม่โกรธหรือ” สวี่หลิงอินถามกลับด้วยความประหลาดใจ

เห็นได้ชัดว่าเป็นเด็กดีเสียขนาดนี้ ท่านแม่เอาแต่กล่าวว่าไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นในชีวิตถึงได้ให้กำเนิดสวี่หลิงอิน

เห็นได้ชัดว่าตนเองแตกต่างจากพี่ใหญ่ พี่รอง และน้องสาว

จนถึงตอนนี้ สวี่หลิงอินก็ยังแยกไม่ออกถึงความแตกต่างระหว่างลูกพี่ลูกน้องและพี่ชายแท้ๆ และคิดเสมอว่าพี่ใหญ่ก็เกิดมาจากมารดาของนาง

สวี่ชีอันลูบไปที่ศีรษะของนาง ไม่ได้กล่าวอะไร

ดูเหมือนว่าวิธีการบำเพ็ญของฝ่ายพลังกู่ ความจริงแล้วแค่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งเท่านั้น ไม่สามารถให้ผลลัพธ์ที่เพิ่มขึ้นของความฉลาดทางสติปัญญาได้ มิฉะนั้นฃจงหลีก็คงไม่เป็นเหมือนอย่างตอนนี้

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขามองไปทางหญิงสาวผิวคล้ำชาวซินเจียงตอนใต้ที่ปลายผมหยิก ดวงตาราวกับสีฟ้าน้ำทะเล สีผิวสีน้ำตาลอ่อน และมีใบหน้าที่ประณีต

“ข้ารู้สึกว่าเจ้าเปลี่ยนไป” หญิงสาวผิวคล้ำตัวเล็กมองมาที่เขาอย่างพินิจ

“ตรงไหนที่เปลี่ยนไปหรือ” สวี่ชีอันถามกลับ

ลี่น่าคิดอยู่ครู่หนึ่ง ส่ายศีรษะ บอกไม่ถูก แค่รู้สึกว่าช่วงที่เขาเดิน การประสานงานของแขนขากับร่างกายต่างก็มีวิธีการทำงานของกล้ามเนื้อที่ดีขึ้น

“พี่ใหญ่กลับมาแล้วหรือ”

คนที่ดีใจที่สุดแน่นอนว่าคือสวี่หลิงเยวี่ย ใบหน้าเมล็ดแตงโมที่งดงามและประณีตปรากฏรอยยิ้ม รีบยกอาหารมาให้สวี่ชีอันด้วยตนเอง

สวี่ฉือจิ้วรออยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าน้องสาวไม่สนใจตนเอง จึงลงมือจัดการด้วยตนเอง

“กลับมาก็ดีแล้ว”

อารองสวี่พินิจหลานชายอยู่ตลอด เห็นว่าเขาปลอดภัยดี สมบัติสามประการกลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ รอยยิ้มพลันปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่หยาบกร้านในทันใด

“อืม!”

อาสะใภ้ที่หยิ่งผยองพยักหน้าเห็นด้วย จากนั้นจึงกล่าว “หลิงอิน รีบลงมา อย่ารบกวนพี่ใหญ่เจ้ากินข้าว”

วันนี้อาสะใภ้สวมเสื้อถักตัวเล็กสีเรียบ ปักด้วยดอกไห่ถังที่อวบอ้วน สวยงามและอวบอิ่มเหมือนอย่างนาง ขับเน้นสัดส่วนให้เห็นถึงเอวที่เพรียวบางและหน้าอกที่อวบอิ่ม

ท่อนล่างเป็นกระโปรงหรูฉวินสีเหลืองห่าน นี่ทำให้นางดูสง่างามและฉลาดขึ้นเล็กน้อย

หลังอาหารเย็น สวี่ชีอันถูกเชิญให้ไปยังห้องตำราของสวี่เอ้อร์หลาง

ช่วงที่ไม่รู้เนื้อรู้ตัว ขณะที่ทั้งสองพูดคุยกันถึงเรื่องสำคัญก็เริ่มออกห่างจากอารองสวี่แล้ว ต่างจากตอนแรกที่เหล่าชายสมชายชาตรีคุยกัน เพื่อจัดการกับรองเจ้ากรมโจวเสี่ยนผิงจากกรมการคลัง

พี่น้องคิดว่าแบบนี้ก็ดียิ่งนัก เดิมทีอารองสวี่ก็ไม่ชำนาญการวางอุบาย ยิ่งเขารู้เยอะมากเท่าใด ก็ยิ่งเป็นทุกข์มากเท่านั้น

เพราะในฐานะผู้อาวุโส เขาย่อมครุ่นคิดว่าจะแก้ปัญหาเยี่ยงไร แทนที่จะนั่งรอให้หลานชายและบุตรชายแก้ปัญหา

บังลมฝนให้ลูกหลาน ถือว่าเป็นสัญชาตญาณของผู้อาวุโสท่านหนึ่ง ในทางตรงกันข้าม อารองสวี่ไม่ชำนาญเรื่องพวกนี้เอาเสียเลย รังแต่จะเพิ่มปัญหาเท่านั้น

………………………………………………………

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Status: Ongoing
ตั้งแต่ข้ามเวลามาเขาตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในสังคมที่ไร้ซึ่งคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ นี้ แต่ทำไมเขาถึงต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องการเมือง และอำนาจลึกลับที่อยู่เบื้องหลังราชวงศ์ต้าฟ่งแห่งนี้ด้วย!Top 5 นิยายยอดนิยมในเว็บจีนต่อเนื่อง 10 เดือน! นิยายแปลจีน สืบสวน ไขคดี ใช้ความรู้ยุคปัจจุบันผสมกับแอ็คชั่นกำลังภายในสวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท