ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง – บทที่ 394 รอคอยบุรุษผู้หนึ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 394 รอคอยบุรุษผู้หนึ่ง

บทที่ 394 รอคอยบุรุษผู้หนึ่ง

จักรพรรดิหยวนจิ่งเก็บกระดาษและตรัสกำชับ “แจ้งเว่ยเยวียนให้เขาเข้ามาพบข้าในวัง…ไม่ ไม่ต้องแล้ว”

จักรพรรดิชราผู้ที่เพิ่งผ่านชีวิต ‘ขาขึ้นขาลง’ ลังเลอยู่นานก่อนจะตรัส “แจ้งสายสืบของไหวอ๋อง มุ่งหน้าไปที่เจี้ยนโจวทันที ไปช่วงชิงดอกบัวเก้าสี ร่วมมือกับนักพรตนิกายปฐพีได้”

เขานิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะกล่าวเสริม “พกอาวุธเวทมนตร์ส่วนหนึ่งไปให้ได้มากที่สุด”

ขันทีอาวุโสโค้งคำนับและถอยหลังไป

เจี้ยนโจวตั้งอยู่ที่เขตตะวันตกเฉียงเหนือของต้าฟ่ง ตะวันตกอยู่ติดกับเหลยโจว ทางเหนือเชื่อมกับเจียงโจว ขณะเดียวกันเพราะมีทางลำเลียงทางน้ำในเจี้ยนโจวจึงบานสะพรั่งด้วยมวลบุปผาประดุจผ้าดิ้นมากสีสัน

ทว่าสิ่งที่ถูกพูดถึงกันมากที่สุดในเจี้ยนโจวและเป็น วัฒนธรรมท้องที่อันเป็นเอกลักษณ์ของเขาก็คือ ‘กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์’

แนวคิดต่อกลุ่มยุทธภพของราชวงศ์แต่ละยุคสมัยล้วนเป็นการประกาศนิรโทษกรรมหรือกดขี่เสียส่วนใหญ่ ผู้ที่เชื่อฟังก็นิรโทษกรรม ผู้ที่ไม่เชื่อฟังก็กดขี่ไม่ก็กวาดล้าง ด้วยเหตุนี้จึงรักษาการปกครองของราชวงศ์และรักษาความสงบสุขของสังคมต่อไปได้

ทว่าทุกเรื่องมักมีข้อยกเว้นเสมอ

กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์แห่งเจี้ยนโจวเป็นกลุ่มในยุทธภพที่ทำบางอย่างได้ระดับหนึ่งโดยไม่หวาดกลัวราชสำนัก

นับแต่โบราณกาล เจี้ยนโจวมีวัฒนธรรมศิลปะการต่อสู้อันลึกซึ้ง มีกลุ่มที่ยังคงยืนปักหลักอยู่ ในนั้นมี ‘ร้านเจ้าเก่าอายุร้อยปี’ ตั้งตระหง่านไม่สั่นคลอนอยู่มากมาย กลุ่มเหล่านี้อยู่ใต้การควบคุมของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์

ทว่ากลุ่มเหล่านี้ไม่พอจะประคองสถานะปัจจุบันของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ หากจะสืบเรื่องราวถึงต้นตอ ต้องไปหาจากในหนังสือประวัติศาสตร์

ช่วงสุดท้ายของต้าโจว บ้านเมืองลุกเป็นไฟ กลุ่มวีรชนในใต้หล้าจับอาวุธขึ้นสู้พยายามโค่นล้มเผด็จการ ก่อนที่จักรพรรดิแห่งต้าฟ่งจะรุ่งเรืองก็เป็นเพียงหนึ่งในกบฏนับไม่ถ้วน

สร้างสัมพันธ์กับทหารม้านับร้อย บุกยึดอำเภอเล็กๆ เป็นหลัก จากนั้นก็รวบรวมกำลังสรรพาวุธ

ในเวลานั้นมีกบฏหลายพวกเป็นไฟคุกรุ่นได้ที่อยู่ก่อนแล้ว มีกำลังทหารแกร่งกล้าที่ยึดครองแผ่นดินอยู่ฝ่ายหนึ่ง หนึ่งในนั้นก็มาจากเจี้ยนโจว

ผู้นำของกลุ่มกบฏเจี้ยนโจวคือทหารขั้นสามที่เกิดขึ้นในสมัยศึกสงคราม รบทัพจับศึกทั่วสารทิศโดยไม่เคยพ่ายแพ้สักครั้ง

ต่อมาจักรพรรดิผู้สถาปนาต้าฟ่งถือกำเนิดขึ้นกลายเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญที่โค่นล้มเผด็จการ เมื่อต้าโจวล่มสลาย กองกำลังทหารแต่ละฝ่ายรบเพื่อช่วงชิงอำนาจ ราชวงศ์เดิมก็ถูกโค่นล้มไปแล้ว เพื่อไม่ให้เกิดการนองเลือดอีก ทหารขั้นสามของเจี้ยนโจวผู้นั้นจึงท้ารบกับจักรพรรดิเกาจู่ของต้าฟ่ง

ต่างใช้กองทัพเป็นเบี้ยเพื่อทำสงครามอารมณ์ระหว่างทหาร

ผลสรุปไม่ต้องพูดให้มากมาย ทหารขั้นสามจากเจี้ยนโจวผู้นั้นพ่ายแพ้ เขาส่งมอบกองทัพให้จักรพรรดิเกาจู่ของต้าฟ่ง แล้วพากลับไปเจี้ยนโจวเพียงผู้ใต้บังคับบัญชาหลักและสถาปนากลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ขึ้น

ทหารขั้นสามผู้นั้นสาบสูญไปนับร้อยปี ทว่ากลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ป่าวประกาศว่าเขายังมีชีวิตอยู่มาโดยตลอด นี่เป็นความเชื่อมั่นของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์อย่างแท้จริง

“ที่แท้ตัวตนเดิมของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ก็คือกองกำลังหารเชิดชูคุณธรรมนี่เอง…”

โต๊ะภายใต้แสงเทียน สวี่ชีอันปิดสำนวนคดีที่นำมาจากคลังเอกสารของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล เขาคิดว่าในนี้มีช่องโหว่ที่มองข้ามไปไม่ได้

“ตามบันทึกของสำนวนคดี ผู้ก่อตั้งกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ยอดฝีมือขั้นสามผู้นั้นพ่ายแพ้ให้กับจักรพรรดิเกาจู่ของต้าฟ่งในคราแรก ทว่าจักรพรรดิเกาจู่ไปสู่ภพภูมิที่ดีตั้งนานแล้ว เขาจะยังมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร”

ยอดฝีมือที่มีพลังแกร่งกว่าตายไปแล้ว แต่ผู้ที่พลังต่ำกว่ายังมีชีวิตอยู่ ช่างไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย ทุกคนเป็นทหารล้วนหยาบโลนเหมือนกันหมด จะเอาอะไรไปอยู่ถึงร้อยปีได้

ด้วยความคิดนี้จู่ๆ เขาก็ค้นพบรายละเอียดที่เคยมองข้ามไป ปีนั้นจักรพรรดิอู่จงกำจัดขุนนางชั่วข้างกายเนื่องจากชิงราชบัลลังก์ เป็นจอมฉวยโอกาสวิทยายุทธ์ขั้นสูงสุด

ทว่า ร้อยปีหลังจากนั้นก็จากไปด้วยโรคชรา…

“ดูจากสถานการณ์ของจักรพรรดิเกาจู่และจักรพรรดิอู่จงสองจักรพรรดิ เหมือนกับทหารจะอายุไม่ยืนงั้นหรือ ทว่าหากเป็นเช่นนี้ คนผู้นั้นจากเจี้ยนโจวจะมีชีวิตอยู่มาหลายร้อยปีได้อย่างไร กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์กำลังวางมาดใหญ่โตหลอกลวงผู้คนในใต้หล้างั้นหรือ เป็นไปไม่ได้ หากเป็นคำลวง อย่างมากก็แค่หลอกคนธรรมดาได้ แต่มิอาจตบตาราชสำนักได้ ทว่าการที่ราชสำนักยอมรับการมีอยู่ของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ นั่นก็หมายถึงมีความหวาดกลัวอยู่บ้าง ผู้นำกองกำลังทหารในอดีตผู้นั้นน่าจะยังมีชีวิตอยู่จริงๆ…เช่นนั้นปัญหาก็อยู่ที่ราชวงศ์ต้าฟ่งงั้นหรือ มีเหตุผลอะไรจึงทำให้ชาวยุทธจักรของราชวงศ์ต้าฟ่งมิอาจมีอายุยืนได้”

สวี่ชีอันคิดไม่ออกจึงหันหน้าไปถามจงหลีที่นั่งขัดสมาธิบนเบาะนุ่ม “ศิษย์พี่จงจู่ๆ ข้าก็มีคำถาม”

หัวที่กระเซอะกระเซิงของจงหลีหันกลับมา ดวงตาที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้เส้นผมยุ่งเหยิงจ้องมองเขา

“จักรพรรดิผู้สถาปนาต้าฟ่งตายอย่างไร”

“จากไปด้วยโรคชรา”

“…” สวี่ชีอันสะอึกไปพักหนึ่งก่อนจะรีบกล่าวเสริม “แต่อายุขัยของทหารขั้นสูงสุดจะเหมือนคนธรรมดาได้อย่างไร”

“ข้า ข้าไม่ใช่ทหารจึงไม่รู้หรอก…” จงหลีเอ่ยเสียงเบา นางรู้สึกผิดที่ตนมิอาจคลายข้อสงสัยแทนสวี่ชีอันได้

งั้นก็ช่างเถอะ ก็ไม่ใช่เรื่องด่วนที่ต้องได้คำตอบเสียด้วยซ้ำ…สวี่ชีอันเป่าเทียน ถอดรองเท้าและปีนขึ้นเตียง ยิ้มพลางเอ่ยหยอกล้อ

“มานอนด้วยกันไหม”

ศิษย์พี่จงยังคงเป็นหญิงสาวพรหมจารี จึงไม่โต้ตอบเขา

เจี้ยนโจว

บันทึกทางภูมิศาสตร์ของจิ่วโจว เจี้ยนโจวมีภูเขา ในภูเขามีสัตว์ หัวเป็นคนตัวเป็นสัตว์ มีหกหาง กลืนดวงจันทร์ได้ มีนามว่า ‘เฉวี่ยนหรง’

ภูเขาเฉวี่ยนหรงเป็นกองบัญชาการของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์

หัตถ์รื่นรมย์หรงหรง ตามด้วยท่านอาจารย์ ยังมีผู้ดูแลหอนั่งรถม้ามายังภูเขาเฉวี่ยนหรง ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ในใจของชาวกลุ่มยุทธภพในเจี้ยนโจว

ผู้ดูแลหอหมื่นบุปผาพายอดฝีมือหลายสิบคนที่ถูกเชื้อเชิญมา

หอหมื่นบุปผามีแต่หญิงสาวเสียส่วนใหญ่ แต่ละนางงามดุจบุปฝานวลจันทร์ อ่อนช้อยงดงาม ผู้ที่มีสติปัญญาดีจะอยู่เพื่อถ่ายทอดวิชาให้ลูกศิษย์ ผู้ที่มีสติปัญญาด้อยจะออกเรือนไป

ร้อยปีมานี้พรรคที่ถูกจัดเป็นอันดับต้นๆ ในเจี้ยนโจวส่วนใหญ่ล้วนมีความเกี่ยวดองกับหอหมื่นบุปผาไม่มากก็น้อย

“ครั้งนี้ท่านอาจารย์พาเจ้าออกมาเจอโลกกว้าง จำไว้ว่าอย่าโอ้อวด เป็นเพียงผู้ชมเท่านั้น” หญิงงามกำชับศิษย์

แม้จะอยู่ท่ามกลางหมู่สาวงาม หรงหรงก็โดดเด่นเหนือใครอื่น พยักหน้าก่อนที่จะเอ่ยอย่างไม่พอใจเล็กน้อย “ท่านอาจารย์ ข้าขั้นหกแล้วนะ”

กระดูกเหล็กผิวทองแดงขั้นหกนับว่าเป็นเสาเอกในยุทธภพ เดินไปไหนก็ได้รับความเคารพจากผู้คน มีแค่แดนศักดิ์สิทธิ์ของวิทยายุทธเช่นเจี้ยนโจวถึงดูธรรมดาและไม่โดดเด่น

สาวงามส่ายหน้า “ขั้นหกยังไม่พอ ต่อจากนี้เกรงว่าจะมีเพียงขั้นห้าเท่านั้นที่จะเข้าร่วมได้ ต่ำกว่าขั้นห้าเกรงว่าคงเป็นบริวารรถม้าที่ส่งไปตายทั้งสิ้น”

หัตถ์รื่นรมย์หรงหรงในใจเย็นเฉียบแล้วเอ่ยเสียงเบา “ท่านอาจารย์ เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่”

ระหว่างสนทนารถม้าก็หยุดลงที่ภูเขาเฉวี่ยนหรง เหล่าสตรีของหอหมื่นบุปผากระโดดลงจากรถ เงยหน้าทอดมองไปไกล

ภูเขาเฉวี่ยนหรงรายล้อมไปด้วยเมฆหมอก ภูเขาสูงชันเสียดฟ้า หินผาซ้อนแปลกตา ผืนป่าเขียวชอุ่ม ต้นไม้นับร้อยปีสูงต่ำคละเคล้า พรางตาแต่ละตึกและลานอาศัย

ทะลุผ่านแผ่นหินที่ทำจากหินหยกขาวตรงตีนเขา หรงหรงยกกระโปรงขึ้น ก้าวขึ้นบันไดทีละขั้น ก็ได้ยินท่านอาจารย์เอ่ยอย่างแผ่วเบา “เจ้ารู้จักนิกายปฐพีสินะ”

หรงหรงพยักหน้า

ลัทธิเต๋าสามนิกายในยุทธภพคือ ‘ฝ่ายเทพเซียน’ มีอิทธิพลสูงสุดในจิ่วโจว ผู้นำเต๋าสามนิกายที่แม้แต่ราชสำนักก็ต้องหวาดกลัวอยู่บ้าง

“เมื่อฟังผู้ดูแลหอกล่าว นิกายปฐพีมีนักพรตเพาะเลี้ยงสมบัติล้ำค่าที่เรียกว่าดอกบัวเก้าสี ไม่นานมานี้สมบัติล้ำค่างอกงาม แสงตะวันอร่ามทะยานฟ้า เฉาเหมิงจู่ไปขอรากบัวบ้านเขาแต่ถูกปฏิเสธ จึงทะเลาะกับนักพรตนิกายปฐพี จากนั้นกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ก็เรียกชุมนุมกลุ่มใหญ่ทุกกลุ่ม และตั้งใจจะล้อมปราบนักพรตผู้นั้น”

หรงหรงตกตะลึง “เฉาเหมิงจู่คิดจะทำอะไร แม้กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์จะรุ่งเรืองมาเป็นพันปี ก็มิอาจล่วงเกินลัทธิเต๋านิกายปฐพีอย่างแน่นอน”

สาวงามพยักหน้าอย่างร้อนรุ่มกลุ้มใจสักพักก็ส่ายหน้า “เฉาเหมิงจู่สติปัญญาดีมากกลยุทธ์ สายตาไม่เหมือนผู้ใด เขากล้าทำเช่นนี้ต้องมีเหตุผลเป็นแน่ แค่พวกเราไม่รู้เท่านั้น”

บัดนี้หรงหรงได้ยินเสียงอันนุ่มนวลและเยือกเย็นของผู้ดูแลหอที่นำทางอยู่ข้างหน้า “เงียบเสียงด้วย”

สองครูศิษย์ไม่เอื้อนเอ่ยอีก หรงหรงเงยหน้าขึ้นมองเบื้องหลังของผู้ดูแลหอ

เสื้อผ้าของหญิงสาวในหอหมื่นบุปผาค่อนข้างโปร่งกว้าง ยิ่งเป็นฤดูร้อนดั่งไฟแผดเผาก็ค่อนข้างเย็นสบาย จากมุมมองของหรงหรงตรงนี้มองเห็นบั้นท้ายงอนอันอวบอั๋นกลมกลึงของผู้ดูแลหอได้อย่างชัดเจน ด้านบนเป็นสายคาดผูกเอวเล็กอรชร ส่วนโค้งด้านหลังที่งามช้อยรื่นตา

ผู้ดูแลหอปิดบังใบหน้าด้วยผ้าโปร่งตลอดปี ด้วยคู่ดวงตาดุจนางจิ้งจอกพร้อมร่างที่โค้งเว้า จึงถูกสังคมภายนอกยกย่องว่าเป็น ‘คณิกา’ แห่งหอหมื่นบุปผา เสน่ห์ที่ยากจะพบพาน

ไม่นานนักพวกเขาก็มาถึงยอดเขา เข้าสู่ลานใหญ่จากการนำของผู้ดูแลในพันธมิตร ผู้ดูแลหอหมื่นบุปผาทะลุผ่านลานเดินเข้าไปยังโถงประชุม ส่วนคนที่เหลือรออยู่นอกลาน

หรงหรงทำตัวค้อมต่ำและมองไปรอบๆ ก็เห็นใบหน้าของขุนนางชั้นโหวที่คุ้นเคยมากมายยืนอยู่ในลานใหญ่

กลุ่มคนที่สะพายดาบเป็นศิษย์ของสำนักโม่ คุณชายหลิ่ว และท่านอาจารย์ของเขาก็อยู่ในนั้นด้วย

ผู้ที่สวมชุดสีกรมเป็นคนของกลุ่มหมัดเทพเจ้า คนของกลุ่มนี้ออกหมัดอย่างมีรูปแบบ ช่วงนี้รับศิษย์หญิงที่ชอบกระพือข่าวจำนวนมาก

ผู้ที่สวมเสื้อผ้าอาภรณ์สีแดงสลับทองคือสำนักเฉียนจี ชำนาญการใช้อาวุธลับ ยาพิษ และกลอุบายที่ยากจะรับมือ

ผู้ที่อยู่ในชุดดำคลุมไปทั่วทั้งร่างคือสำนักมีดบิน มีดบินเป็นทั้งอาวุธลับและไม่ใช่อาวุธลับ ว่ากันว่าเจ้าสำนักมีดบินควบคุมมีดบินได้ถึงหนึ่งร้อยแปดด้าม

ยามที่โจมตีก็องอาจผ่าเผยและล้ำเลิศเหลือล้น

หรงหรงถอนสายตากลับอย่างเงียบๆ กลุ่มยุทธภพที่มามีมากถึงสิบแปดกลุ่ม ผู้ที่ตอบรับคำเชื้อเชิญของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์และเดินทางมาชุมนุมได้ล้วนเป็นยอดฝีมือ ไม่มีพวกลิ่วล้อแน่นอน

เหมิงจู่ยึดติดอะไรกับดอกบัวเก้าสีนักนะ…หรงหรงแอบคิดในใจ

เวลาผ่านไปเรื่อยๆ หลังจากหนึ่งชั่วยามกว่า ผู้ดูแลหอหมื่นบุปผาเริ่มออกมาก่อน จากนั้นก็เป็นเจ้าสำนักและหัวหน้าคนอื่นๆ

หรงหรงมองผ่านประตูโถงประชุมที่เปิดอ้า เห็นชายวัยกลางคนรูปร่างสูงกำยำคนหนึ่งนั่งบนเก้าอี้ตัวสูงอยู่ภายในห้อง สวมชุดคลุมสีม่วงลวดลายเมฆที่ซ้อนเป็นชั้นปักด้วยด้ายทอง

นางไม่กล้ามองหน้าคนเหล่านั้น จึงก้มหน้าลงอย่างรวดเร็ว ตามหลังผู้ดูแลหอกับศิษย์ร่วมสำนักออกจากสำนักไป

เมื่อมาถึงที่พักในหอหมื่นบุปผา ผู้ดูแลหอเรียกสาวงามรวมถึงผู้อาวุโสเข้าไปหารือในห้อง

เมื่อถึงยามตะวันรอนสาวงามกลับไป หรงหรงก็ลากท่านอาจารย์กลับห้องในทันที ปิดประตูหน้าต่างและซักถาม “ท่านอาจารย์ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”

สาวงามลังเลอยู่นานก่อนจะเอ่ยอย่างช้าๆ

“เรื่องราวกระจ่างแจ้งแล้ว นักพรตนิกายปฐพีกลุ่มนั้นที่ดักซุ่มอยู่ที่เจี้ยนโจวคือคนทรยศของนิกายปฐพี พวกเขาแอบเอาดอกบัวเก้าสีไป ซ่อนตัวอยู่ใน ‘การคุ้มครอง’ ของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ หลบเลี่ยงการตามล่าของนิกายปฐพี ไม่นานมานี้สมบัติล้ำค่างอกงามและปรากฏภาพนิมิต ผู้นำเต๋านิกายปฐพีไล่ตามมา แต่เพราะหวาดกลัวกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ จึงบรรลุข้อตกลงกับเฉาเหมิงจู่ สองฝ่ายร่วมกันล้อมปราบคนทรยศของนิกายปฐพี แล้วจ่ายค่าตอบแทนเป็นรากบัว เฉาเหมิงจู่รับปากผู้ดูแลหอพวกเขาว่าในอนาคตจะเพาะเลี้ยงดอกบัวเก้าสีจนงอกงาม หากเป็นผู้เข้าร่วมก็แบ่งเมล็ดบัวได้ทั้งสิ้น เหอๆ เจ้าอาจจะไม่รู้ว่าเมล็ดบัวนี่เป็นสมบัติล้ำค่าที่หายาก สามารถบันดาลได้ทุกสิ่ง แม้แต่อาวุธธรรมดาก็กลายเป็นศาสตราวิญญาณได้ แน่นอนว่าทุกหกสิบปีเมล็ดบัวจะงอกงามครั้งเดียว วงจรไร้สิ้นสุด หัวหน้าเฉายังรับปากผลประโยชน์อื่นอีกด้วย”

บันดาลได้ทุกสิ่ง…หรงหรงเม้มปาก สายตาเป็นประกายละโมบ

ของล้ำค่าเช่นนี้ใครๆ ต่างก็ปรารถนาและเฝ้าละโมบ

นางขมวดคิ้วในทันใด “นี่ หากเป็นเช่นนี้ หัวหน้าเฉาจะเรียกพวกเราชุมนุมทำไม ด้วยอิทธิพลของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ภูเขาเฉวี่ยนหรง หากร่วมมือกับนิกายปฐพีก็กวาดล้างนักพรตทรยศพวกนั้นได้ไม่ยาก”

สาวงามพยักหน้าอย่างเห็นชอบ “นักพรตทรยศที่หักหลังสำนักกลุ่มนั้นย่อมไม่มีอะไรให้กังวล เพียงคว่ำมือก็ทลายสิ้น สิ่งที่เฉาเหมิงจู่ต้องระวังจริงๆ ควรจะเป็นคำพูดไม่น่าเชื่อถือของนิกายปฐพีเสียมากกว่า”

หรงหรงพลันกระจ่างแจ้ง

อีกด้านหนึ่ง ในห้องที่สำนักโม่หยุดพักเดินทาง

คุณชายหลิ่วเอ่ยอย่างตระหนก “เมล็ดบัวนั่นวิเศษเช่นนี้เลยหรือ”

ท่านอาจารย์ของคุณชายหลิ่วใช้ผ้าเช็ดดาบยาวเล่มโปรดพร้อมพยักหน้าเอ่ย

“แน่นอนว่าของล้ำค่าของลัทธิเต๋านิกายปฐพี ไม่ว่าจะวิเศษอย่างไรก็ไม่โอ้อวด หากอาจารย์ได้เมล็ดบัวมาก็จะใช้มันกับดาบเล่มนี้”

สายตาของคุณชายหลิ่วตกไปอยู่บนอาวุธเวทมนตร์ที่เคยเป็นของตนในทันใด กลืนน้ำลายและพยักหน้าอย่างแรง “เมล็ดบัวงอกงามนั่นก็เป็นเรื่องของหกสิบปีให้หลัง ท่านอาจารย์โปรดวางใจ ข้าจะรักษามันให้ดี ในวันหน้ามันจะเป็นศาสตราวุธแห่งยุคสืบทอดต่อเป็นรุ่นๆ ของพวกเรา”

ท่านอาจารย์ของคุณชายหลิ่วไม่ปฏิเสธ พยักหน้าเล็กน้อยพร้อมเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ฟังจากที่เจ้าสำนักกล่าว พลังของนักพรตที่ทรยศนิกายปฐพีไม่นับว่าแกร่ง ทว่าอาศัยเพียงเคราะห์ดีไม่ได้ ครั้งนี้เจ้าก็อย่าประสมโรงเชียว คอยดูศึกอยู่ด้านนอกเถิด”

คุณชายหลิ่วพยักหน้าอย่างแรง

สิบวันผ่านไปชั่วพริบตา ฝ่ายราชการส่วนท้องถิ่นของเจี้ยนโจวตกตะลึงเมื่อพบว่าเวลานี้มีคนจากยุทธภพมายังเจี้ยนโจวมากมาย

พวกเขารวมตัวกันที่โรงเตี๊ยม ภัตตาคาร และหอนางโลม กระจายข่าวที่เจี้ยนโจวมีของล้ำค่าออกประจักษ์สู่โลกอย่างคะนองปาก

ทำให้ข้าหลวงเจี้ยนโจวเพิ่งจะตระหนักถึงความร้ายแรงของเหตุการณ์ สิ่งที่ฝ่ายราชการรู้สึกเอือมระอาที่สุดก็คือเสียงเป่าปากร้องเรียกของคนกลุ่มจอมยุทธ์ ซึ่งทำให้เกิดเรื่องยุ่งยากได้ง่าย

จึงระดมกำลังทหารในทันที เพิ่มกำลังการป้องกันรอรับคำสั่งอยู่นอกเมืองตลอดเวลา

จากนั้นส่งคนไปสืบข่าวก็รู้ที่มาของสมบัติล้ำค่าที่ออกประจักษ์โลกได้อย่างง่ายดาย อยู่ที่บ้านบนหุบเขาในชานเมืองเจี้ยนโจว

ฝ่ายราชการเจี้ยนโจวเหมือนยกภูเขาออกจากอก ตราบใดที่ไม่เกิดการตะลุมบอนขึ้นภายในเมือง คนในยุทธภพตีกันเอาเป็นเอาตาย พวกเขาก็ขี้คร้านจะไปใส่ใจมาก

ในคฤหาสน์บนหุบเขา นักบวชเต๋าจินเหลียนยืนอยู่บนตึกทอดมองทางบนเขาที่ไกลออกไป

ไป๋เหลียนผู้งดงามผิวขาวนวลขึ้นตึกและยืนเคียงบ่าเขา แล้วเอ่ยอย่างช่วยไม่ได้ “เมื่อครู่มีชาวยุทธภพคนหนึ่งตกอยู่ในทางวงกต เหล่าศิษย์จึงทำให้หมดสติและมัดด้วยเชือก หมู่นี้พวกเรามีเชลยศึกชาวยุทธภพทั้งหมดนับสิบคน คนเหล่านี้ไม่มีความผิดถึงตาย หากปลิดชีวิตพวกเขาจะเป็นการฆ่าคนไม่มีความผิด หากไม่ฆ่าและปล่อยไว้ก็เป็นภัยเช่นกัน จะเอาอย่างไรดี”

นักบวชเต๋าจินเหลียนทอดถอนใจ “นี่เฮยเหลียนจงใจปล่อยข่าวลือ…”

กลับกันหากเป็นอิทธิพลอื่นหรือกลุ่มอื่นพบเหตุการณ์เช่นนี้ ต้องเชือดไก่ให้ลิงดูอย่างไม่ลังเลแน่นอน สะเทือนสยบพวกคนชั่ว

ทว่านักบวชเต๋าจินเหลียนพวกเขาทำแบบนี้ไม่ได้ เพราะสิ่งที่นิกายปฐพีบำเพ็ญก็คือบุญกุศล มิอาจคร่าชีวิตโดยไร้เหตุ มิเช่นนั้นจะบังเกิดมารในใจและตกสู่เส้นทางมาร

“เฮยเหลียนรู้ถึงจุดนี้ดี จึงแพร่งพรายข่าวลือดึงดูดผู้คนจากยุทธภพมากมาย” ไป๋เหลียนยกมืออันขาวผ่องทัดผมที่หลังหู แล้วทอดถอนใจอย่างช่วยไม่ได้

นักบวชเต๋าจินเหลียนยิ้มอย่างสงบใจราวกับทุกสิ่งจะอยู่ใต้การควบคุมในไม่ช้า แล้วเอ่ยอย่างสบายๆ “ไม่ต้องรีบร้อน รอชายผู้หนึ่งก่อน หากเขามาแล้ว หัวมังกุท้ายมังกรเหล่านั้นก็จะถอยกันไปเกือบทั้งหมดเอง”

……………………………………………………

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Status: Ongoing
ตั้งแต่ข้ามเวลามาเขาตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในสังคมที่ไร้ซึ่งคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ นี้ แต่ทำไมเขาถึงต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องการเมือง และอำนาจลึกลับที่อยู่เบื้องหลังราชวงศ์ต้าฟ่งแห่งนี้ด้วย!Top 5 นิยายยอดนิยมในเว็บจีนต่อเนื่อง 10 เดือน! นิยายแปลจีน สืบสวน ไขคดี ใช้ความรู้ยุคปัจจุบันผสมกับแอ็คชั่นกำลังภายในสวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท