ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง – บทที่ 396 ผู้ถือครองชิ้นส่วนหนังสือปฐพี…สวีชีอัน (1)

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 396 ผู้ถือครองชิ้นส่วนหนังสือปฐพี…สวีชีอัน (1)

บทที่ 396 ผู้ถือครองชิ้นส่วนหนังสือปฐพี…สวีชีอัน (1)

เจี้ยนโจว คฤหาสน์เยวี่ยจือ

นักบวชเต๋าไป๋เหลียน อายุประมาณสี่สิบปี ผู้มีใบหน้าอิ่มเอิบรูปไข่ รูปร่างมีน้ำมีนวล สวมเสื้อคลุมนักบวชเต๋าสีดำ ผมสีดำเงาราวกับเส้นไหมถูกรวบขึ้นและเสียบด้วยปิ่นปักผมไม้มะเกลือ บุคลิกภาพแบบสบายๆ เผยให้เห็นความนุ่มนวลละมุนละไมของสตรีได้เป็นอย่างดี

นักบวชเต๋าไป๋เหลียนที่มักจะอ่อนโยน เป็นกันเอง และใบหน้าเปื้อนยิ้มอยู่เสมอ ตอนนี้กลับมีสีหน้าเคร่งขรึม พลางเดินวนไปวนมาอยู่บริเวณพื้นที่นอกคฤหาสน์อย่างเงียบๆ

ลูกศิษย์สิบกว่าคนเดินตามนางอยู่ด้านหลัง บ้างก็กำลังเก็บกวาดสิ่งกีดขวาง บ้างก็พยายามวางค่ายกลใหม่

เมื่อสักครู่ที่นี่เพิ่งถูกทิ้งระเบิดปืนใหญ่ กระสุนปืนใหญ่รุนแรงราวกับมีอุกกาบาต พุ่งชนจนกลายเป็นหลุมลึกขนาดใหญ่หลายหลุม และกระแทกพื้นหินอ่อนจนแตกร้าว ซ้ำยังทำลายสิ่งก่อสร้าง และต้นไม้ที่อยู่รอบๆ

โชคร้ายที่ลูกศิษย์พรรคฟ้าดินท่านหนึ่งถูกแรงกระแทกของระเบิดปืนใหญ่ จนไม่เหลือแม้กระทั่งเศษซากกระดูก และยังมีลูกศิษย์พรรคฟ้าดินอีกสองท่านที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส

หลังจากหนีออกจากนิกายปฐพี คนเหล่านี้นคือกลุ่มลูกศิษย์นิกายปฐพีที่ยังคงมีสติสัมปชัญญะ และไม่ได้ตกสู่ทางมาร จากนั้นก็เปลี่ยนชื่อเป็น ‘พรรคฟ้าดิน’

แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ บัดนี้ค่ายกลที่นักบวชเต๋าจินเหลียนจัดเรียงไว้ในคฤหาสน์ ได้ถูกทำลายจนฉีกขาดออกจากกันเป็นเสี่ยงๆ ไม่สามารถหยุดยั้งศัตรูที่โหมซัดสาดเข้ามาได้อีกต่อไป ซึ่งศัตรูเหล่านั้นรวมทั้งพวกที่ไม่แข็งแกร่ง และเหล่าจอมยุทธ์จำนวนมาก

เหล่าจอมยุทธ์พเนเจร คือกลุ่มที่สร้างความวุ่นวายใจมาตั้งแต่ไหนแต่ไร พวกเขามีจำนวนมาก และวิธีการของพวกเขายังแปลกประหลาดและน่ารังเกียจ พวกเขาสามารถพลีชีพหลั่งเลือด เพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพยากร

“ท่านอาจารย์อาไป๋เหลียน…”

ลูกศิษย์ที่สวมเสื้อคลุมนักบวชเต๋าสีฟ้าอ่อนวิ่งเข้ามา กล่าวสะอึกสะอื้นพร้อมกับน้ำตาคลอเบ้า “ศิษย์น้องหลิงเจิน เขา…เขา…”

พูดยังไม่ทันจบ นางก็ร้องห่มร้องไห้ขึ้นมาอย่างหนัก

หลิงเจินเป็นหนึ่งในลูกศิษย์ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส อาการของเขารุนแรงจนไม่สามารถฟื้นฟูได้ และเขาก็ไม่ได้ฝีกฝนจิตวิญญาณหยิน จึงต้องตายไม่ต่างอะไรจากคนทั่วไป

ลูกศิษย์สิบกว่าคนที่อยู่ด้านหลังไป๋เหลียนต่างก็ดวงตาแดงก่ำ

หลังจากผู้นำเต๋านิกายปฐพีตกสู่ทางมาร ลูกศิษย์ส่วนใหญ่ก็ล้วนตกสู่ทางมารและกลายเป็นวิญญาณชั่วร้าย ตอนนี้ลูกศิษย์ที่ยังมีสติเหลือเพียงสามสิบหกคนเท่านั้น การเสียคนใดคนหนึ่งไป จึงถือเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่

ตอนนี้ ลูกศิษย์ดั้งเดิมของนิกายปฐพีเหลือเพียงสามสิบสี่ท่านแล้ว

“เขาต้องใช้วิธีการอื่นๆ มาไล่ล่าพวกเราอีกแน่” สตรีผู้สง่างามกล่าวด้วยความทอดถอนใจ

“ท่านอาจารย์อาไป๋เหลียน ท่านบอกว่านักบวชเต๋าจินเหลียนเชิญเหล่าผู้ครอบครองชิ้นส่วนหนังสือปฐพีมาช่วยพวกเราไม่ใช่รึ พวกเขาล่ะ ทำไมพวกเขายังไม่มาอีก”

ลูกศิษย์สาวคนหนึ่งถามด้วยน้ำตา

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เหล่าลูกศิษย์ที่เหลือก็เงยหน้าขึ้นมามองด้วยแววตาประกายแสงแห่งความหวัง เพราะท่านอาจารย์อาไป๋เหลียนเน้นย้ำกับทุกคนมาโดยตลอด ว่าผู้ครอบครองชิ้นส่วนหนังสือปฐพีคือบุตรอันเป็นที่รักของสวรรค์ที่มีทักษะการต่อสู้ที่แข็งแกร่ง

เขาต้องสามารถช่วยปกป้องเมล็ดบัว และทำให้พวกเขารอดพ้นจากภัยพิบัติครั้งนี้ได้อย่างแน่นอน

“เขาต้องมาแน่ เขาต้องมาแน่…”

นักบวชเต๋าไป๋เหลียนปลอบขวัญเหล่าลูกศิษย์อย่างต่อเนื่อง โดยไม่เปิดเผยความกังวลในใจของตนเองให้ใครรับรู้ อันที่จริงระเบิดปืนใหญ่ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เกินความคาดหมายของนางไปมากจริงๆ

ตามแผนของนักบวชเต๋าจินเหลียน คฤหาสน์เยวี่ยจือทคือค่ายกลหลังหนึ่ง ผู้ครอบครองชิ้นส่วนหนังสือปฐพีทุกท่านรับหน้าที่คนละตำแหน่ง เมื่ออาศัยอานุภาพของค่ายกล ก็จะสามารถป้องกันศัตรูภายนอก จนกระทั่งเมล็ดบัวสุกงอม

เมื่อเมล็ดบัวสุกงอม นักบวชเต๋าจินเหลียนก็จะสามารถฟื้นฟูพลังการต่อสู้บางส่วนได้ นอกจากนี้ พวกเขาก็สามารถต่อสู้และล่าถอยในเวลาเดียวกันได้ โดยไม่จำเป็นต้องคอยปกป้องคฤหาสน์หลังนี้ สุดท้ายก็จะถอนทัพออกไปได้สำเร็จ

“สิ่งที่เราต้องทำตอนนี้ คือซ่อมแซมค่ายกลและอุดช่องโหว่นี้” ไป๋เหลียนกล่าวออกคำสั่ง

เหล่าลูกศิษย์ไม่พูดอะไรอีกต่างคนต่างยุ่งอยู่กับหน้าที่ของตนเอง บ้างก็ทำเก็บกวาดซากปรักหักพัง บ้างก็ซ่อมแซมค่ายกล

เมื่อมองไปยังฉากหลังความวุ่นวายของพวกเขา สตรีผู้ทรงเสน่ห์กำลังขมวดคิ้ว พลางถอนหายใจอย่างเงียบๆ อันที่จริง ผู้ครอบครองชิ้นส่วนหนังสือปฐพีคือใคร จะช่วยพวกเขาให้ผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้หรือไม่ แม้กระทั่งตัวนางเองก็ยังไม่รู้

‘เหมียว…’

เวลานี้เอง แมวสีส้มจำนวนหนึ่งก็พุ่งตัวออกมาจากพุ่มไม้ และมองเหล่าลูกศิษย์ที่กำลังง่วนอยู่กับงานอย่างเงียบๆ

นักบวชเต๋าจินเหลียนเป็นคนนำแมวเหล่านี้กลับมาที่นี่ และเลี้ยงมันไว้ในคฤหาสน์มาระยะหนึ่งแล้ว ปกติพวกมันก็มักจะเดินเตร่ไปรอบๆ คฤหาสน์ แต่กลับไม่หนีไปไหน ราวกับที่นี่เป็นบ้านของพวกมัน

ไม่รู้มาก่อนจริงๆ ว่านักบวชเต๋าจินเหลียนออกเดินทางไกล แล้วไปชื่นชอบการเลี้ยงแมวได้อย่างไร แต่เหล่าลูกศิษย์สาวต่างก็ชอบแมวเหล่านี้มาก นอกเวลาบำเพ็ญเพียร พวกนางก็มักจะอุ้มมันขึ้นมาเล่น

นักบวชเต๋าไป๋เหลียนมองแมวเหล่านั้น พลางยิ้มออกมาเบาๆ

“ท่านอาจารย์อาไป๋เหลียน ซ่อมค่ายกลแล้วจะมีประโยชน์อันใดหรือ แม้ว่าเราจะซ่อมเสร็จสมบูรณ์ แต่หากระเบิดปืนใหญ่มาอีกรอบ มันก็ทำลายผลงานของพวกเราได้อย่างง่ายดาย…”

ศิษย์ชายหนุ่มท่านหนึ่งทุบวัสดุที่อยู่ในมือราวกับกำลังระบายความโศกเศร้า ดวงตาสีแดงเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง “พวกเราไม่ใช่โหรในสำนักโหราจารย์ พวกเราสร้างค่ายกลที่สามารถต้านทานกระสุนปืนใหญ่ไม่ได้หรอก พวกเรา…พวกเราปกป้องเมล็ดบัวไม่ได้ ศัตรูมีทั้งเต๋ามารที่ตกสู่ทางมาร กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ ยังมีกองกำลังราชสำนักที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน…พวกเราจะเอาอะไรไปปกป้องเมล็ดบัว?!”

อารมณ์และความรู้สึกของเขาถูกส่งต่อไปยังลูกศิษย์คนอื่นๆ ทุกคนต่างก็ก้มมองงานในมือสลับกับนักบวชเต๋าไป๋เหลียนอย่างเงียบๆ

นักพรตหญิงวัยกลางคนผู้สง่างามรู้สึกสั่นสะท้านในใจ เมื่อรู้ว่าเหล่าลูกศิษย์กำลังอยู่ในจุดใกล้ล่มสลาย ช่วงเวลานี้ นิกายอิสระต่างๆ กำลังรวมตัวกันในเมืองเล็กๆ ที่อยู่ห่างออกไปสิบกว่าลี้

หนึ่งในนั้นรวมถึงกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ เต๋ามารนิกายปฐพี และกองกำลังราชสำนักที่สามารถปรุงแต่งอาวุธเวทมนตร์และยิงระเบิดได้

สำหรับที่มาของข้อมูลเหล่านี้ คฤหาสน์เยวี่ยจือได้ส่งลูกศิษย์ปลอมตัวเป็นคนในยุทธภพไปสอดแนม เพื่อเก็บข้อมูลอย่างลับๆ ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงรู้ว่าศัตรูแข็งแกร่งเพียงใด

ความกังวลและความกลัวสะสมอยู่ในใจมานานหลายวันแล้ว และมันก็ถูกจุดชนวนด้วยกระสุนระเบิดปืนใหญ่เมื่อสักครู่

“พวกเจ้าไม่ต้องกังวล เรายังมีผู้ครอบครองชิ้นส่วนหนังสือปฐพี พวกเราไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยว…”

ไป๋เหลียนยังพูดไม่ทันจบ ก็ถูกลูกศิษย์สาวคนหนึ่งขัดจังหวะขึ้นมาเสียก่อน นางหมอบลงที่พื้น และกล่าวคัดค้านเสียงดัง “ความจริงไม่มีผู้ครอบครองชิ้นส่วนหนังสือปฐพีอะไรนั่นหรอก ใช่หรือไม่ ท่านอาจารย์? ถ้ามีกำลังเสริมจริงๆ มีผู้ครอบครองชิ้นส่วนหนังสือปฐพีจริงๆ ทำไมท่านถึงไม่รู้ล่ะ? ตลอดเวลาที่ผ่านมาท่านไม่ได้บอกพวกเรา นั่นก็เพราะท่านกำลังโกหกพวกเรา”

ไป๋เหลียนขมวดคิ้วเล็กน้อย และกวาดสายตามองเหล่าลูกศิษย์ พวกเขาก็กำลังมองมาที่นางเช่นกัน ในดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความผิดหวังและหดหู่

ที่แท้พวกเขาก็คิดเช่นนี้…

ลูกศิษย์คนสนิทของนักบวชเต๋าไป๋เหลียนจุดประกายความคิดได้อย่างกะทันหัน จึงตะโกนว่า “ถึงแม้จะไม่มีผู้ครอบครองชิ้นส่วนหนังสือปฐพีจริงๆ พวกเจ้าก็สู้ไม่ได้รึ นิกายปฐพีบำเพ็ญเพียรกุศล มีจิตใจที่เข้มแข็งและกล้าหาญ เหล่าลูกศิษย์เคยกลัวตายที่ไหนกัน”

เหล่าลูกศิษย์เงียบไปครู่หนึ่ง จนกระทั่งลูกศิษย์หนุ่มท่านหนึ่งส่ายศีรษะ พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มน่าสังเวช “ท่านอาจารย์อาไป๋เหลียน พวกเราไม่ได้กลัวตาย สิ่งที่พวกเรากลัว คือการเสียสละที่ไร้ประโยชน์ต่างหาก จนถึงวันนี้ ผู้สืบทอดนิกายปฐพีที่แท้จริงเหลือเพียงสามสิบสี่คนเท่านั้น เพื่อดอกบัวเก้าสีแล้ว ทั้งหมดต่างได้รับความเสียหาย ท่าน…และท่านอาจารย์อาจินเหลียนคิดเช่นนี้จริงๆ หรือ?”

ลูกศิษย์อีกคนกำหมัดแน่น น้ำตาคลอเบ้า “ถ้าเหล่าพี่น้องทั้งหมดตายในคฤหาสน์เยวี่ยจือแม้จะปกป้องดอกบัวเก้าสีไว้ได้ แล้วจะทำอย่างไรต่อไป ในเมื่อผู้สืบทอดถูกตัดขาดหมดแล้ว”

ลูกศิษย์สาวที่คัดค้านเสียงดังก่อนหน้านี้ ร้องไห้สะอึกสะอื้นขึ้นมา “ท่านอาจารย์ พวกเราถอยเถอะ ท่านลองไปพูดกับท่านอาจารย์อาจินเหลียน ดีหรือไม่?”

นักบวชเต๋าไป๋เหลียนไม่ได้โกรธ นางเพียงแค่รู้สึกเศร้าใจ ในตอนแรกนางคิดว่าลูกศิษย์เหล่านี้จะมีจิตใจที่ฮึกเหิม และเป็นเสาหลักของนิกายปฐพีในอนาคต ตั้งแต่ผู้นำเต๋าตกสู่ทางมาร พวกเขาก็หลบๆ ซ่อนๆ คอยเฝ้ามองศิษย์ร่วมสำนักและอาจารย์ที่ตกสู่ทางมาร เพื่อขว้างดาบสังหารไปที่พวกเขา

หลายปีที่ผ่านมา พวกเขากลายเป็นนกตื่นธนู

เจตจำนงของพวกเขาค่อยๆ เสื่อมลง ความกล้าหาญของพวกเขาก็ค่อยๆ หมดไปทีละน้อยเช่นกัน ตอนนี้พวกเขาต้องการชัยชนะในการต่อสู้เป็นอย่างมากเพื่อฟื้นฟูความมั่นใจและความเชื่อมั่นกลับมา

ทันใดนั้น ใบหูของไป๋เหลียนก็ขยับเล็กน้อย นางได้ยินการเคลื่อนไหวอย่างแผ่วเบาในสายลม ทันทีที่นางเงยศีรษะขึ้นไปตามสัญชาตญาณ ก็เห็นกระบี่เรืองแสงเล่มหนึ่ง พุ่งผ่านกระแสลมที่กำลังพัดกรรโชกเข้ามาอย่างรวดเร็ว

กระบี่บิน?

ไป๋เหลียนรู้สึกราวกับหัวใจถูกแช่แข็ง กระบี่บินคือวิธีการเฉพาะของลัทธิเต๋า แต่ไม่ว่านิกายสวรรค์ นิกายปฐพีหรือนิกายมนุษย์ล้วนสามารถใช้งานกระบี่บินได้ การปรากฏตัวของยอดฝีมือกระบี่บินในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ ก็มีความเป็นไปได้ว่าเต๋ามารของนิกายปฐพีอาจจะใจร้อนมากลูกศิษย์หนุ่มที่อยู่รอบๆ ตื่นตัวขึ้นทันที พลางควบคุมอาวุธเวทมนตร์ของตนเองอย่างพร้อมเพรียงกัน เมื่อถึงคราที่ต้องต่อสู้ พวกเขาก็ไม่เกรงกลัวความตาย

ร่างของคนที่อยู่เหนือกระบี่บิน ดูเหมือนจะรู้สึกได้ว่าตนเองกำลังถูกพลังปราณของนักบวชเต๋ามากกว่าสิบคนเพ่งเล็ง จึงล้วงมือเข้าไปหยิบกระจกหยกขนาดเล็กที่อยู่ในอ้อมอกออกมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน ก่อนจะส่ายไปมาให้ทุกคนที่อยู่ด้านล่างได้เห็น

เหล่าลูกศิษย์หนุ่มยังคงแสดงท่าทีพร้อมรบ เพราะไม่รู้จักสิ่งนี้ แต่รูม่านตาของไป๋เหลียนหดตัวเล็กน้อย นางรู้ว่านั่นคือสมบัติที่ล้ำค่าของนิกายปฐพี มันคือชิ้นส่วนหนังสือปฐพี

“นั่นคือ…ผู้ครอบครองชิ้นส่วนหนังสือปฐพี…” ไป๋เหลียนกล่าวด้วยความตกตะลึง ในเวลาเดียวกัน นางก็ใช้พลังตรึงฝ่ามือเหล่าลูกศิษย์ไว้ เพื่อไม่ให้พวกเขาลงมือทำร้ายกองกำลังเสริมโดยไม่ตั้งใจ

ผู้ครอบครองหนังสือปฐพี…

มาแล้วรึ

ใบหน้าของลูกศิษย์ทุกคนแสดงออกถึงความประหลาดใจ ตกตะลึง และตื่นเต้นในเวลาเดียวกัน ที่แท้ก็มีผู้ครอบครองชิ้นส่วนหนังสือปฐพีจริงๆ

แม้ว่าท่านอาจารย์อาไป๋เหลียนจะเน้นย้ำว่ามีกำลังเสริมมาโดยตลอด แต่ไม่ว่าเหล่าลูกศิษย์จะถามอย่างไร ท่านอาจารย์อาไป๋เหลียนก็ไม่ยอมเปิดเผยตัวตนของผู้ครอบครองชิ้นส่วนหนังสือปฐพีแม้แต่น้อย

เมื่อเวลาผ่านไป เหล่าลูกศิษย์ไม่ได้พูดต่อหน้านางอีก แต่กลับเกิดความสงสัยขึ้นในใจ

บัดนี้ เมื่อเจตจำนงของพวกเขาตกต่ำจนถึงขีดสุด ผู้ครอบครองชิ้นส่วนหนังสือปฐพีก็ปรากฏตัวขึ้นจริงๆ

กระบี่บินร่อนลงมาบนพื้นบริเวณข้างซากปรักหักพัง หญิงงามสองท่านกระโดดลงมา บุคคลที่อยู่ด้านหน้าสวมเสื้อคลุมนักบวชเต๋า มีใบหน้ารูปเมล็ดแตงโมที่เฉิดฉาย ริมฝีปากสีแดงระเรื่อ ดวงตาเป็นประกาย ผิวขาวราวกับหิมะ เรียวคิ้วคมและเต็มเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณแห่งความกล้าหาญ

สาวน้อยอีกท่านมีลักษณะเฉพาะราวกับคนซินเจียงตอนใต้ นางมีใบหน้าอันงดงามและประณีต เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา นัยน์ตาสีครามเข้มราวกับมหาสมุทรเต็มไปด้วยความเฉลียวฉลาด และเปล่งประกายระยิบระยับ

แต่ผิวสีเหลืองอ่อนคล้ายเมล็ดข้าวสาลี ท่าทางแข็งแรงปราดเปรียว ทำให้นางดูเหมือนเสือดาวน้อยที่อาศัยอยู่ในป่าลึก

“หลี่เมี่ยวเจิน เทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์หลี่เมี่ยวเจิน…”

“เป็นรุ่นพี่เมี่ยวเจินหรอกรึ เป็นรุ่นพี่เมี่ยวเจินจริงๆ รึ”

“เยี่ยมมาก รุ่นพี่เมี่ยวเจินคือผู้ครอบครองชิ้นส่วนหนังสือปฐพีของพวกเรารึ”

เหล่าลูกศิษย์จำหลี่เมี่ยวเจินได้ นิกายสวรรค์ นิกายปฐพี และนิกายมนุษย์ ทั้งสามนิกายนี้ต่างก็มีปรัชญาเป็นของตน นิกายสวรรค์และนิกายมนุษย์เข้ากันไม่ได้ราวน้ำกับไฟ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่เคยติดต่อกันเลย

สาวกของทั้งสามนิกายเยี่ยมเยียนกันบ้างเป็นครั้งคราว แม้ว่านิกายสวรรค์และนิกายมนุษย์มักจะขัดแย้งกันบ่อยๆ แต่คำว่าลัทธิเต๋า ก็ทำให้ทั้งสามนิกายบำรุงรักษาความสัมพันธ์อันละเอียดอ่อนนี้ไว้ได้ในที่สุด ไม่ถึงกับตัดขาดกันอย่างสมบูรณ์

ไม่นานมานี้ ความขัดแย้งระหว่างนิกายสวรรค์กับนิกายมนุษย์ ของหลี่เมี่ยวเจินและฉู่หยวนเจิ่นก็สร้างความโกลาหลวุ่นวายครั้งใหญ่ คฤหาสน์เยวี่ยจือมิได้ตัดขาดจากทางโลก เหล่าลูกศิษย์พรรคฟ้าดินจึงรู้เรื่องนี้กระจ่างแจ้ง

หลี่เมี่ยวเจินทำความเคารพด้วยการโค้งคำนับ และยิ้มเล็กน้อยอย่างสำรวม “คารวะเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้อง และท่านอาจารย์ทุกท่าน”

เหล่าลูกศิษย์ของพรรคฟ้าดินต่างก็ทำความเคารพนางกลับเช่นกัน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นและมองไปที่ลี่น่า

หลี่เมี่ยวเจินเข้าใจในทันที จึงกล่าวแนะนำว่า “นางมาจากเขตลี่กู่ทางตอนใต้ของซินเจียง”

ทุกคนทำความเคารพลี่น่าอีกครั้ง ส่วนสาวน้อยจากซินเจียงตอนใต้ก็โค้งตัวคำนับพวกเขากลับเช่นกัน

“มี…มีเพียงสองท่านเท่านั้นรึ” ลูกศิษย์หนุ่มคนหนึ่งกล่าวหยั่งเชิง

หากมีกำลังเสริมเพียงสองท่าน ก็ไม่มีประโยชน์อะไรกับสถานการณ์ในตอนนี้มากนัก แม้ว่านักบวชหญิงนิกายสวรรค์หลี่เมี่ยวเจินจะก้าวสู่ขั้นสี่แล้ว และยังเป็นดาวรุ่งที่โดดเด่น

แต่สถานการณ์ในตอนนี้ พวกเขากำลังถูกห้อมล้อมไปด้วยหมาป่าที่ดุร้ายและยอดฝีมือราวกับหมู่เมฆ

“พวกเขาใกล้ถึงแล้ว” หลี่เมี่ยวเจินยิ้ม

พวกเขา…

เหล่าลูกศิษย์ของพรรคฟ้าดินทุกคนต่างก็ปลื้มปีติยินดี นี่หมายความว่ากำลังเสริมไม่ได้มีเพียงท่านเดียว พวกเขาจึงเริ่มตั้งหน้าตั้งตารอผู้ครอบครองชิ้นส่วนหนังสือปฐพีท่านอื่นๆ

ถึงแม้จะมองไม่ออก ว่าสาวน้อยจากตอนใต้ของซินเจียงท่านนี้มีรากฐานอย่างไร แต่หลี่เมี่ยวเจินมีชื่อเสียงอันโด่งดัง งั้นคนอื่นๆ ก็น่าจะฝีมือไม่เลวเช่นกัน

ในขณะที่คิดเช่นนี้ ก็มีคนขี่กระบี่บินเข้ามา และวนเวียนอยู่เหนือคฤหาสน์ ก่อนจะร่อนลงบนพื้น บริเวณที่หลี่เมี่ยวเจินและคนอื่นๆ ยืนอยู่อย่างรวดเร็ว

บนสันดาบมีคนยืนอยู่สองคน คราวนี้เป็นผู้ชายทั้งหมด คนด้านหน้าสวมเสื้อคลุมสีเขียว ใบหน้าหล่อเหลา รูปร่างสง่างาม และมีปอยผมสีขาวที่หน้าผาก

ด้านหลังชายเสื้อคลุมสีเขียว เป็นนักบวชวัยกลางคนที่มีร่างสูงใหญ่ท่านหนึ่ง เขามีใบหน้าธรรมดาทั่วไป แต่แฝงไปด้วยความอ่อนโยน ซึ่งมองไม่ออกว่าเขามีส่วนใดที่พิเศษไปกว่าคนอื่น

“ฉู่หยวนเจิ่น สาวกที่ได้รับการบันทึกชื่อในนิกายมนุษย์ ศิษย์สำนักเดียวกันกับนิกายปฐพีทุกท่าน โปรดอย่าคิดว่าเขาเป็นคนแปลกหน้า” หลี่เมี่ยวเจินแนะนำด้วยรอยยิ้ม

“ฉู่หยวนเจิ่น?” ลูกศิษย์สาวที่งดงามท่านหนึ่งอุทานด้วยความประหลาดใจ

ก่อนเกิดสงครามระหว่างนิกายสวรรค์และนิกายมนุษย์ ชื่อเสียงของฉู่หยวนเจิ่นเลื่องลืออยู่ในเมืองหลวงเท่านั้น แต่หลังจากเขาปะทะฝีมือกับหลี่เมี่ยวเจิน ชื่อเสียงของสาวกที่ได้รับการบันทึกชื่อของนิกายมนุษย์ท่านนี้ ก็แพร่กระจายออกไปอย่างกว้างขวาง

วีรกรรมของเขาก่อนหน้านี้ถูกหยิบยกขึ้นมา เขาคือราชบัณฑิตผู้ชนะเลิศในการสอบคัดเลือกขุนนางเมื่ออายุยี่สิบเจ็ดปี

ปีต่อมาเขาลาออกจากราชการเพื่อเข้าสู่เส้นทางการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ หลังจากข่าวคราวเงียบหายไปหลายปี เขาก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว และถูกเว่ยเยวียนยกย่องให้เป็น ‘นักดาบอันดับหนึ่งของเมืองหลวง‘

เขาคือบุคคลแข็งแกร่งที่มีตำนานแปลกประหลาด

จู่ๆ ผู้นำเต๋าก็ดึงลูกศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดในนิกายสวรรค์และนิกายมนุษย์เข้ามาในพรรคฟ้าดิน…นักบวชเต๋าไป๋เหลียนยังคงรู้สึกทึ่ง หลี่เมี่ยวเจินจะกลายเป็นยอดฝีมือระดับสูงของนิกายสวรรค์ในอนาคต

ที่นางเข้าร่วมพรรคฟ้าดิน คือความตั้งใจของนิกายสวรรค์ใช่หรือไม่ นิกายสวรรค์คิดว่า เรื่องที่นิกายปฐพีตกสู่ทางมารมีผลกระทบที่อันตรายต่อลัทธิเต๋า ก็เลยวางแผนกำจัดงั้นรึ?

ด้วยเหตุผลเดียวกัน ผู้นำเต๋านิกายมนุษย์ลั่วอวี้เหิงก็มีความคิดเช่นนี้ใช่หรือไม่

สิ่งที่นักบวชเต๋าไป๋เหลียนมองเห็น มีความลึกซึ้งและกว้างไกลกว่าลูกศิษย์ธรรมดามาก

“พรรคฟ้าดินของข้ากำลังประสบกับภัยพิบัติครั้งใหญ่ ขอบใจพวกท่านทั้งสี่ที่เดินทางมาอย่างยาวไกลเพื่อช่วยพวกเรา ข้าจะไม่มีวันลืมบุญคุณครั้งนี้” ไป๋เหลียนเข้ามาต้อนรับ และแสดงความเคารพด้วยท่าทีเคร่งขรึม

หลังจากหยุดชะงักครู่หนึ่ง นางก็กล่าวต่อไปว่า “ตอนนี้สถานการณ์เลวร้ายมาก ไม่เพียงแต่เหล่ายอดฝีมือขั้นสี่ของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ที่มีจำนวนมากกว่าเรา ยังมีเหล่าเต๋ามารที่ตกสู่ทางมาร ไหนจะเหล่าจอมยุทธ์อิสระที่พยายามฉวยโอกาสในช่วงที่ชุลมุน การที่พวกท่านพยายามอย่างดีที่สุดนั้นเป็นเรื่องดี แต่อย่ากล้าหาญจนเกินไปนัก ไม่มีประโยชน์จริงๆ เมื่อถึงคราจำเป็นที่ข้าต้องละทิ้งดอกบัวเก้าสีก็ต้องทำ”

‘นางคิดว่าอาศัยพลังต่อสู้ของพวกเรา ก็ยังไม่เพียงพอที่จะพลิกสถานการณ์ได้…’

ฉู่หยวนเจิ่นเข้าใจความหมายโดยนัยของนักบวชเต๋าไป๋เหลียน ถึงแม้จะไม่ชอบใจที่โดนดูถูก แต่น้ำใจของนางก็ออกมาจากใจจริง

ฉู่หยวนเจิ่นจึงไม่สามารถหยุดหัวเราะได้ “ยังมีอีกคน เขาแข็งแกร่งกว่าข้าและเมี่ยวเจิน ยิ่งไปกว่านั้น คนที่ได้รับการยกย่องนับถือในยุทธภพก็ยังต้องไว้หน้าเขา”

หลี่เมี่ยวเจินหันศีรษะไปมองรอบๆ และกล่าวด้วยความไม่สบอารมณ์ว่า “ทำไมเขายังไม่มาอีก”

เหิงหย่วนส่ายศีรษะ “อาจจะยังอยู่ระหว่างทาง”

พวกเขากำลังพูดถึงใคร แข็งแกร่งกว่าหลี่เมี่ยวเจินและฉู่หยวนเจิ่น นอกจากนี้ ยังสามารถทำให้คนที่มีหน้ามีตาในยุทธภพต้องไว้หน้า ผู้ยิ่งใหญ่เช่นนั้นเป็นแบบใดกัน…

เหล่าลูกศิษย์พรรคฟ้าดินต่างก็มองหน้ากันไปมาด้วยความประหลาดใจ

ตอนนี้มีอัญมณีล้ำค่าอย่างหลี่เมี่ยวเจินและฉู่หยวนเจิ่นอยู่เบื้องหน้าแล้ว ทุกคนต่างก็ตั้งตารออย่างใจจดใจจ่อ

…………………………………………………

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Status: Ongoing
ตั้งแต่ข้ามเวลามาเขาตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในสังคมที่ไร้ซึ่งคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ นี้ แต่ทำไมเขาถึงต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องการเมือง และอำนาจลึกลับที่อยู่เบื้องหลังราชวงศ์ต้าฟ่งแห่งนี้ด้วย!Top 5 นิยายยอดนิยมในเว็บจีนต่อเนื่อง 10 เดือน! นิยายแปลจีน สืบสวน ไขคดี ใช้ความรู้ยุคปัจจุบันผสมกับแอ็คชั่นกำลังภายในสวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท