ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง – บทที่ 401 ศึกเดือด

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 401 ศึกเดือด

บทที่ 401 ศึกเดือด

‘ตูม!’

‘โครม!….’

ชั่วพริบตาที่คนในห้องหายไป เงาร่างของคนหลายคนก็พุ่งเข้ามา พวกเขาพังทำลายทั้งหน้าต่างและกำแพง

พวกเขาคือคนสวมชุดดำใส่หน้ากากสีทองสองคน และนักพรตวัยกลางคนสามคนในชุดเต๋าที่ปักลายดอกบัวสีทอง สีเขียว และสีครามบนหน้าอก

สายลับผู้สวมหน้ากากสีทองที่มีสมญานามสวรรค์ว่า ‘เทียนจี’ กวาดตามองทั่วห้องแล้วเอ่ยเสียงขรึม “คงเป็นวิชาหายตัว เมื่อกี้กลับไม่ได้พบร่างที่ปลอมตัวมาของเขา”

พวกเขาซ่อนตัวอยู่ในบริเวณใกล้ๆ และคอยจ้องมองทุกคนที่เดินเข้าออกโรงเตี๊ยมอยู่ตลอด ด้วยสายตาของคนระดับพวกเขา ไม่จำเป็นต้องเข้าไปดูใกล้ๆ ก็สามารถมองทะลุหน้ากากหนังมนุษย์และเห็นตัวตนที่แท้จริงได้อยู่แล้ว

คนชุดดำสวมหน้ากากทองอีกคนเอ่ยขึ้น น้ำเสียงเยือกเย็นเฉียบขาด “หยางเชียนฮ่วนก็มาด้วยหรือ”

“อืม” เทียนจีพยักหน้า “สวี่ชีอันและโหรของสำนักโหราจารย์มีมิตรภาพที่ดีต่อกันมาตลอด เรื่องนี้ไม่แปลก”

สายลับหญิงแค่นเสียงเย็น “เขาอยากจะเชือดเราแล้วทำลายไปทีละคนๆ อย่างนั้นหรือ”

นักบวชเต๋าชิงเหลียนแห่งนิกายปฐพีเอ่ยหยันเสียงเย็นชา “โง่เง่า”

สายลับหญิงสมญานาม ‘เทียนซู’ เหลือบมองเขาแวบหนึ่งแล้วเอ่ย “ระยะทางจำกัดในวิชาหายตัวของโหรขั้นสี่อยู่ที่ประมาณสามสิบลี้ ไม่ถือว่าไกลนัก เรื่องเดียวที่ไม่แน่นอนก็คือเขาพากันหายตัวไปทิศใด”

เทียนจีครุ่นคิดแล้วเอ่ย “จะรอต่อไปไม่ได้แล้ว แยกย้ายกันตามหาเถอะ อืม วิชาหายตัวของโหรสามารถถูกขัดจังหวะได้ เมื่อครู่น่าจะเป็นเพราะไม่ทันตั้งตัว แต่ด้วยพลังของยอดฝีมือสองคนนั้นแล้ว เขาไม่มีทางทำได้อีกครั้งแน่ พวกเจ้าอย่าไล่ตามไปไกลนัก หากไม่มีความผันผวนของพลังปราณ นั่นแปลว่าทิศทางผิดพลาด ให้รีบเปลี่ยนทิศทันที”

ตอนนี้ที่ด้านนอกโรงเตี๊ยม กลุ่มคนจำนวนหนึ่งพากันยกพลเข้ามา มีทั้งศิษย์ของนิกายปฐพีที่สวมชุดคลุมเต๋าประดับขนนก มีทั้งคนจากยุทธภพที่ก่อตั้งเป็นพันธมิตรอย่างลับๆ มีทั้งสายลับของไหวอ๋อง และกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ที่มีอิทธิพลสั่นสะเทือนยุทธภพ

ผู้คนมากมายมารวมตัวกันอยู่นอกโรงเตี๊ยม บนถนนและตรอกซอกซอยล้วนมีแต่ผู้คน

นี่เป็นการซุ่มโจมตีที่ถูกเตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้ว หลังจากสร้างพันธมิตรที่ซานเซียนฟางตอนกลางวัน คุณชายชุดขาวก็เปิดเผยแผนการของตนออกมา

สายลับและนักพรตนิกายปฐพีคิดว่าพวกตนสามารถลองทำดูได้ และสุดท้ายก็อยู่รออีกฝ่ายกันจริงๆ

แต่กลับไม่คิดว่าในคฤหาสน์เยวี่ยจือจะซุกซ่อนโหรขั้นสี่เอาไว้หนึ่งคนด้วย

ขั้นสี่ทั้งห้าคนพุ่งออกมาจากโรงเตี๊ยม เทียนจีมองไปรอบๆ แล้วเอ่ยขึ้น “ข้าจะไปทางตะวันตก ส่วนทิศที่เหลือ…”

จู่ๆ เขาก็พลันเงียบลงแล้วหันหน้ามองไปยังถนนด้านหน้า เสียงฝีเท้าหนักหน่วงดังมาจากทางนั่น ทุกย่างก้าวล้วนทำให้แผ่นดินสะเทือนเล็กน้อย

ในสายตาของผู้คนจากทุกฝ่าย พวกเขาเห็นสาวน้อยนางหนึ่งพุ่งพรวดเข้ามา และสิ่งที่นางชูขึ้นสูงนั่นคือ…ปืนใหญ่?

‘ย้ากก…’

นางอาศัยแรงเฉื่อยจากการห้อตะบึงแล้วใช้แรงขว้างปืนใหญ่ออกมา

‘ฟิ้ว…’ ยักษ์เหล็กหมุนติ้วมาหาทุกคน พร้อมกับเสียงลมพัดหวิวแผ่วๆ

ทุกคนกระจายตัวไปคนละทิศละทางโดยไม่รู้ตัว พลางกอดศีรษะหลบกันจ้าละหวั่น

เทียนจีก้าวเข้าไปรับพลางสะบัดเสื้อคลุมออก มือของเขาโบกขึ้น พลังปราณราวกับคลื่นยักษ์ซัดสาดออกมา มันเข้าไปปะทะกับปืนใหญ่ครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อสลายแรงพุ่งของมัน

เทียนจียื่นมือรับปืนใหญ่ จากนั้นก็โยนทิ้งข้างทางจนเกิดเสียง ‘ตู้ม’ ดังลั่น

“พวกเจ้าไปกันก่อน ข้าจะจัดการนังเด็กเผ่าลี่กู่ผู้นี้เอง” เทียนจีแค่นเสียงเย็น

“เด็กนี่น่ากำราบนัก อย่าเพิ่งฆ่าล่ะ เก็บไว้ให้ข้าเล่นด้วย” นักบวชเต๋าหลานเหลียนยิ้มประหลาด

เทียนจีขมวดคิ้ว รู้สึกเกลียดชังความน่ารังเกียจที่แสดงออกมาทุกที่ทุกเวลาของนักบวชเต๋าในนิกายปฐพี เขาจึงเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าไม่ออมมือต่อศัตรู”

นักบวชเต๋าหลานเหลียนแค่นเสียงเยาะแล้วพาศิษย์ในสำนักพุ่งไปยังถนนอีกทาง

“อามิตตาพุทธ!”

ภิกษุร่างกายบึกบึนเข้ามาขวางทางเอาไว้

แทบจะในขณะเดียวกัน ประกายกระบี่สองสายก็พุ่งมา หลี่เมี่ยวเจินและฉู่หยวนเจิ่นเหยียบอยู่บนกระบี่บินแล้วสกัดกั้นขั้นสี่ทั้งสามคนที่เหลือเอาไว้

“มีการเตรียมการไว้ล่วงหน้าจริงด้วย ข้าประเมินพวกเจ้าต่ำไปแล้ว” เทียนจีเอ่ยเสียงขรึม

“อย่าพูดไร้สาระนักเลย ครั้งก่อนที่ฉู่โจวพวกเจ้าหนีกันเร็วไปต่างหาก” หลี่เมี่ยวเจินระเบิดอารมณ์ออกมา

สายลับหญิงเทียนซูหรี่ตาลงแล้วกล่างเสียงเยือกเย็น “หลี่เมี่ยวเจิน ข้ากำลังอยากจะไปคิดบัญชีกับเจ้าอยู่เชียว”

นางแย้มยิ้มออกมาทันที “เจ้าคิดว่าพวกเรามีแผนแค่นี้หรือ”

ฉู่หยวนเจิ่นยิ้มแผ่วเบา “ข้าจะมอบคืนให้เจ้าพร้อมกันเลย”

มียอดฝีมืออยู่ทั่วทุกแห่งในเมือง โดยเฉพาะแถวโรงเตี๊ยม ซึ่งในช่วงหลายวันนี้ได้ถูกคนจากยุทธภพยึดครองไปเรียบร้อยแล้ว

ทันทีที่การต่อสู้เริ่มขึ้น คนจากกลุ่มยุทธภพในโรงเตี๊ยมก็พากันหนีไปหมด แต่คนจากยุทธภพที่อาศัยอยู่ห่างไกลและสำนักอื่นๆ ในกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์กลับวิ่งโร่เข้ามา

“เกิดอะไรขึ้น?” แม่นางหรงหรงเปิดประตูเข้ามาแล้วพบว่ามีพวกผู้เฒ่าอาวุโสมารวมตัวกันอยู่ในลาน

ส่วนผู้ดูแลหอนั้นยืนอยู่บนหลังคาพลางมองไปยังทิศทางของโรงเตี๊ยม

“ที่โรงเตี๊ยมมีการต่อสู้เกิดขึ้น ดูจากความผันผวนของพลังปราณแล้ว คงเป็นขั้นสี่’

เซียวเยว่หนูออกจากภวังค์แล้วมองไปยังคนเฝ้าประตูในลานบ้านพลางเอ่ยเสียงขรึม “รีบอพยพผู้คนในเมืองทันที และหากมีคนที่ไม่เต็มใจให้ความร่วมมือก็ใช้กำลังได้เลย”

“ขอรับ!”

ศิษย์หอหมื่นบุปผาและเหล่าผู้อาวุโสกล่าวพร้อมกัน

“ท่านผู้ดูแลหอ คนที่ก่อความขัดแย้งคือผู้ใดหรือเจ้าคะ” หรงหรงเอ่ยเสียงดังฟังชัด

จากนั้นนางก็เห็นสีหน้าของผู้ดูแลหอเซียวเยว่หนูดูซับซ้อนขึ้นทันใด จากนั้นนางก็เอ่ยขึ้นช้าๆ “สวี่ชีอันเริ่มสังหารไล่ล่าแล้ว”

“อะไรนะ!”

ทุกคนอุทานลั่น

‘นี่สมกับเป็นเขาจริงๆ…’ หรงหรงหันหน้าไปมองยังทิศทางของโรงเตี๊ยมทันที

ด้านนอกเมือง เงาร่างของคนสามคนเหยียบอยู่บนกระบี่บินให้แล่นอยู่ในความสูงระดับต่ำ

พวกเขาสวมชุดคลุมเต๋าสีเดียวกัน คนหนึ่งปักลายดอกบัวแดงที่อก คนหนึ่งมีลายดอกบัวสีส้ม ส่วนอีกคนเป็นลายดอกบัวสีเหลือง

ในหมู่พวกเขา ผู้อาวุโสชื่อเหลียนดอกบัวแดงและเฉิงเหลียนดอกบัวส้มนั้นมีผมสีดอกเลา อายุอานามไม่น้อยแล้ว ส่วนหวงเหลียนดอกบัวเหลืองอยู่ในวัยกลางคน เห็นได้ชัดว่าอายุน้อยกว่าสองคนนี้

“ทางใต้ มีพลังปราณผันผวนที่ทางใต้…”

หวงเหลียนสัมผัสรับรู้อยู่พักหนึ่งแล้วขับเคลื่อนกระบี่บินพุ่งไปข้างหน้า

นอกจากผู้นำเต๋าที่ต้องไปเฝ้าระวังในฉู่โจวตลอดเวลาเนื่องจากยอดฝีมือลึกลับผู้นั้นเคยปรากฏตัวขึ้นแล้ว พวกนักพรตเหลียนฮวาแห่งนิกายปฐพีทั้งหมดก็ล้วนอยู่ในเมืองทั้งสิ้น

พวกหลี่เมี่ยวเจินสามารถขวางขั้นสี่สองสามคนที่โรงเตี๊ยมได้ แต่ไม่มีทางขวางพวกเขาได้

นักพรตเต๋าสีแดง สีส้ม และสีเหลืองเดิมทีก็อยู่ใน ‘รูปกระบวน’ สำหรับป้องกันเรื่องไม่คาดคิด และตอนนี้ก็ถึงเวลาที่พวกเขาต้องลงมือกันแล้ว

แม้ว่านักพรตเหลียนฮวาจะตกสู่ทางมาร ทำให้บางครั้งก็ยากจะควบคุมจิตชั่วร้ายของตน แต่สมองของเขากลับไม่ได้พังทลายไปด้วย

“เฮอะ ช่างเป็นบุคคลที่คิดอะไรง่ายๆ เสียจริง ฆ่าเขาไปหนึ่งคนแล้วก็โมโห ถึงได้พุ่งเอาตัวเองเข้ามาอยู่ในตาข่าย” นักพรตเต๋าเฉิงเหลียนยิ้มเยาะ บนใบหน้าของจางหยางพลันปรากฏแววชั่วร้ายหยามหยัน

“จอมยุทธ์ก็คือจอมยุทธ์นั่นแหละ หยาบช้าเสียจนน่าเวทนา”

“การที่จินเหลียนไปเชิญพวกจอมยุทธ์มาช่วยนั้นเป็นความล้มเหลวที่ใหญ่ที่สุดของเขาเลย ในแต่ละสายการฝึกตนนั้นมีเพียงเต๋ามารของลัทธิเต๋านิกายปฐพีอย่างเราเท่านั้นที่เป็นนิรันดร์” ชื่อเหลียนเอ่ยเสียงแผ่ว

ขอแค่สังหารยอดฝีมือรุ่นเยาว์พวกนั้นได้ ต่อให้บาดเจ็บสาหัส แต่วันรุ่งขึ้นจินเหลียนก็คุ้มกันเม็ดบัวไม่ได้แล้ว

หากจินเหลียนจนตรอกจนต้องทำลายเม็ดบัวนั่นก็เป็นเรื่องน่าเสียดาย ทว่าผู้ที่สูญเสียมากที่สุดก็ยังเป็นจินเหลียนเองนั่นแหละ

ไม่นานนัก นักพรตเต๋าทั้งสามก็มองเห็นสองฝ่ายที่กำลังสู้กันอยู่

นั่นคือนักดาบวัยกลางคนที่มีเครางดงาม ส่วนอีกคนเป็นชายฉกรรจ์สวมสนับมือเหล็กและเปลือยแผ่นอก

เมื่อสัมผัสได้ถึงการมาของนักพรตเหลียนฮวาทั้งสาม คนทั้งคู่ก็หยุดประมืออย่างรู้กัน แล้วเผยรอยยิ้มเป็นมิตรออกมา “เรารอพวกเจ้ามานานแล้ว”

สีหน้าของนักพรตเต๋าแดงส้มเหลืองแข็งทื่อ

ห่างจากตัวเมืองสามสิบลี้ บนเนินเขาเตี้ยๆ พลันมีร่างทั้งห้าปรากฏตัวขึ้นพร้อมกัน

โฉวเชียนมองไปรอบๆ ด้วยท่าทางตระหนกเล็กน้อย หลังจากเห็นภาพโดยรอบแล้วเขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและเอ่ยเสียงจิ๊จ๊ะ

“พูดตามตรงนะ ข้าคิดว่าเจ้าจะพาเราไปที่คฤหาสน์เยวี่ยจือเสียอีก หากเป็นเช่นนั้น ข้าก็คงตกอยู่ในอันตรายจริงๆ เมื่อครู่ยังไม่ทันตั้งตัว แต่ตอนนี้เจ้าอย่าคิดว่าจะพาพวกเราหายตัวได้อีกเลย อย่างนี้ข้าควรบอกว่าเจ้าฉลาดหรือโง่ดีนะ”

ทันใดนั้นเขาก็หัวเราะร่วนขึ้นมา หัวเราะเสียจนเอนตัวไปข้างหน้าและเซถอยหลัง ท่าทางกำเริบเสิบสานนัก “ข้าว่าเจ้าฉลาดมากนะ เพราะว่ารู้จักวิธีประจบสอพลอข้าแล้วพาตัวเองไปหาเรื่องตายด้วย”

สวี่ชีอันค่อยๆ ชักดาบยาวสีดำทองออกมา “แค่สังหารปลาสลิดอย่างเจ้า ใช้แค่ข้ากับศิษย์พี่หยางก็พอแล้ว”

หลี่เมี่ยวเจินและคนอื่นๆ ล้วนอยู่ในเมือง ดังนั้นการส่งพวกเขาไปที่คฤหาสน์จึงไม่มีประโยชน์ อย่างแรก ดอกบัวเก้าสีทนต่อความผันผวนของพลังปราณที่รุนแรงไม่ได้ แม้ว่าดอกบัวจะล้ำค่า แต่อิทธิฤทธิ์ของมันไม่ได้อยู่ในด้านการป้องกัน

อย่างที่สอง พลังของผู้คุ้มกันทั้งสองของคุณชายชุดขาวก็แข็งแกร่งมาก ทันทีที่เกิดการต่อสู้ในคฤหาสน์ มันจะต้องดึงดูดศิษย์ของพรรคฟ้าดินมาอย่างแน่นอน แม้ว่าพรุ่งนี้พวกเขาจะต้องเข้าร่วมการต่อสู้อย่างเลี่ยงไม่ได้ก็ตาม

สุดท้าย หยางเชียนฮ่วนได้เตรียมค่ายกลป้องกันเอาไว้หลายอันแล้ว มันเป็นเหมือนกับการป้องกันเมือง หากศัตรูคิดจะปีนกำแพงขึ้นมา ก็ต้องแลกด้วยภูเขาศพทะเลเลือด

เช่นนี้จะส่งกองทัพศัตรูไปที่กำแพงเมืองโดยเปล่าประโยชน์ทำไมกันเล่า

หยางเชียนฮ่วนแค่นเสียงเฮอะออกมาแล้วส่ายหน้าเอ่ย “ข้าไม่ลงมือหรอก มดปลวกที่ต่ำต้อยไม่คู่ควรให้ข้าลงมือ”

โฉวเชียนเลิกคิ้วขึ้น พร้อมกับความโกรธที่เพิ่มขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ เขารู้สึกรังเกียจน้ำเสียงและท่าทีที่เย่อหยิ่งของโหรชุดขาวคนนี้อย่างล้ำลึก

“หากตั้งใจจะทำให้ข้าโมโห เช่นนั้นเจ้าก็ทำสำเร็จแล้ว” โฉวเชียนยิ้มเย็น

“เจ้าคู่ควรหรือ?” หยางเชียนฮ่วนกล่าวเสียงเรียบ

“ไม่กล้าเผยใบหน้าแท้จริงเช่นนี้ เป็นเพราะกลัวข้าแก้แค้นหรือไร” โฉวเชียนจ้องมองแผ่นหลังของอีกฝ่าย

เรื่องนี้ หยางเชียนฮ่วนเพียงแค่นเสียง ‘เฮอะ’ ออกมาเท่านั้น

“…” โฉวเชียนชักสีหน้ากลับมาแล้วเอ่ยเสียงขรึม “ทูตฝ่ายขวา ฆ่าพวกมันเสีย”

ทูตฝ่ายขวาผู้เงียบขรึมหายวับไปในทันใด และเมื่อเขาปรากฏขึ้นอีกครั้ง เขาก็อยู่ข้างหลังหยางเชียนฮ่วนและต่อยหมัดออกไปแล้ว

หมัดของเขาทะลุร่างของหยางเชียนฮ่วน สิ่งที่เขาต่อยเข้าไปนั้นเป็นเพียงภาพลวงตา

โหรชุดขาวปรากฏตัวขึ้นไกลๆ และยังคงมีท่าทีไม่แยแสเช่นเดิม

“จอมยุทธ์หยาบช้า การต่อกรกับพวกเจ้าก็เหมือนเล่นกับหนูโง่เง่า ไม่สิ เวลาหนูมันคลั่งก็ยังกัดคนได้ พวกเจ้าเป็นแค่สัตว์เลื้อยคลานเท่านั้น”

“ฆ่าเขา!” โฉวเชียนกล่างเสียงขรึม

ศิษย์พี่หยางช่างทำให้คนเกลียดได้เก่งจริงๆ…แม้แต่สวี่ชีอันก็ยังรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยเมื่อได้ยินสิ่งนี้

เมื่อกี้ไม่เห็นเขาสั่งสมพลังใดๆ เลย แต่กลับมาโผล่อยู่ข้างหลังศิษย์พี่หยางเหมือนกับแสงวาบ นี่คืออิทธิฤทธิ์การสลายแรงของขั้นห้า เป็นการควบคุมพลังของกายเนื้อได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ก่อนข้าไม่เข้าใจว่าทำไมตอนที่หยางเยี่ยนลงมือถึงได้ผลุบๆ โผล่ๆ จนมองไม่ทันแบบนั้น แต่ตอนนี้ในที่สุดก็เข้าใจแล้ว

หยางเชียนฮ่วนหยิบกล่องเหล็กออกมาจากอกเสื้ออย่างไม่รีบร้อนและไม่ช้าไป จากนั้นก็เปิดออก ทั้งปืนใหญ่และหน้าไม้ล้วนปรากฏขึ้นข้างตัวเขาทันใด เป็นการล้อมป้องกันเขาไว้ตรงกลาง

ขณะเดียวกัน ปืนไฟหลายกระบอกก็ปรากฏขึ้นด้วย พวกมันกระจายอยู่กลางอากาศรอบตัวเขา

ปืนใหญ่ หน้าไม้ และปืนไฟล้วนสลักอักขระค่ายกลเอาไว้ พลังของพวกมันมากกว่าอาวุธทั่วไปในประเภทเดียวกันถึงสิบเท่า

ค่ายกลก่อตัวขึ้นใต้ฝ่าเท้าของหยางเชียนฮ่วนแล้วครอบอาวุธหนักเหล่านี้เอาไว้ พวกมันราวกับรวมเป็นหนึ่งเดียวกับร่างกายของหยางเชียนฮ่วน และกระพริบวูบวาบไปพร้อมกันยามเขาใช้วิชาหายตัว

“จอมยุทธ์หยาบช้า ข้าจะทำให้เจ้ารู้ถึงความยิ่งใหญ่และความน่ากลัวของโหรเอง” หยางเชียนฮ่วนดีดนิ้ว

หน้าไม้ ปากกระบอกปืน และปืนใหญ่ล้วนเล็งไปที่ทูตฝ่ายขวาผู้สวมหมวกและเสื้อคลุมพร้อมๆ กัน

‘ตูม ตูม ตูม!’

‘ปัง ปัง ปัง!’’

‘ผลั่ก ผลั่ก ผลั่ก!’’

อาวุธระดมยิงออกไป

ทูตฝ่ายขวาที่มีร่างกายกระดูกเหล็กผิวทองแดงก็ยังไม่กล้าต้านกับพลังที่ระดมยิงจนแน่นขนัดและน่าสะพรึงเช่นนี้ เขาระเบิดพลังอันแข็งแกร่งของจอมยุทธ์ออกมาแล้ววิ่งวนรอบตัวหยางเชียนฮ่วน โดยคิดจะหาโอกาสโจมตีกะทันหันจากด้านข้าง

แต่หยางเชียนฮ่วนผู้สามารถหายตัวได้กลับรวดเร็วกว่าเขาเสียอีก เขาสามารถปรับเปลี่ยนตำแหน่งและทิศทางของปากกระบอกปืนได้ล่วงหน้า พลางบีบให้ทูตฝ่ายขวาต้องล้มเลิกความคิดที่จะโจมตีกะทันหันไปแล้ววิ่งล้อมเป็นวงกลมต่อ

ลูกศรปักลงบนพื้น ปืนใหญ่ทะลวงแผ่นดิน เศษหินดินทรายกระเด็นว่อนจนเกิดสะเก็ดไฟละลานตาและเสียงอันสะเทือนเลื่อนลั่น

กล่องเหล็กของหยางเชียนฮ่วนราวกับเป็นถุงสมบัติที่ไร้ที่สิ้นสุด มันสามารถเติมกระสุนและลูกศรให้หน้าไม้ไม่มีหยุด

ทันใดนั้น ทูตฝ่ายขวาที่เมื่อครู่ยังถูกแรงยิงบีบคั้นจนจนปัญญาก็หายวับไปอย่างน่าประหลาด ต่อจากนั้นชายฉกรรจ์ร่างสูงบึกบึนก็ปรากฏตัวอยู่ด้านหลังหยางเชียนฮ่วน โดยอยู่ห่างจากเขาเพียงสามฉื่อเท่านั้น

สำหรับจอมยุทธ์ขั้นสี่ระดับสูงคนหนึ่ง ระยะเท่านี้สามารถทำให้บาดเจ็บสาหัสหรือถึงขั้นสังหารยอดฝีมือในระบบฝึกตนอื่นๆ ที่อยู่ระดับเดียวกันได้แล้ว

ทั้งยังทำได้อย่างง่ายดายเสียด้วย

แต่ทูตฝ่ายขวาก็ยังคงโจมตีโดนแค่เงาติดตาเท่านั้น

‘อันตรายมาก เกือบเรือล่มในหนองอยู่แล้วเชียว…’ หยางเชียนฮ่วนปรากฏตัวขึ้นห่างออกไปหลายสิบจั้ง แผ่นหลังมีเหงื่อเย็นผุดขึ้นมา แต่โดยเผินๆ แล้วเขายังดูสงบมาก

“เจ้าใช้อาวุธเวทมนตร์หายตัวและใช้วิธีการของโหรมาต่อกรกับข้าเช่นนี้ ควรจะบอกว่าเจ้าฉลาดหรือโง่เง่าดีล่ะ ข้าคิดว่าเจ้าฉลาดมากนะ เพราะเจ้าทำให้ข้ามีความสุขจากการบดขยี้สติปัญญาได้สำเร็จ’

ในฐานะโหรคนหนึ่ง ศิษย์พี่หยางยังคงมีความเป็นมืออาชีพอยู่มาก เมื่อกี้ข้ายังหลั่งเหงื่อเย็นแทนเขาอยู่เลย ที่แท้ข้าก็กังวลไปเอง เขามีความสามารถเหลือเฟืออยู่แล้ว…สวี่ชีอันพยักหน้าช้าๆ หินก้อนใหญ่ในใจร่วงหล่น

เขาแปดเปื้อนน้ำเสียงและท่าทีนิ่งๆ เหมือนกับสุนัขแก่ๆ ของหยางเชียนฮ่วนไปแล้ว

สวี่ชีอันชักดาบออกมาโดยไม่สนใจการต่อสู้ทางฝั่งของหยางเชียนฮ่วนอีก จากนั้นก็เดินไปทางโฉวเชียนและทูตฝ่ายซ้าย “ถึงเวลาของพวกเจ้าแล้ว”

โฉวเชียนยกยิ้มมุมปากแล้วเดินเข้ามาหาพร้อมเอ่ยว่า “ทูตฝ่ายซ้าย เจ้าคุมค่ายกลให้ข้า ข้าจะไปจัดการเจ้ากระจอกนี่เอง”

ทูตฝ่ายซ้ายขมวดคิ้ว จากนั้นก็เอ่ยเตือนตามความเคยชิน “นายน้อย ร่างกายของท่านประดุจทองพันชั่ง จะเอาไปเสี่ยงได้อย่างไรขอรับ ให้ข้าร่วมมือสังหารเขากับท่านดีกว่า เช่นนี้จะเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุด การต่อสู้ชิงความอยู่รอด ไม่จำเป็นต้องใช้อารมณ์นักหรอก’

สวี่ชีอันพยักหน้า “มาพร้อมกันทั้งคู่นั่นแหละ แค่มดปลวกอย่างเจ้า ข้าก็จัดการได้เป็นสิบแล้ว”

น้ำเสียงของเขาราบเรียบ สีหน้าก็สงบนิ่ง ราวกับกำลังพูดเรื่องไร้สาระอยู่

โฉวเชียนยิ้มแสยะ “ข้าฝึกสายยุทธ์มาอย่างยากลำบากตั้งแต่เด็กโดยไม่สนวันสนคืน ถือว่าไม่แพ้ใครในรุ่นเดียวกันอยู่แล้ว คนในต้าฟ่งแต่ละคนล้วนชื่นชมว่าสวี่ชีอันมีพรสวรรค์พิเศษ เป็นอัจฉริยะไม่แพ้อ๋องสยบแดนเหนือ แต่ข้ารู้ว่าเจ้าก็แค่อาศัยสิ่งนั้นและได้รับของดีหลายอย่างติดต่อกันเพราะโชค ถึงได้มีตำแหน่งเช่นทุกวันนี้ แต่จริงๆ แล้วเจ้ามันกลวงทั้งไส้”

เขาสาวเท้าเข้าหาสวี่ชีอันแล้วยื่นฝ่ามือขวาออกไป ทูตฝ่ายซ้ายรีบเปิดกล่องไม้สีดำสนิททันที ดาบเล็กหนึ่งด้ามบินออกมาจากในกล่องแล้วขยายตัวอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นดาบยาวราวกับน้ำค้างยามฤดูใบไม้ผลิ

ดาบเล่มนี้โปร่งใสเหมือนน้ำในยามวสันต์ ราวกับจะสามารถดูดซับแสงจันทร์บนท้องฟ้าได้ ใบมีดและสันดาบมีประกายแสงราวกับมีสายน้ำปกคลุมบางๆ หนึ่งชั้น

เขารู้ถึงโชคชะตาที่ข้าแบกรับได้จริงๆ แถมยังอิจฉาเสียด้วย…สวี่ชีอันหัวร้อนขึ้นมาทันใด เขารู้สึกอยากฆ่าคนจนแทบจะทนไม่ไหว

ร่างทั้งสองหายวับไปพร้อมกัน แต่ที่แตกต่างคือบนตำแหน่งเดิมของสวี่ชีอันมีรอยเท้าลึกๆ สองร้อยที่ยุบไป แต่ของโฉวเชียนไม่มี

‘ชิ้ง!’

ชั่วขณะต่อมา กลางอากาศก็ปรากฏประกายไฟระยับตาขึ้น จากนั้นก็มีเงาร่างของคนสองคนปรากฏขึ้นมาพร้อมมีดดาบที่พุ่งเข้าหากัน

“ดาบพกของเจ้าเป็นอาวุธเวทมนตร์ที่สร้างโดยท่านโหราจารย์ แต่กระบี่เงาจันทร์ของข้าก็ไม่แพ้กัน’

จู่ๆ โฉวเชียนก็ระเบิดพลังออกมาแล้วผลักสวี่ชีอันกระเด็น ประกายดาบสิบกว่าสายไล่ตามมาจนแทบจะระเบิดออกมาพร้อมกัน มันพุ่งเข้าไปฟาดฟันทรวงอก แขนขา และลำคอของสวี่ชีอัน…และทำให้เกิดประกายไฟบาดตาเป็นชุดๆ

“ขั้นห้า?’

สวี่ชีอันที่ตอนนี้อยู่ในระดับพลังเทพวชิระขมวดคิ้วมุ่น เขารับรู้ถึงความเจ็บปวดเล็กน้อยจากบริเวณที่ถูกประกายดาบเหล่านั้นฟันลงมา

เชื่อว่ากระบี่ของอีกฝ่ายคงเป็นอาวุธวิเศษที่ไม่แพ้ดาบยาวสีดำทองแน่นอน

“ข้าบอกแล้ว หากไม่มีโชคชะตาคุ้มกาย เจ้าก็เป็นแค่เศษสวะเท่านั้น วันนี้ข้าจะขยี้เจ้าแล้วตัดแขนขาของเจ้าให้กลายเป็นท่อนไม้มนุษย์เสีย ไม่เพียงเท่านั้น ข้าจะชิงของของเจ้าไปด้วยเช่นกัน”

เมื่อพูดจบประโยคสุดท้าย เงาร่างของโฉวเชียนก็หายไป ร่างจริงของเขามาปรากฏกายอยู่ข้างๆ สวี่ชีอันแล้วออกกระบวนท่าฟาดฟันที่สมบูรณ์แบบที่สุด

สัญชาตญาณต่ออันตรายของจอมยุทธ์เอ่ยเตือนสวี่ชีอัน ทำให้เขามองเห็นภาพล่วงหน้า จากนั้นจึงยกดาบยาวดำทองมากันไว้ได้ทัน

‘ชิ้ง!’

ประกายแสงพราวระยับระเบิดออกมาอีกครั้ง สีหน้าของโฉวเชียนแข็งทื่อ ม่านตาของเขาเลื่อนลอยในช่วงสั้นๆ

กระบี่ใจ!

การโจมตีก่อนหน้านี้เป็นเพียงการทดสอบ คนผู้นี้ไม่ใช่ขั้นสี่ และไม่ได้สำรวจไปถึง ‘จิต’ เช่นนั้นกระบี่ใจของเขาก็สามารถทำให้จิตเดิมของฝ่ายตรงข้ามสั่นสะเทือนได้

สวี่ชีอันโจมตีสำเร็จ ตามมาด้วยเสียงคำรามของสิงโตที่หนวกหูจนสะเทือนจิตเดิมของอีกฝ่ายอีกครั้ง

ในเวลาเดียวกัน เขาก็เคลื่อนพลังปราณเพื่อฟาดฟันไปที่ศีรษะของฝ่ายตรงข้าม

เขาไม่มีเวลาใช้ดาบเดียวตัดฟ้าดิน และเขาต้องรีบสังหารเจ้าคนหยิ่งยโสผู้นี้ทิ้งเสียก่อนที่ชายฉกรรจ์ที่คุมค่ายกลคนนั้นจะตอบสนอง

…………………………….

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Status: Ongoing
ตั้งแต่ข้ามเวลามาเขาตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในสังคมที่ไร้ซึ่งคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ นี้ แต่ทำไมเขาถึงต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องการเมือง และอำนาจลึกลับที่อยู่เบื้องหลังราชวงศ์ต้าฟ่งแห่งนี้ด้วย!Top 5 นิยายยอดนิยมในเว็บจีนต่อเนื่อง 10 เดือน! นิยายแปลจีน สืบสวน ไขคดี ใช้ความรู้ยุคปัจจุบันผสมกับแอ็คชั่นกำลังภายในสวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท