บทที่ 139 เมินเฉย
เมื่อได้ยินถ้อยคำที่หยางกวางพูดเช่นนั้นฮวงเฟิงก็ขมวดคิ้ว เขาเองก็มีความประทับใจกับหยางกวางคนนี้เช่นกันและเขาก็อายุมากกว่าฮวงเฟิงสองสามปี
ซึ่งในความเป็นจริงแล้วภายในแผนกรักษาความปลอดภัยนั้น ฮวงเฟิงอายุน้อยที่สุด
ถึงแม้ว่าฮวงเฟิงจะมีความประทับใจต่อหยางกวางอยู่แต่ทั้งสองคนก็ไม่ค่อยได้มีปฏิสัมพันธิ์ต่อกันสักเท่าไร
เพราะว่าฮวงเฟิงนั้นเพิ่งจะเข้ามาได้ไม่นานนักและโดดเด่นในหน้าที่การงานมากกว่าเขา
เมื่อเขาตอบมาฮวงเฟิงมาเช่นนั้นเขาไม่ได้แสดงความเคารพต่อฮวงเฟิงเลยแม้แต่น้อย
เขานั่งลงตรงนั้นหลังจากที่พูดจบไม่แยแสฮวงเฟิงอีกต่อไปและหันกลับไปคุยกับคนข้างๆ
ฮวงเฟิงระงับความโกรธไว้ในใจเขารู้ว่าเขาเพิ่งจะขึ้นรับตำแหน่งและหลายๆ คนก็ยังมีข้อกังขา
พวกเขาจึงพยายามที่จะลองดีกับเขาแต่เป็นเพราะคำสั่งของซูหยูโม่ เขาจึงไม่ได้สนใจ
ดังนั้นฮวงเฟิงจึงพูดกบคนที่อยู่ข้างๆ หยางกวางว่า “ถ้าหยางกวางไม่ค่อยสบาย งั้นก็ไม่ต้องไป กวานเผิง คุณไปแทนนะ”
ในตอนนี้เมื่อเห็นว่าฮวงเฟิงกำลังพูดกับเขา และสั่งให้เขาไปที่โรงงานด้านล่าง เขาจึงมีสีหน้ายุ่งยากใจขึ้นมาทันที
“ผู้จัดการฮวงลูกของฉันเพิ่งจะเข้าโรงเรียนได้ไม่นานและแม่ของฉันก็ไปธุระต่างจังหวัด ถ้าฉันไปที่โรงงานฉันก็คงจะกลับไปรับลูกไม่ทันแน่ๆ แต่ถ้าผู้จัดการฮวงเฟิงยืนยันจะให้ฉันไป ฉันก็จะไปให้แต่ฉันน่ะมาทำงานสายทุกวัน ผู้จัดการฮวงอย่าหักค่าจ้างฉันนะ”
ลูกน้องคนนี้พูดด้วยความั่นใจราวกับว่าการทำเขามาทำงานสายนั้นไม่ใช่ความผิดของเขาแต่เป็นความผิดของฮวงเฟิง
ซึ่งฮวงเฟิงไม่สามารถตำหนิและหักเงินเดือนของเขาได้
สีหน้าของฮวงเฟิงเริ่มมีสีหน้าไม่ดี
พี่หวังที่อยู่ข้างๆจึงลุกขึ้นยืนและพูดว่า “ผู้จัดการเฟิง งั้นฉันไปเองเป็นอย่างไร?”
ปกติแล้วเขาจะเรียกฮวงเฟิงว่าเสี่ยวฮวงหรือเรียกชื่อตรงๆ แต่ในตอนนี้ฮวงเฟิงกลายเป็นผู้จัดการแล้ว จึงเห็นได้ชัดว่าเขาไม่อาจจะที่จะเรียกแบบเดิมได้อีกต่อไป
“คุณไม่จำเป็นต้องไปหรอก”ฮวงเฟิงโบกมือและขอให้พี่หวังนั่งลง
หลังจากนั้นเขาก็เดินไปตรงหน้าของคนที่ชื่่อเหลาปิงแต่เหลาปิงนั้นแสร้งทำเป็นไม่เห็นเขาและเล่นโทรศัพท์ต่อไป ไม่แม้แต่จะเหลือบตามามองฮวงเฟิง
เหลาปิงนั้นเป็นคนเก่าคนแก่ของแผนกรักษาความปลอดภัยเมื่อตอนที่บริษัทนี้ก่อตั้งขึ้น เขาก็เริ่มเข้ามาทำงานพร้อมๆ กันกับผู้จัดการหลิว
ก่อนหน้านี้ผู้จัดการหลิวได้ฉกเอาตำแหน่งผู้จัดการไปครองซึ่งก็ทำให้เขาไม่พอใจเป็นอย่างมาก
และในตอนนี้ผู้จัดการหลิวได้ถูกไล่ออกไปแล้ว เขาเองก็คิดว่าเขาคงจะมีโอกาสขึ้นมารับตำแหน่งนี้
แต่เขาก็ฝันกลางวันอยู่ได้ไม่นานเมื่อเบื้องบนมีคำสั่งแต่งตั้งผู้จัดการคนใหม่
และผู้จัดการคนใหม่นั้นก็ไม่ใช่เขาซึ่งทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้จัดการคนใหม่เป็นคนที่เด็กกว่าเขา และเพิ่งจะเข้ามาทำงาน
เขามีลูกน้องอยู่สองสามคนที่เชื่อฟังเขาและหยางกวางและกวานเผิงก็เป็นหนึ่งในนั้น
คนกลุ่มนี้จะรับผิดชอบงานที่เกี่ยวข้องของบริษัทเป็นปกติอยู่แล้วแต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะอยู่ข้างของบริษัท
ฮวงเฟิงอาจจะสั่งให้พวกเขาลงไปที่โรงงานด้านล่างได้แต่มันก็คงจะได้แค่ชั่วคราว แค่สองสามวัน
อย่างไรก็ตามในตอนที่ฮวงเฟิงได้รับการแต่งตั้งนั้นเหลาปิงก็ได้นัดแนะกันกับคนในกลุ่มของตัวเองแล้ว เกี่ยวกับคำสั่งของฮวงเฟิงเขาไม่ต้องการที่จะปฏิบัติตามและต้องการทำให้เขาอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ดีเพื่อให้งานของเขาไม่ก้าวหน้า
ด้วยวิธีนี้ผู้คนในระดับสูงก็จะได้รู้ว่าว่าหากเขาไม่มีความสามารถเขาจะถูกปลดออกจากตำแหน่งในฐานะผู้จัดการ
ดังนั้นเมื่อฮวงเฟิงจัดให้หยางกวางและกวานเผิงทำเช่นนั้นทั้งสองคนจึงหาข้ออ้างที่จะปฏิเสธเขาทันที
“หัวหน้าในเมื่อคุณก็มีเรื่องที่จะต้องไปอยู่แล้ว ทำไมคุณถึงไม่ลงไปเองซะล่ะ? คุณก็ไปอยู่ที่โรงงานสักสองสามวัน มันคงไม่นานเกินไปหรอก” ฮวงเฟิงกล่าว
“ผู้จัดการฮวงพูดกับฉันงั้นหรือ?”ในตอนนี้ เหลาปิงได้เงยหน้าขึ้นและแสร้งทำประหลาดใจมองดูฮวงเฟิง
“ขอโทษทีฉันได้ยินไม่ค่อยจะชัด ฉันอยากจะรบกวนให้ผู้จัดการฮวงพูดใหม่อีกที”
ในตอนนี้ลูกน้องคนอื่นๆภายในแผนกกำลังจ้องมองมาที่เขา เห็นได้ชัดว่าทุกคนรู้ว่าเหลาปิงพยายามที่จะลองดีกับฮวงเฟิง และยังต่อต้านเขาอีกด้วย
พวกเขาอยากจะรู้ว่าฮวงเฟิงจะทำอย่างไรแต่พวกเขาก็ไม่สามารถที่จะจัดการกับเรื่องนี้ได้ ถึงแม้ว่าเขาจะอยู่ที่ ภายใต้คำสั่งของผู้จัดการหลิว แต่ก็มีหลายครั้งที่เหลาปิงไม่เชื่อฟังคำสั่งของเขา และยิ่งไปกว่านั้นสำหรับฮวงเฟิงที่เพิ่งจะเข้ามาใหม่ ตัวเขาเองยังมีรากฐานที่ไม่มั่นคงแล้วเขาจะไปต่อกรกับเหลาปิงที่เป็นอาวุโสกว่าได้อย่างไร
พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าซูหยูโม่จะมีความไว้วางใจในฮวงเฟิงตั้งแต่ตอนที่ฮวงเฟิงเข้ารับตำแหน่ง ซูหยูโม่ก็คิดไว้อยู่แล้วว่าเขาจะต้องเจอกับปัญหาเหล่านี้ ดังนั้นเธอจึงได้มอบตำแหน่งหัวหน้าให้แก่เขาโดยตรง
“หัวหน้าเหลาฉันพูดว่า ถ้าลูกน้องของคุณงานยุ่งและโรงงานด้านล่างก็ต้องการการสนับสนุนเช่นกัน ถ้าเป็นเช่นนั้นฉันก็คงจะต้องให้หัวหน้าเหลาไปที่นั่นด้วยตัวเองแล้วล่ะ” ฮวงเฟิงกล่าวอย่างไร้ความรู้สึก
“ทำไมต้องเป็นฉันละ?ทำไมคนอื่นในทีมของฉันถึงไม่ไป? ให้คนอื่นไปไม่ได้งั้นเหรอ?” เขาไม่เคยคิดว่าเหลาปิงจะถามคำถามเช่นนี้กับฮวงเฟิง และตัวเขาเองก็ค่อนข้างจะเคารพเหลาปิง
ภายในสำนักงานนี้จริงๆ แล้วมีมากกว่าหนึ่งกลุ่ม
เมื่อได้ยินคำพูดของเขาก่อนที่ฮวงเฟิงจะทันพูดอะไรออกมา หลิวหง หัวหน้าของกลุ่มที่สองก็กระโดดขึ้นลง
“เหลาปิงนี่แกหมายความว่ายังไง ในเมื่อผู้จัดการฮวงสั่งให้ทีมของแกไป แล้วทำไมแกถึงไม่ไป นี่แกอยากจะผลักงานมาให้พวกฉันงั้นเหรอ?”
“ใช่แล้วล่ะเหลาปิง คุณนี่มันช่างไม่จริงใจเสียเลย” ใครบางคนกล่าวเสริม
“นี่พวกแกเล่นสกปรกอะไรกัน?งานหนักๆ เป็นของทีมพวกฉันตลอดเลย ครั้งที่แล้วพวกแกก็เพิ่งจะได้ประโยชน์ไป และพวกแกสองคนก็เร็วกว่าคนอื่นๆ ด้วยนะ” เหลาปิงไม่ยอมรับ
“ก็พวกฉันเหมาะสม”หลิวหงกล่าว “อย่าเปลี่ยนเรื่องสิ ผู้จัดการสั่งให้พวกแกไป ถ้าแกปฏิเสธคำสั่ง พวกแกคงจะไม่เห็นผู้จัดการอยู่ในสายตาเลยสินะ!”
หลิวหงและเหลาปิงนั้นพวกเขาต่างก็เป็นพนักงานระดับสูงของบริษัททั้งคู่ซึ่งโดยปกติแล้วพวกเขาสองคนจะไม่ค่อยลงรอยกันนัก แต่ในตอนนี้พวกเขาได้ปะทะกับฮวงเฟิงตรงๆ
“ถ้าแกมีความสามารถแกก็ไปสิ ฉันยกให้” เหลาปิงกล่าว
“ผู้จัดการสั่งให้แกไปก่อนนะ”หลิวหงกล่าว
“ไม่ต้องกังวลไปหรอกพวกคุณทุกคนต่างก็มีโอกาสเหมือนกัน ถ้าคนจากกลุ่มแรกไปได้สักพักแล้ว เราจะให้กลุ่มที่สองไปเปลี่ยน” ฮวงเฟิงกล่าวขึ้นมาทันที
“ไม่นะผู้จัดการ ทำแบบนี้ไม่ได้นะ!”
ผู้ที่ต่อต้านในครั้งนี้คือหลิวหงในขณะที่เหลาปิงหัวเราะเยาะอยู่ข้างๆ
ฮวงเฟิงคนนี้ไม่รู้ว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรถ้าเขาโดนปลดเขาก็จะมีโอกาส แต่จริงๆ แล้วเขาก็ไม่พอใจทั้งสองคนดังนั้นเขาอาจไม่ต้องการนั่งในตำแหน่งผู้จัดการอีกต่อไป
บทที่ 140 ค่อยๆคุยกันดีไหม
”ทำไมจะไม่ได้ล่ะ?”ฮวงเฟิงถาม
ใช่ทำไมจะไม่ได้ล่ะ? คำพูดของฮวงเฟิงทำให้หลิวหงถงกับตะลึงงัน
ในตอนนี้ฮวงเฟิงเป็นผู้จัดการมันก็มีเหตุผลเป็นอย่างยิ่งที่เขาจะจัดให้พวกเขาลงไปที่โรงงานเพื่อเป็นเสริมกำลังให้เขา
ซึ่งเขาก็มีสิทธิ์
เพียงแต่เขาไม่เคยคิดว่าฮวงเฟิงจะกำหนดเป้าหมายกลุ่มแรกอย่างชัดเจน และยังพูดกับเขา เขาไม่เคยคิดว่าฮวงเฟิงเด็กหนุ่มที่โง่เขลานั้นจะกล้ามาสั่งเขา
แน่นอนว่าหลิวหงไม่เต็มใจที่จะลงไปข้างล่าง เพราะว่าที่ไหนจะสบายเท่าที่โรงงาน? แล้วยังต้องทำงานล่วงเวลาบ่อยๆ ด้วย ไม่เหมือนที่อยู่ที่นี่ที่ทำงานตามเวลา ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งแวดล้อมก็ดี และอาหารก็ดีด้วย แล้วจะเขาเต็มใจไปได้อย่างไร?
ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ดูถูกฮวงเฟิงอยู่ในใจมิฉะนั้นเขาคงจะไม่โพล่งออกไปว่าเขาไม่สามารถรับมันได้อีกแล้ว
“เพราะว่าพวกเราจะต้องอยู่เคียงข้างบริษัทและไม่ค่อยชินกับโรงงานที่อยู่ด้านล่าง พวกเราก็เลยไม่ค่อยอยากไปที่นั่น” หลิวหงกล่าว
“ฉันก็ไม่ได้ขอให้พวกคุณไปอยู่ที่นั่นมันก็แค่ช่วงเวลาสั้นๆ และเพราะว่าพวกเราเป็นเจ้าหน้ารักษาความปลอดภัย พวกเราจึงต้องไปลาดตระเวน พวกเราจะไปตรวจสอบว่ามีปัญหาอะไรที่พวกเราพอจะแก้ไขได้บ้าง?” ฮวงเฟิงกล่าว
หลิวหงถึงกับอึ้งแต่ก็ยังเห็นได้ชัดว่าเขาไม่พอใจที่กับการจัดการของฮวงเฟิง
ด้วยที่มีหลายคนจ้องมองอยู่ถ้าเขาเชื่อฟังฮวงเฟิง แล้วเขาจะอยู่ที่นี่ต่อไปได้อย่างไร? เพราะเขาอาวุโสกว่า และฮวงเฟิงก็ยังเป็นไอ้ไก่อ่อน
ดังนั้นหลิวหงจึงทำเช่นเดียวกันกับเหลาปิง เขาไม่ยอมลงไปที่โรงงานด้านล่าง ถึงแม้ว่าจะต้องไปแค่สองสามวันแต่พวกเขาเพียงต้องการที่จะต่อต้านฮวงเฟิงเพราะไม่อยากให้งานของฮวงเฟิงในฐานะผู้จัดการราบรื่นเท่าใดนัก
“พวกเขาก็ไม่ไปเหมือนกัน”หลิวหงไม่มีทางเลือก
ฮวงเฟิงจึงไม่กวนใจหลิวหงอีกต่อไปและมองตรงไปยังหัวหน้าทีมของกลุ่มที่สามและถามว่า “แล้วพวกคุณล่ะ ไม่เต็มใจที่จะไปเหมือนกันใช่รึเปล่า?”
“ลูกน้องของผมต่างก็พากันพักอาศัยอยู่ในเมืองมันไม่ค่อยสะดวกที่จะต้องเดินทางไปกลับ” หัวหน้ากลุ่มที่สามกล่าว
ถึงแม้ว่าเขาและหัวหน้ากลุ่มสองและกลุ่มหนึ่งจะไม่ค่อยลงรอยกันนัก
แต่พวกเขาก็มีความคิดเห็นเหมือนกันที่จะคว่ำบาตรฮวงเฟิง
ฮวงเฟิงพยักหน้าแสดงให้เห็นว่าเขาเข้าใจ
เขาหมุนตัวกลับและมองไปยังคนรอบๆตัวเขา
นอกไปจากพี่หวังแล้วรปภ.ทั้งหลายต่างพากันมองดูเขาเหมือนกับตั้งใจดูโชว และฮวงเฟิงก็รู้ดีว่าในใจของพวกเขาคิดอะไร
เพียงแค่ว่าเขาต้องการที่จะแก้ปัญหาครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อที่เขาจะได้ดูแลหนึ่งในนั้น
ทั้งในวันนี้และในอนาคตก็จะมีคนอื่นๆที่จะกระโดดออกมาคัดค้านในการทำงานของพวกเขา
ถ้าเขาไม่ได้วางแผนเรื่องนี้เอาไว้เมื่อพี่หวังยืนขึ้นในตอนนี้เขาก็จะตอบตกลงทันที
แน่นอนว่าฮวงเฟิงไม่เคยคิดที่จะเปลี่ยนเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งหมดเพราะมันจะเป็นจริงมากขึ้น
ท้ายที่สุดคนเหล่านี้หลายคนก็เป็นคนเก่าคนแก่มาก่อนและตัวเขาเองก็ต้องการคนที่สนับสนุนพวกเขาในด้านจิตใจด้วย
ด้วยวิธีนี้การทำงานในอนาคตของเขาก็จะง่ายขึ้นมากและสำหรับคนเหล่านี้ที่ชอบเล่นกับความอาวุโสพวกเขาจะไปทุกที่ที่พวกเขาชอบและไม่อยู่เคียงข้างเขาอีกต่อไป
ฮวงเฟิงไมไ่ด้พูดอะไรอีกแต่มองดูที่โทรศัพท์ของเขาและกดหมายเลขโทรศัพท์ “ฮัลโหล นั่นใช่ผู้จ้ดการจางใช่ไหม? สวัสดีครับ ผมฮวงเฟิงนะ ผมรบกวนคุณมาที่นี่ได้ไหม?” ใช่ ผมมีเรื่องที่ต้องดูแล โอเค ขอบคุณ”
เมื่ออีกฝ่ายเห็นว่าฮวงเฟิงกำลังโทรศัพท์และพวกเขาก็ไม่รู้ว่าเขากำลังโทรหาใคร แต่พวกเขาก็รู้สึกอึดอัดในใจทันที
การแสดงออกของฮวงเฟิงเห็นได้ชัดว่าแตกต่างไปจากที่พวกเขาคาดคิดไว้มาก
พวกเขาคิดว่าฮวงเฟิงจะถูกฉีกหน้าต่อหน้าของทุกคนและ
และทั้งวู่วามและโกรธเคืองหรือเขาจะเพียงแค่อดทนและเดินจากไปเอง
แต่ตอนนี้ใบหน้าของฮวงเฟิงไม่ได้มีอาการตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อยไม่แม้แต่จะโกรธ เขาช่างดูสงบเยือกเย็นจนทำให้คนพวกนั้นรู้สึกไม่สบายใจ
พวกเขาไม่รู้ว่าฮวงเฟิงกำลังคิดอะไรอยู่หรือเขาโทรหาใคร
“อืมผู้จัดการฮวง ฉันคิดว่าพวกเราจะยังคุยกันเรื่องนี้ได้นะ”
ในเวลานี้เหลาปิงที่สังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ
จู่ๆก็พูดขึ้น แม้ว่าเขาจะเป็นจิ้งจอกเฒ่าและเขาไม่รู้ว่าฮวงเฟิงกำลังคิดอะไรอยู่
แต่เขาก็รู้สึกถึงอันตรายที่อยู่ข้างหน้าและเริ่มคิดที่จะถอยหลัง
แต่ตราบใดที่พวกเขาต่อรองกันได้การตัดสินใจของฮวงเฟิงในตอนนี้ก็จะยังไม่เกิดขึ้น
“ใช่แล้วมันเป็นไปไม่ได้แล้วที่จะมาหารือกัน” ผู้นำของกลุ่มสองและกลุ่มสามต่างก็เป็นคนฉลาดดังนั้นพวกเขาจึงพูดขึ้นมาทันที
อย่างไรก็ตามฮวงเฟิงส่ายหัวและพูดว่า “ไม่จำเป็น”
เหลาปิงและคนอื่นต่างมองหน้ากันเขาไม่รู้ว่าฮวงเฟิงกำลังวางแผนอะไรอยู่ หรือทำไมเขาจึงพูดเช่นนั้น
แต่พวกเขาก็เห็นผู้จัดการจางฝ่ายบุคคลเข้ามาอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นร่างของผู้จัดการจางหัวใจของพวกเขาก็เต้นรัวอยู่ครู่หนึ่ง และพวกเขารู้สึกสังหรณ์ไม่ดีในใจ
แต่พวกเขารู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้จะเก่งขนาดนั้นเลยเหรอ?
“ผู้จัดการฮวง”เมื่อเห็นสถานการณ์ในปัจจุบัน เธอก็สามารถเดาได้อย่างคร่าวๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่
ถึงแม้ว่าเธอจะไม่รู้อย่างแน่ชัดแต่คนเหล่านี้ คนที่ยึดติดกับคำว่าอาวุโส คงจะจงใจที่จะสร้างปํญหาให้แก่ฮวงเฟิงอย่างแน่นอน
เพียงแต่ว่าพวกเขาไม่รู้ถึงความแตกต่างระหว่างร้องขอความตายและร้องขอชีวิต
ฮวงเฟิงเป็นใคร?ถึงแม้ว่าเขาจะเพิ่งมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นานนัก แต่ความสัมพันธ์ของเขากับซูหยูโม่ก็ค่อนข้างดีและจางหยุนเองก็พอจะเอาอะไรๆ ได้
แต่ในวันนี้ซูหยูโม่ได้โทรหาเธอด้วยตัวเองและขอให้เธอให้ความร่วมมือกับการกระทำของเขา
ดังนั้นไม่ว่าฮวงเฟิงจะตัดสินใจอะไรก็ตามหากว่ามันเกี่ยวข้องกับงานรักษาความปลอดภัย เขาก็ไม่จำเป็นต้องแจ้งให้เธอทราบอีกต่อไปและสามารถทำตามคำแนะนำของฮวงเฟิงได้โดยตรง
กล่าวคือสำหรับคนในแผนกรักษาความปลอดภัยไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ได้หรือไม่ และพวกเขาจะทิ้งใครไว้ข้างหลังหรือแม้กระทั่งให้ใครขึ้นเงินเดือนหรือจะหักเงินเดือนใครทั้งหมดจะถูกกำหนดโดย ฮวงเฟิงทั้งสิ้น
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจงใจสร้างปัญหาให้แก่ฮวงเฟิง เขาไม่ได้อยากตายใช่ไหม?
แน่นอนว่าหลังจากได้รับโทรศัพท์ของซูหยูโม่จางหยุนก็คาดเดาได้มากขึ้น
ไม่ใช่ว่าซูหยูโม่จะไม่รู้ถึงการคาดเดาบางอย่างของจางหยุน
เธอได้จัดให้ฮวงเฟิงขับรถให้เธอในตอนแรกเพื่อให้ซูหยูโม่สามารถมองเห็นบางส่วนได้
อย่างไรก็ตามในเวลานั้นเธอไม่ได้มีความคิดใดๆต่อฮวงเฟิง ดังนั้นเธอจึงไม่สนใจเขา
ในเวลานี้เธอจะไม่ยอมปล่อยจางหยุนไปเช่นกันเพราะเธอรู้ว่าจางหยุนเป็นคนฉลาดที่จะไม่พูดเรื่องไร้สาระหรือเผยแพร่ข้อมูลใดๆ
นอกจากนี้หากเธออยู่ที่นี่เธอก็จะดูแลฮวงเฟิงได้นิดหน่อยและไม่จำเป็นต้องก้าวเข้ามาด้วยตัวเอง