ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง – บทที่ 415 จักรพรรดิหยวนจิ่ง “เมล็ดบัวของข้าเล่า”

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 415 จักรพรรดิหยวนจิ่ง “เมล็ดบัวของข้าเล่า”

บทที่ 415 จักรพรรดิหยวนจิ่ง “เมล็ดบัวของข้าเล่า”

ภายในประตูหิน เสียงของชายชราแฝงไว้ด้วยรอยยิ้ม

“ก่อนอื่น ต้องรู้ว่าท่านโหราจารย์คนปัจจุบันกำลังวางแผนอะไรอยู่ ท่านโหราจารย์รุ่นแรกไม่ฆ่าเจ้า เพราะต้องการขโมยโชคชะตา หากเจ้าตาย โชคชะตาก็จะกลับคืนสู่ต้าฟ่ง คนที่ชื่อจีเชียนพูดเช่นนี้ ใช่หรือไม่”

สวี่ชีอันพยักหน้า

ชายชราพูดต่อ “แต่คำกล่าวนี้มีช่องโหว่ หากเป็นเช่นนั้น ท่านโหราจารย์คนปัจจุบันก็เพียงแค่ต้องฆ่าเจ้า เพื่อทำลายแผนของอีกฝ่าย”

สวี่ชีอันร้อง ‘อืม’ ออกมา “ดังนั้นท่านโหราจารย์คนปัจจุบันยังมีเป้าหมายอื่นอีก หรือบางทีจีเชียนอาจจะเข้าใจผิด”

ชายชรากล่าวชม “เจ้าฉลาดมากจริงๆ พวกเราเป็นทหาร ด้วยบุคลิกของทหาร เมื่อเจอเรื่องเช่นนี้ ไม่จำเป็นต้องลังเลแม้แต่น้อย คว่ำโต๊ะทันที”

“คว่ำได้หรือขอรับ” สวี่ชีอันเอ่ยเสียงขรึม

“เจ้าก็สะสมกำลังและหาทางเอาตัวรอดไปก่อน ไม่ว่าท่านโหราจารย์ทั้งสองรุ่นจะแข็งแกร่งเพียงใด แต่มีสิ่งหนึ่งที่เป็นความจริง นั่นคือโชคชะตาอยู่ภายในร่างกายของเจ้า มันคือพลังของเจ้าและมันกลายเป็นที่พึ่งของเจ้า นี่เป็นความจริงที่ท่านโหราจารย์ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ เจ้าเป็นคนฉลาด เจ้าน่าจะเข้าใจความหมายของข้า”

ชายชรากล่าว

“ในส่วนของการสะสมกำลัง ไม่รู้ว่าจะมีผู้อาวุโสหรือไม่” สวี่ชีอันหัวเราะ

ชายชราเงียบไปครู่หนึ่งและเอ่ยเรียบๆ “เจ้ามาร่วมงานเลี้ยงที่ภูเขาเฉวี่ยนหรงก็เพื่อการนี้สินะ”

สวี่ชีอันพยักหน้าและส่ายหน้า “ข้าเพียงแค่ลองเสี่ยงดูเท่านั้น บังเอิญข้าโชคดีพอดี”

ชายชราหัวเราะ “ได้ หากเจ้าสามารถหารากบัวเก้าสีมาให้ข้าได้ ข้าจะช่วยเจ้า!”

สวี่ชีอันเกิดความลังเล “ชิ้นเล็กๆ ได้หรือไม่”

ชายชราถามกลับ “รากบัวชิ้นเล็กๆ สามารถช่วยให้ข้าเลื่อนสู่ขั้นสองได้หรือ”

ดูท่าแล้วคงต้องการรากบัวทั้งราก อย่างน้อยก็ส่วนใหญ่ หากเป็นเช่นนี้ รากบัวที่อยู่ในมือข้าก็ไร้ประโยชน์…และรากบัวเก้าสีก็เป็นสมบัติล้ำค่าของนิกายปฐพี นักบวชเต๋าจินเหลียนไม่มอบมันให้ข้าอย่างแน่นอน เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องคิด

“เป็นของอย่างอื่นแทนได้หรือไม่“ สวี่ชีอันไม่ได้เกี่ยวพันกับรากบัวอีก

“อาจจะ!“ ชายชรากล่าว

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง สวี่ชีอันก็ถามว่า “ท่านเคยเจอท่านโหราจารย์เมื่อห้าร้อยปีก่อนคนนั้นหรือไม่”

“เคยเจอ!”

ชายชราให้คำตอบยืนยันและหัวเราะต่อ “ตอนนั้นเขายังไม่ได้บุกเบิกระบบโหร มีเรื่องน่าสนใจ ผู้ชายคนนั้นเป็นชายหนุ่มที่งดงามดุจผกา อืม เหมือนกับชายหนุ่มที่เจ้าพาขึ้นภูเขา เขาอยู่กับจักรพรรดิเกาจู่แห่งต้าฟ่งตลอดทั้งวันราวกับเงาตามตัว เป็นคนที่ฉลาดสุดขั้ว ให้ความสำคัญกับความรัก ให้ความสำคัญกับความน่าเชื่อถือ แต่ดันทุรังเล็กน้อย จริงสิ ความปรารถนาของทั้งสองคนเหมือนกัน ไม่แสวงหาชีวิตยืนยาว”

ฟังเจ้าพูดแล้ว เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่ารุ่นแรกกับเกาจู่ตกหลุมรักกัน…สวี่ชีอันพร่ำบ่นในใจ

งดงามเหมือนกับผู้หญิง ให้ความสำคัญกับความรัก ให้ความสำคัญกับความน่าเชื่อถือ ดันทุรังและไม่แสวงหาชีวิตยืนยาว!

เขาจดจำประเด็นหลักเหล่านี้อย่างเงียบๆ และประสานมือคำนับ “หากผู้อาวุโสไม่มีธุระแล้ว เช่นนั้นผู้น้อยขอตัวก่อน”

เสียงของชายชราดังมาจากข้างหลัง

“จะกำจัดโชคร้ายที่ใกล้เข้ามาของตัวเองอย่างไร เจ้าคิดไว้แล้วใช่หรือไม่”

“ผู้อาวุโสรอก่อนเถิด บางทีอีกไม่นาน ฆ้องเงินสวี่อาจจะกลายเป็นประวัติศาสตร์ บางทีเขาอาจจะทำเรื่องที่ทำให้จิ่วโจวตื่นตระหนก” สวี่ชีอันไม่หันกลับ

“ข้าจะคอยดู” ชายชราหัวเราะ

หลังออกจากด้านหลังเขา แสงแดดสีแดงทองก็ส่องไปทั่วทั้งยอดเขา เขาเดินไปที่ลานของตัวเอง เวลานี้เฉาชิงหยางได้แยกย้ายทุกคนแล้วและนำหยางชุยเสวี่ยกับยอดฝีมือขั้นสี่คนอื่นๆ มารอเขาที่ประตูลาน

“บรรพชนคุยอะไรกับเจ้าหรือ”

“ฆ้องเงินสวี่ ปราณดาบเมื่อสักครู่นี้มันเกิดอะไรขึ้น…”

“ฆ้องเงินสวี่ ให้ข้าดูดาบพกของเจ้าหน่อยได้หรือไม่”

เจ้าลัทธิกับเหล่าหัวหน้ากรูกันเข้ามา

ผู้ดูแลหอหมื่นบุปผาเซียวเยว่หนูสวมเสื้อคลุมสีชมพูยืนสำรวมอยู่ข้างๆ ไม่พูดไม่จา แต่นัยน์ตาคู่งามมองไปที่สวี่ชีอันอย่างเงียบๆ เต็มไปด้วยความคาดหวัง

“เรื่องที่ผู้อาวุโสเฒ่าคุยกับข้านั้นเป็นความลับ ไม่อาจบอกคนนอกได้ ส่วนมัน…”

สวี่ชีอันหยิบดาบไท่ผิงที่แขวนไว้ตรงเอวมาตั้งบนพื้นและเลิกคิ้วยิ้ม “พวกเจ้าคนใดสามารถดึงมันออกมาได้ก็ลองดู”

“แค่ดาบเล่มหนึ่งเท่านั้นเอง”

หัวหน้าขั้นสี่ที่ใช้ดาบคนหนึ่งก้าวไปข้างหน้าด้วยสายตาเร่าร้อน เขาถูมือ จับด้ามดาบไว้และออกแรงดึง

ดึงไม่ออก

ออกแรงอีกครั้ง

ยังคงดึงไม่ออก

‘นี่…’ ทุกคนประหลาดใจและล้อมวงเข้ามา

“ไปให้พ้นๆ”

หัวหน้าคนนั้นไล่ทุกคนออกไป เขารู้สึกเสียหน้าเล็กน้อย กล้ามแขนขยายใหญ่และพลังปราณก็ระเบิดอย่างรุนแรง

‘ชิ้ง!’

ดาบไท่ผิงออกจากฝักและถูกดึงออกมาอย่างกะทันหัน

วินาทีต่อมา หัวหน้าคนนั้นก็ชักมือกลับราวกับไฟฟ้าช็อต ฝ่ามือเจ็บแสบเหลือคณานับ

ดาบไท่ผิงดูเหมือนจะขุ่นเคืองเล็กน้อย คมดาบหันมา เล็งไปที่หัวหน้าคนนั้นและแทงออกไป

หนึ่งคนหนึ่งดาบไล่ล่ากัน

“อา อาวุธวิเศษ…”

“ดาบเล่มนี้คืออาวุธวิเศษหรือ เหตุใดก่อนหน้านี้ถึงไม่รู้สึก”

“อาวุธวิเศษมีจิตวิญญาณ หากไม่ใช่เจ้านายจะไม่สามารถดึงและใช้มันได้ ท่านอาศัยพละกำลังอันดุร้ายบังคับดึงดาบออกมา จึงทำให้มันโกรธ”

ทุกคนมองตาค้างและตกตะลึง พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าดาบพกของสวี่ชีอันจะเป็นอาวุธวิเศษ แม้ว่าพวกเขาจะเห็นนิมิตตามธรรมชาติด้วยตาตัวเองเมื่อสักครู่นี้ แต่ก็ไม่มีใครเชื่อมโยงมันกับดาบพก ทุกคนล้วนคิดว่าฆ้องเงินสวี่ตื่นรู้

ทหารขั้นสี่เหล่านี้ต่างก็มองดาบไท่ผิงและเผยสีหน้าน้ำลายหกออกมา

อาวุธวิเศษ

นี่คืออาวุธที่เหนือกว่าอาวุธเวทมนตร์ อาวุธวิเศษทุกชิ้นล้วนมีจิตสำนึกที่เป็นอิสระและหลุดออกจากขอบเขตของอาวุธในระดับหนึ่ง

เหมือนกับเป็นมิตรสหายมากยิ่งขึ้น

ขณะเดียวกัน อาวุธวิเศษยังสามารถสะสมปราณดาบด้วยตัวเองได้และเผชิญหน้ากับศัตรูด้วยตัวเองได้

ยืมคำพูดเมื่อชาติที่แล้วของสวี่ชีอัน ‘ข้าเป็นอาวุธที่โตเต็มวัยแล้ว ข้าสามารถต่อสู้ด้วยตัวเองได้’

สำหรับเหล่าจอมยุทธ์พเนจร อาวุธเวทมนตร์สามารถนับว่าเป็นมรดกสืบทอดของวงศ์ตระกูลได้ จากพ่อสู่ลูก จากลูกสู่หลาน และสำหรับองค์กรในยุทธภพ อาวุธวิเศษสามารถนับว่าเป็นสมบัติของนิกายได้

เหนืออาวุธวิเศษยังมีของวิเศษอีก

ความแตกต่างระหว่างอาวุธวิเศษกับของวิเศษไม่ได้ดูกันที่วิธีการโจมตีและการสังหาร แต่เป็นความพิเศษกับเอกลักษณ์

ดาบไท่ผิงเป็นอาวุธ มีคุณสมบัติเดียว ดังนั้นมันจึงเป็นอาวุธวิเศษ ไม่ใช่ของวิเศษ

ดาบเจิ้นกั๋วเป็นทั้งอาวุธวิเศษและของวิเศษ เพราะมันสามารถระงับโชคชะตาของอาณาจักรได้ นี่เป็นจุดที่ทำให้มันแตกต่างออกไป

อีกตัวอย่างหนึ่งคือชิ้นส่วนหนังสือปฐพี ปัจจุบันคุณสมบัติของมันมีเพียงสองอย่างเท่านั้น ส่งข้อความกับเก็บของ

ทว่านี่ไม่ใช่คุณสมบัติที่แท้จริงของ ‘หนังสือปฐพี’ แต่เป็นคุณสมบัติของชิ้นส่วน

หนังสือปฐพีฉบับสมบูรณ์มีอิทธิฤทธิ์อะไร นักบวชเต๋าจินเหลียนไม่เคยบอกผู้ถือครองชิ้นส่วนเลย

‘ฆ้องเงินสวี่มีอาวุธวิเศษ…’

“กลับมา”

สวี่ชีอันเอ่ยเสียงเรียบ

ดาบไท่ผิงก็เหมือนกับสุนัขฮัสกี้ที่ไม่เชื่อฟังและไล่ฟันหัวหน้าซุนอีกพักหนึ่ง จากนั้นก็กลับมาอยู่ข้างๆ สวี่ชีอันอย่างขุ่นเคืองและวนอยู่รอบตัวเขา

“ปัญญาวิญญาณถือกำเนิดขึ้นและยังมีพื้นที่ให้เติบโตอีกมาก ต่อมาเจ้าก็ใช้พลังปราณหล่อเลี้ยง อย่างดีที่สุดก็สามารถใช้มันเลี้ยงจิตได้ มันจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างช้าๆ” ดวงตาของเฉาชิงหยางฉายแววอิจฉาออกมา

กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์มีอาวุธเวทมนตร์มากมาย แต่ไม่มีอาวุธวิเศษสักชิ้น

ยิ่งกว่านั้น สิ่งที่เขาฝึกฝนคือจิตดาบ ซึ่งตรงกับความต้องการของเขาพอดี แม้จะได้ชื่อว่าเป็นผู้นำกลุ่มพันธมิตร เขาก็ไม่อาจรักษาความสงบนิ่งไว้ได้

ในเวลานี้เอง เซียวเยว่หนูก็เอ่ยอย่างนุ่มนวล “ข้าได้ยินว่าอาวุธวิเศษจำเป็นต้องตั้งชื่อให้และชื่อกับดาบจะมีความหมายที่ไม่อาจแยกกันได้ ไม่ทราบว่าดาบของฆ้องเงินสวี่เล่มนี้ชื่ออะไรหรือ”

หยางชุยเสวี่ยและคนอื่นๆ มองสวี่ชีอันทันที

“ผู้ดูแลหอเซียวช่างรอบรู้ยิ่งนัก”

สวี่ชีอันจับด้ามดาบ เขาเคาะสันดาบและพูดว่า “ดาบชื่อไท่ผิง ซึ่งหมายถึงสันติภาพในใต้หล้า หากมีความอยุติธรรมก็จะถูกมันฟาดฟัน”

ทุกคนต่างพากันนับถือ

‘สันติภาพในใต้หล้า กำจัดความอยุติธรรมในใต้หล้าให้หมดสิ้น…’ สีหน้าของเซียวเยว่หนูมึนงงเล็กน้อย นางมองสวี่ชีอันอย่างสับสน

หลังจากทานอาหารกลางวัน สวี่ชีอันกับหนานกงเชี่ยนโหรวก็กล่าวลาทุกคนในกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ ขี่ม้าสองตัวและเดินทางไปตามถนนหลวงอย่างไม่เร่งรีบ

“หนานกง ท่านรอบรู้มากกว่าข้า เคยได้ยินชื่อสวี่โจวหรือไม่”

“ไม่เคยได้ยิน” หนานกงเชี่ยนโหรวเอ่ยเสียงเรียบ

ตอบเร็วเช่นนี้ แค่มองก็รู้ว่าไม่มีความจริงใจ…สวี่ชีอันก่นด่าในใจ ทั้งสองคนวิ่งไปตามถนนหลวงเป็นเวลานาน แต่ไม่เคยพบเห็นหลี่เมี่ยวเจินกับฉู่หยวนเจิ่นกลับมาเลย

สองคนนี้ลืมข้าไปแล้วหรือ ข้าขี่ม้ากลับเมืองหลวงยังต้องใช้เวลาถึงครึ่งเดือน กระบี่บินจะไปเร็วได้อย่างไร…สวี่ชีอันวางแผนจะอาศัยปีกล่องหนของตัวเองบินกลับ

ดังนั้นเขาจึงพูดว่า “ขี่ม้าช้าเกินไป พวกเราบินกลับจะดีกว่า”

หนานกงเชี่ยนโหรวเยาะเย้ย “ดาบหักๆ ของเจ้าแบกคนไม่ได้หรอก”

ดูถูกกันหรือ สวี่ชีอันหยิบม้วนตำราวรยุทธ์ของลัทธิขงจื๊อออกมาต่อหน้าหนานกงผู้รูปงาม เขาฉีกออกมาหนึ่งหน้าและสะบัดมือจุดไฟ “ข้ามีปีกล่องหน”

หนานกงเชี่ยนโหรวสังเกตเห็นอากาศบริเวณรอบๆ หมุนวนไปมาอย่างชัดเจนและได้ยินเสียงกระพือปีกรางๆ ราวกับว่ามีปีกคู่หนึ่งกางออกมาในทันใด

“เหตุใดเจ้าถึงไม่เคลื่อนย้ายในฉับพลันล่ะ ตัวอย่างเช่น ตำแหน่งของข้าคือประตูเมืองเมืองหลวง” หนานกงเชี่ยนโหรวลังเลอยู่ครู่หนึ่งและเสนอความคิดเห็นของตัวเอง

“ไม่ใช่ว่าข้าไม่ฉลาดพอ การอัญเชิญปีกมาคู่หนึ่ง อย่างมากข้าก็คอเบี้ยวไปสองสามวัน แต่หากทำตามที่เจ้าพูด พวกเราจะกลับเมืองหลวงได้ในทันที แต่คนในเผ่าคงมากินข้าวที่บ้านของข้าอีก” สวี่ชีอันหัวเราะเยาะตัวเองอย่างขบขัน

เขาจับไหล่ของหนานกงเชี่ยนโหรวและบินขึ้นไปบนฟ้า

ทั้งสองคนบินๆ หยุดๆ และพวกเขาก็มาถึงเมืองที่ดีที่สุดในที่ราบตอนกลางตอนเช้าตรู่ของอีกวันในที่สุด

คอของสวี่ชีอันบิดเบี้ยวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อจะมองดูผู้คน เขาก็ต้องหรี่ตามอง

การไปพบเว่ยเยวียนในสภาพเช่นนี้นับเป็นการไม่ให้เกียรติ สวี่ชีอันตั้งใจว่าจะกลับบ้านไปพักผ่อนก่อนหนึ่งวันแล้วพรุ่งนี้ค่อยไปเล่นพูดความจริงหรือรับคำท้ากับเว่ยเยวียน

เพิ่งกลับมาถึงจวน สวี่หลิงอินที่มาเพราะทราบข่าวก็พูดอย่างมีความสุข “พี่ใหญ่ๆ…”

เมื่อเห็นว่าสวี่ชีอันกลับมามือเปล่า ความกระตือรือร้นของนางก็ลดลงไปมากกว่าครึ่ง

สวี่หลิงอินเอียงศีรษะและถามว่า “พี่ใหญ่ พี่ไม่ได้นำของขวัญกลับมาเลยหรือ เมื่อก่อนพี่ใหญ่ออกไปเที่ยวก็นำของขวัญกลับมาด้วยทุกครั้ง”

สวี่ชีอันเอียงศีรษะ “ครั้งนี้พี่ใหญ่มีธุระ จึงไม่ได้นำของขวัญกลับมา เหตุใดเจ้าถึงเอียงศีรษะ”

“ข้ากำลังเลียนแบบพี่ใหญ่” สวี่หลิงอินยังคงเอียงศีรษะ

สวี่ชีอันเอียงศีรษะมองนาง

สวี่หลิงอินก็เอียงศีรษะมองเขาเช่นกัน

ทนไม่ไหวแล้ว ช่างเป็นเด็กที่โง่เขลาจริงๆ ไม่รู้ว่าให้นางกินเมล็ดบัวแล้วจะฉลาดขึ้นบ้างหรือไม่

ไม่ได้ แบบนั้นจะสิ้นเปลืองเกินไป

“เหตุใดท่านอาจารย์ของข้าถึงยังไม่กลับมา ข้าแอบเก็บขาไก่มากมายไว้ให้นาง ของพี่ใหญ่ก็มีเช่นกัน” สวี่หลิงอินเอียงศีรษะถาม

ในเวลานี้เอง อาสะใภ้ออกมาจากห้องโถงและกล่าวอย่างโกรธเคือง “ข้าโยนขาไก่ที่เจ้าแอบเก็บไว้ในรองเท้าทิ้งไปแล้ว มันกินได้หรือ เจ้าไม่กลัวท้องเสียหรืออย่างไร”

เสี่ยวโต้วติงเอียงศีรษะ นางกระโดดอย่างไม่ยินยอมและพูดเสียงดัง “ท่านแม่โยนทิ้งที่ใด ข้าจะไปเก็บกลับมาให้ท่านอาจารย์กับพี่ใหญ่กิน”

ความกตัญญูกตเวทีของเจ้าจบลงแล้ว…สวี่ชีอันพูดว่า “พี่ใหญ่ไม่ต้องการแล้ว เก็บกลับมาให้ลี่น่ากินเถิด”

วันรุ่งขึ้น

เทียนจีกับเทียนซูกลับมายังเมืองหลวงในที่สุด พวกเขาได้นักพรตของนิกายปฐพีควบคุมกระบี่บินมาส่งจนสุดทางก่อน

แต่นักพรตของนิกายปฐพีขาดความอดทนและมีอารมณ์ฉุนเฉียว พวกนักพรตส่งพวกเขาที่เขตเจียงโจวซึ่งอยู่ติดกับเมืองหลวง จากนั้นก็ทิ้งเหล่าสายลับของไหวอ๋องให้เดินไปเอง

หลังจากผ่านเส้นทางน้ำในตอนกลางคืน เหล่าสายลับก็กลับมาถึงเมืองหลวงในที่สุด

เมื่อเข้าสู่เขตพระราชฐาน เทียนจีกับเทียนซูเข้ามาจากประตูทิศใต้ของเขตพระราชฐาน โดยปกติแล้วประตูทิศใต้มีผู้คนเข้าออกน้อยมาก เพราะบริเวณนี้อยู่ติดกับหอพักของเหล่าขันที

เวลานี้จักรพรรดิหยวนจิ่งเพิ่งทานอาหารเช้าเสร็จและกำลังวางแผนจะออกไปนอกพระราชวัง เพื่อไปทำวัตรเช้ากับราชครูที่อารามรัตนะ

ขันทีรีบมารายงานและบอกว่าสายลับที่ไปปฏิบัติภารกิจที่เจี้ยนโจวกลับมายังเมืองหลวงแล้ว พวกเขาเพิ่งเข้ามาในวังและรอเรียกเข้าเฝ้าอยู่ด้านนอก

“เรียกพวกเขามาที่ห้องทรงพระอักษร”

ใบหน้าของจักรพรรดิหยวนจิ่งเผยรอยยิ้มออกมา เขามองไปทางคนสนิทที่อยู่ข้างกายและพูดอย่างสบายๆ “ได้ยินว่าเมล็ดบัวของนิกายปฐพีสามารถบันดาลทุกสิ่งได้ แม้แต่ก้อนหินก็สามารถตรัสรู้ได้

“คนสนิท เจ้าบอกว่าหากข้าได้รับเมล็ดบัว ข้าจะสามารถชดเชยความบกพร่องด้านพรสวรรค์ได้ใช่หรือไม่”

ขันทีชราฉีกยิ้มถึงหู “พรสวรรค์ของฝ่าบาทนั้นไม่มีผู้ใดเทียบได้ เหตุใดถึงต้องการเมล็ดบัว แต่กระหม่อมก็ยังต้องแสดงความยินดีกับฝ่าบาท การกินเมล็ดบัวก็เหมือนกับเสือติดปีก”

จักรพรรดิหยวนจิ่งหัวเราะอย่างมีความสุข

เขาระงับอารมณ์ไว้และรอนานกว่าหนึ่งเค่อ ก่อนจะนำขันทีชราไปที่ห้องทรงพระอักษรอย่างไม่เร่งรีบ

ภายในห้องทรงพระอักษร เทียนจีกับเทียนซูที่สวมชุดคลุมสีดำและหน้ากากทองคำบริสุทธิ์ยืนอยู่เงียบๆ ก้มศีรษะลงและไม่พูดอะไร

จักรพรรดิหยวนจิ่งกวาดตามองทั้งสองคน รอยยิ้มบนใบหน้าไม่หายไป “เมล็ดบัวเล่า รีบเอามาให้ข้าเร็ว”

…………………………………………………

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Status: Ongoing
ตั้งแต่ข้ามเวลามาเขาตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในสังคมที่ไร้ซึ่งคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ นี้ แต่ทำไมเขาถึงต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องการเมือง และอำนาจลึกลับที่อยู่เบื้องหลังราชวงศ์ต้าฟ่งแห่งนี้ด้วย!Top 5 นิยายยอดนิยมในเว็บจีนต่อเนื่อง 10 เดือน! นิยายแปลจีน สืบสวน ไขคดี ใช้ความรู้ยุคปัจจุบันผสมกับแอ็คชั่นกำลังภายในสวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท