ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง – บทที่ 443 เปิดใช้งานคุณสมบัติใหม่หนังสือปฐพี

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 443 เปิดใช้งานคุณสมบัติใหม่หนังสือปฐพี

บทที่ 443 เปิดใช้งานคุณสมบัติใหม่หนังสือปฐพี

หลังจากกลับมาที่จวนสกุลสวี่ เขาก็ใช้เวลาทั้งช่วงเช้าศึกษาจิตดาบทั้งหลายที่ถูกรวบรวมอยู่ในคัมภัร์ ‘ดาบเดียวตัดฟ้าดิน’

หลังจากทานอาหารกลางวันแล้ว ก็ปีนขึ้นไปบนหลังคา อาบแดด และงีบหลับอย่างสบายใจ

การปราบปีศาจสาวเมื่อคืนเขาต้องใช้ ‘คาถามหาอำนาจมังกรสวรรค์’ เพื่อสะกดปีศาจสาวให้อยู่หมัดตลอดคืน

ปีศาจสาวร้องห่มร้องไห้ขอความเมตตา แต่ในที่สุดฆ้องเงินสวี่แห่งต้าฟ่งก็เป็นฝ่ายชนะ

ลำพังการต่อสู้ครั้งนี้เพียงครั้งเดียวฆ้องเงินสวี่ก็ได้รับบาดเจ็บหนักเอาการ เขาจึงต้องงีบหลับสักครู่ เพื่อเติมพลังงาน

ในโลกนี้มีปีศาจสาวมากมายนับพัน การกำจัดปีศาจพิทักษ์ความดีงามถือเป็นหน้าที่ของผู้เที่ยงธรรม

จงหลีนั่งกอดเข่าอยู่ข้างเขา รูปร่างของศิษย์พี่จงอ้อนแอ้น บั้นท้ายอวบอิ่ม แต่ชุดคลุมผ้ากระสอบที่นางสวมอยู่เป็นประจำบดบังสิ่งที่สวรรค์ประทานให้นาง

บางครั้งเวลาที่นางนั่งในท่าที่โดดเด่นเช่นนี้ เสน่ห์เย้ายวนตามฉบับหญิงสาววัยสะพรั่งของนางก็จะเผยออกมา แม้จะเป็นเรื่องน่าประหลาดใจก็ตาม

“ดูเหมือนว่า ‘จิต’ ของเจ้าจะติดอยู่ในช่วงคอขวดเสียแล้ว” จงหลีเอ่ยเสียงแผ่วเบา

“ศิษย์พี่หญิงก็คือศิษย์พี่หญิงจริงๆ แม้เบื้องหน้าจะทำตัวน่าสงสาร เพื่อขอความเมตตาและเห็นใจจากข้า แต่ก็ยังเป็นศิษย์พี่ที่น่าเคารพยกย่อง สายตาแหลมคม พูดได้ตรงเผงเลย”

สวี่ชีอันปิดเปลือกตาแสร้งหลับไป พลางกล่าวอย่างทอดถอนใจ

“ซะที่ไหนล่ะ ไม่ใช่อย่างที่เจ้าพูดเสียหน่อย” จงหลีเอ่ยพึมพำ

สวี่ชีอันตกใจอย่างแรง เขาทะลึ่งตัวลุกขึ้น และถามด้วยสายตาลุกโชน “บอกมาเลย ผู้ชายคนแรกของเจ้าเป็นใคร”

จงหลีจ้องมองเขาอย่างว่างเปล่า “หา?”

นางอธิบายด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว “ข้าไม่เคยพยายามเพื่อให้เจ้าเมตตาหรือว่า…เห็นใจ”

สวี่ชีอันโล่งอก เขาล้มตัวลงนอนต่อ “อ๋อ เจ้าหมายถึงเช่นนี้เอง”

ตราบใดที่เจ้ายังเป็นศิษย์พี่หญิงผู้มีสายตากว้างไกล พูดจาตรงประเด็นต่อไป เช่นนั้นเราก็เป็นสหายที่ดีต่อกันได้

จงหลีเอียงศีรษะและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งด้วยความสับสน แต่ก็ยังตามความคิดของเขาไม่ทัน จึงย้อนกลับที่หัวข้อก่อนหน้านี้

“แม้ว่าข้าจะเป็นโหรแต่ก็พอจะรู้อะไรเกี่ยวกับทหารบ้าง ทหารฝึกฝนจิต ซึ่งเป็นกระบวนการมองเห็นจิตดั้งเดิมของตนเอง คนที่ใช้ดาบตลอดทั้งปีใช่ว่าจะเข้าใจจิตดาบได้อย่างถ่องแท้ คนใช้กระบี่ก็ใช่ว่าจะรู้แจ้งในจิตแห่งกระบี่เช่นกัน มันไม่เป็นเช่นนั้น

“หากเจ้าต้องการหยั่งรู้ในเจตจำนง ก่อนอื่นเจ้าก็ต้องเข้าใจเสียก่อนว่าตนเองใช้ดาบไปเพื่อการใด เจ้ารักดาบมากเพียงใด และเจ้าเต็มใจที่จะยกดาบเป็นเพื่อนคู่กายตลอดชีวิตหรือไม่”

สวี่ชีอันส่ายหน้า “เช่นนั้นข้าไม่ต้องการ ชาตินี้ข้าขอเป็นเพื่อนคู่กายของสาวสวยจะดีกว่า ถ้าเป็นไปได้ ขออย่าจำกัดจำนวนด้วย”

จงหลีเมินคำพูดของเขา แล้วกล่าวต่อ “ส่วน ‘จิต’ ของเจ้า คือการผสมผสานเคล็ดวิชาอันหลากหลาย นี่เป็นจิตที่ฝึกฝนได้ยากที่สุด มันมีพื้นฐานมาจาก ‘ดาบเดียวตัดฟ้าดิน’ ก็จริง แต่ดาบเดียวตัดฟ้าดินไม่ใช่จิตวิญญาณของมัน เจ้าจำเป็นต้องดึงแก่นแท้ของจิตวิญญาณออกมา”

ดึงแก่นแท้ของจิตวิญญาณออกมาหรือ? จิตวิญญาณของหอคณิกา หรือจิตวิญญาณของพวกกินฟรีล่ะ?

สวี่ชีอันถาม “เช่นนั้นควรทำอย่างไรล่ะ”

จงหลีส่ายหน้า “ไม่รู้ ข้าเองไม่ใช่ทหาร”

ไม่ใช่ทหาร แต่ยังมีหน้ามาพล่ามเป็นวรรคเป็นเวรนะ…สวี่ชีอันโมโห จึงยกมือขึ้นฟาดก้นงามงอนนุ่มเด้งของนางไปหนึ่งที

ถึงแม้จะตบเบาๆ แต่สะโพกของจงหลีกลับลื่นไถลไปตามสันหลังคา กลิ้งหลุนๆ ไปมาบนแผ่นกระเบื้อง ก่อนจะร่วงลงไปกองอยู่บนพื้นเบื้องล่าง ราวกับถูกผลักอย่างรุนแรง

“ศิษย์พี่หญิง ศิษย์พี่หญิง…ข้าไม่ได้ตั้งใจ!”

สวี่ชีอันตกใจจนหน้าถอดสี

จงหลีร้องโอดโอยก่อนจะลุกขึ้นและกระชับเสื้อคลุมผ้ากระสอบของนางให้แน่นขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ในโลกที่แสนหนาวเหน็บแห่งนี้ มีเพียงเสื้อคลุมเท่านั้นที่จะมอบความอบอุ่นแก่นาง

หลังจากทานอาหารกลางวันแล้ว สวี่ชีอันที่กำลังเล่นหมากเรียงห้าตัวกับสวี่หลิงอินก็รู้สึกใจสั่นขึ้นมา เขาเลิกสนใจเด็กน้อยผู้โง่เขลาข้างกาย แล้วหยิบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมาโดยไม่ตะขิดตะขวงใจ

จากนั้นก็เปิดอ่านข้อความ

หมายเลขสี่ ‘เกิดเรื่องขึ้นกับข้านิดหน่อย ข้าคงไม่สามารถร่วมสืบคดีของเหิงหย่วน และจักรพรรดิหยวนจิ่งกับเจ้าได้แล้ว’

สวี่ชีอันใจเต้นแรง เขาส่งข้อความลงไป ‘เจ้าต้องไปจากเมืองหลวงหรือ?’

นี่เป็นเหตุผลที่เรียบง่าย ไม่ว่าจะตามหาเหิงหย่วนหรือจักรพรรดิหยวนจิ่ง ล้วนไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน ยังมีเวลาเหลือเฟือให้ไปทำอย่างอื่นก่อน

การที่ฉู่หยวนเจิ่นกล่าวเช่นนี้ ก็แสดงว่าตัวเขากำลังจะไปจากเมืองหลวงในอนาคตอันใกล้ และไม่มีวี่แววว่าจะกลับมาในเร็ววัน

หมายเลขสี่ ‘ใช่แล้ว วันนี้เจียงลวี่จงจากที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลมาหาข้า บอกว่าเว่ยเยวียนต้องการให้ข้าไปออกรบ’

หากชิ้นส่วนหนังสือปฐพีสามารถส่งเครื่องหมายได้ ตอนนี้สวี่ชีอันจะส่งเครื่องหมายตกใจ และส่ง ! ไปด้วย

ฉู่หยวนเจิ่นไม่เคยมีประสบการณ์นำทัพออกรบด้วยซ้ำ เว่ยกงเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า

หมายเลขสอง ‘เว่ยเยวียนเป็นเทพแห่งสงครามจริงๆ หรือนี่? ให้เจ้าไปออกรบ สู้ส่งข้าไปแทนเสียยังจะดีกว่า อย่างน้อยข้าก็เคยนำทหารไปปราบกบฏที่อวิ๋นโจว’

ไม่ใช่แค่ข้าคนเดียวที่คิดเช่นนั้น…สวี่ชีอันรู้สึกพอใจอยู่ไม่น้อย

หมายเลขสี่ ‘โอ้ ตอนนั้นที่ข้าได้เป็นจอหงวน ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ร่ำเรียนตำราพิชัยสงครามมาโดยตรง แต่ก็เคยอ่านตำราการทหารมาไม่น้อย เคยศึกษายุทธการครั้งใหญ่หลายต่อหลายครั้ง เช่น ยุทธการด่านซานไห่ ข้าจะไปหรือไม่ไปออกรบ มันขึ้นอยู่กับความต้องการของข้า หาใช่ประเด็นที่ว่าข้าทำได้หรือไม่ แม้ว่าข้าจะไม่เข้าใจตำราพิชัยสงครามเลยสักนิด แต่อย่างน้อยข้าก็ยังเทียบชั้นกับยอดฝีมือขั้นสี่ได้ก็แล้วกัน

‘ข้าละทิ้งท้องพระโรง และออกท่องยุทธภพมานานแล้ว ตอนนี้ข้าเป็นเพียงราษฎรคนหนึ่ง ไม่สนใจที่จะกลับไปรับราชการอีก แต่นี่เขากลับเชิญให้ข้าไปออกทัพด้วย พวกเจ้าคิดว่าเว่ยเยวียนเพ้อเจ้อหรือไม่’

เอ่อ ความคิดของเว่ยกงนั้นยากแท้หยั่งถึงจริงๆ…สวี่ชีอันส่งข้อความไต่ถามไป ‘แล้วเจ้าตกลงหรือไม่’

หมายเลขสี่ ‘ข้ารับคำไปแล้ว’

หมายเลขหนึ่ง “…”

หมายเลขสอง “…”

หมายเลขสาม “…”

หมายเลขห้า “…”

ฉู่หยวนเจิ่นอธิบายด้วยอย่างแข็งกร้าว ‘ข้าไม่คิดจะหวนกลับไปเป็นขุนนางอีก ข้าเพียงแต่คิดว่าหากข้าใช้ดาบท่องไปในยุทธภพ คอยปราบปรามอธรรม ก็กำจัดคนชั่วได้เพียงหยิบมือ ลำพังตัวคนเดียวจะขจัดคนโฉดชั่วได้สักเท่าไรเชียว

‘อันที่จริงปณิธานของข้ายังคงเป็นการรับใช้ประชาชนต้าฟ่ง หากเข้าร่วมสงครามและพิชิตสำนักพ่อมดได้ ย่อมเป็นบุญกุศลครั้งใหญ่หลวง’

‘ข้ารู้สึกว่าเจ้ากำลังกระแนะกระแหนถึงข้า’…หลี่เมี่ยวเจินบ่นในใจ

ที่พูดมายาวเหยียดเมื่อครู่ ก็เพื่อยกย่องตัวเองสินะ? สวี่ชีอันก่นด่าในใจ

เมื่อเห็นว่าไม่มีใครตอบสนองเป็นเวลานาน ฉู่หยวนเจิ่นก็ส่งข้อความว่า ‘พวกเจ้าคิดเห็นอย่างไร’

สวี่ชีอันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวเป็นเชิงประจบประแจง ‘ยอดเยี่ยมเลย’

หมายเลขสอง ‘ยอดเยี่ยมเลย’

หมายเลขหนึ่ง ‘ยอดเยี่ยมเลย’

หมายเลขห้า ‘ยอดเยี่ยมเลย’

พวกเจ้าสามคนดูประจบประแจงยิ่งกว่าข้าเสียอีก…สวี่ชีอันกลอกตา

ฉู่หยวนเจิ่นค่อยๆ หายไปเงียบๆ ไม่โวยวายอะไรอีก

ในตอนนี้เอง นักบวชเต๋าจินเหลียนที่นิ่งเงียบมานานก็ส่งข้อความมา

‘ช่วงนี้ข้าต้องเก็บตัวเพื่อย่อยเมล็ดบัว อาจจะไม่ได้รับข้อความจากพวกเจ้าสักระยะหนึ่ง เพื่อไม่ให้การสื่อสารของพวกเจ้าล่าช้า อาตมาจะมอบสิทธิ์ให้กับพวกเจ้าอย่างหนึ่ง

‘จากนี้เป็นต้นไป ตราบใดที่พวกเจ้านำจิตเดิมใส่ลงไปในชิ้นส่วนหนังสือปฐพี พวกเจ้าก็สามารถเลือกคนที่ต้องการส่งข้อความให้เป็นการส่วนตัวได้ ไม่ต้องเรียกหาข้าอีก’

พูดจบ นักบวชเต๋าจินเหลียนก็เงียบหายไป ไม่ส่งข้อความมาอีก

ท่านผู้นำเต๋า ในที่สุดท่านก็เบื่อหน่ายกับบทบาทมนุษย์เครื่องมือแล้วหรือ…จิตนึกคิดของสวี่ชีอันสั่นไหว พลังจิตแทรกซึมลึกลงไปในชิ้นส่วนหนังสือปฐพี

เขาเข้าไปในโลกกระจกที่พร่ามัวอีกครั้ง และเห็นลำแสงสีต่างๆ แปดดวงเรียงรายตรงหน้าเขา ลำแสงทั้งแปดได้แก่สีแดง สีดำ สีเขียว สีขาว สีเหลือง รวมถึงแสงที่ขมุกขมัวมองเห็นสีเฉพาะไม่ชัดเจนอีกสี่ดวง

ไม่จำเป็นต้องระบุจงเจาะ ในฐานะผู้ครอบครองชิ้นส่วนหนังสือปฐพี เขาก็รู้ได้ในทันทีว่าลำแสงที่อยู่ริมขวาสุดดวงแรก คือหมายเลขหนึ่ง

หมายเลขหนึ่งตัวตนลึกลับ ข้าน่าจะทดสอบเขา (หรือนาง) เพื่อค้นหาตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่าย…สวี่ชีอันรวบรวมจิตเดิม และสำรวจลำแสงที่เป็นตัวแทนของผู้ครอบครองชิ้นส่วนหนังสือปฐพีหมายเลขหนึ่ง

‘เพียะ!’

ทันใดนั้น ชิ้นส่วนของหมายเลขหนึ่งก็ควบแน่นเกิดเป็นพลังวิญญาณขนาดใหญ่ และสลายจิตเดิมของเขาจนแตกซ่าน

ฟู่…สวี่ชีอันรู้สึกราวกับสมองถูกเข็มตำ แม้จะไม่เกิดปัญหาใหญ่ แต่ก็เจ็บเล็กน้อย

นี่คือสถานการณ์ที่อีกฝ่ายไม่ต้องการเสวนากับเจ้า และโจมตีจิตเดิมของเจ้า ในฉบับหนังสือปฐพีหรือ

“ไม่คุยก็ไม่คุยสิ มาตีข้าเพื่ออะไร…”

สวี่ชีอันกระจายจิตเดิมออกไปพลางบ่นกระฟัดกระเฟียด วิญญาณของเขาเข้าไปสำรวจภายในชิ้นส่วนหนังสือปฐพี ราวกับหนวดปลาหมึก มันแทรกซึมเข้าไปในโลกแห่งกระจกอันมืดสลัวอีกครั้ง ครั้งนี้เขาลองยื่นมือไปหาหมายเลขแปด

หมายเลขแปดไม่ปฏิเสธ

หมายเลขสาม ‘ได้ยินว่าเจ้าเก็บตัวสันโดษมากเลยนี่? ใต้เท้าเป็นชายหรือหญิง มีชื่อเสียงเรียงนามว่ากระไรหรือ ข้าเป็นบัณฑิตสำนักอวิ๋นลู่ ซู่จี๋ซื่อแห่งสำนักบัณฑิตฮั่นหลิน ต้าฟ่ง สวี่ซินเหนียน’

หมายเลขแปดเมินเขาไป

“ดูเหมือนว่าหมายเลขแปดจะยังไม่ทะลุมาแฮะ”

สวี่ชีอันล้มเลิกการสนทนาอย่างชาญฉลาด และยืดหนวดของเขาไปยังหมายเลขเจ็ด ‘ได้ยินว่าใต้เท้าถูกไล่ล่าอยู่หรือ? ไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไร’

หมายเลขเจ็ดเองก็ไม่สนใจเขาเช่นกัน

ขอให้อยู่รอดปลอดภัยด้วยเถิด…สวี่ชีอันส่งข้อความหาหลี่เมี่ยวเจินโดยตรง ‘หลี่เมี่ยวเจิน ได้รับข้อความของข้าหรือไม่’

หมายเลขสอง ‘อืม!’

หลี่เมี่ยวเจินเลือกยอมรับทันทีที่หนวดของเขามาถึง

หมายเลขสาม ‘พวกเรามาทดสอบการใช้งานกันเถิด’

หมายเลขสอง ‘ทดสอบอย่างไร’

หมายเลขสาม ‘ฉู่หยวนเจิ่น เจ้าคนหน้าซื่อใจคด ถุย! น่าละอายใจนัก ลี่น่า ข้ามีของอร่อยเยอะแยะเลยนะ’

ไม่มีการเคลื่อนไหวเป็นเวลานาน

หมายเลขสาม ‘ดูเหมือนว่านักบวชเต๋าจินเหลียนจะไม่ได้โกหกนะ ต่อไปจะคุยกันเป็นการส่วนตัวก็ง่ายขึ้นแล้ว’

หลี่เมี่ยวเจิน “…”

หมายเลขสอง ‘อ้อ จู่ๆ ข้าก็นึกอะไรขึ้นมาได้’

สวี่ชีอันไม่พูดอะไร รออยู่ครู่หนึ่งหลี่เมี่ยวเจินก็ส่งข้อความที่สองตามมา

‘ข้าจำได้ว่า คนที่มีความรู้ทางภูมิลักษณ์ นอกจากสำนักโหราจารย์แล้ว คนเชี่ยวชาญที่สุดน่าจะเป็นนิกายปฐพี สามนิกาย สวรรค์ มนุษย์ ปฐพีต่างมีจุดแข็งต่างกันไป นิกายมนุษย์นอกจากวิชากระบี่แล้ว ยังเชี่ยวชาญในวิชาแปรธาตุที่สุด นิกายปฐพีเชี่ยวชาญด้านการเพาะปลูกบุญกุศล รวมถึงความรู้ด้านฮวงจุ้ยและค่ายกล ภูมิลักษณ์ก็เป็นหนึ่งในศาสตร์ของฮวงจุ้ย ส่วนนิกายสวรรค์อย่างข้า ถนัดวรยุทธ์จำพวกเรียกลมเรียกฝน’

เพราะแบบนี้ความรู้เกี่ยวกับภูมิลักษณ์ของเจ้าถึงได้ตื้นเขิน ถึงขั้นโง่เขลาเช่นนี้สินะ? สวี่ชีอันพยักหน้าช้าๆ

แต่ก็ไม่แปลกใจ ก็แต่ละคนลงเรียนวิชาเลือกไม่เหมือนกันนี่นา

หมายเลขสอง ‘แน่นอนว่าความรู้เรื่องค่ายกลของนิกายปฐพี ยังตื้นเขินนักเมื่อเทียบกับโหร หลังจากที่เข้ามาในชิ้นส่วนหนังสือปฐพีแล้ว ข้าก็นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้ทันที

‘การสร้างฮวงจุ้ยและค่ายกลของนิกายปฐพี ล้วนมีที่มาจากความเข้าใจในภูมิลักษณ์ของพวกเขา และความเข้าใจในภูมิลักษณ์ของนิกายปฐพี ก็มาจากหนังสือปฐพี

‘ในสมัยโบราณ หนังสือปฐพีเป็นสัญลักษณ์ของภูผาและลำธาร ในคลังเอกสารของนิกายสวรรค์มีหนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า ‘ตำราเทพเจ้าแห่งจิ่วโจว’ ในนั้นบันทึกไว้ว่าจิ่วโจวในสมัยโบราณกาลเต็มไปด้วยเทพเจ้าแห่งขุนเขา เทพเจ้าแห่งธารา และอื่นๆ พวกเขาหลอมรวมพลังภูมิลักษณ์ของจิ่วโจว จากนั้นแปรเปลี่ยนเป็นตราประทับเทพขุนเขา และตราประทับเทพธารา

‘แต่แล้วในปีหนึ่ง ปรมาจารย์เต๋าตัดขาดจาก ‘เทพเจ้าแห่งจิ่วโจว’ นำตราประทับเทพขุนเขา และตราประทับเทพธาราทั้งหมดมาหลอมเป็นสมบัติชิ้นหนึ่ง ซึ่งสมบัติชิ้นนี้มีชื่อเรียกว่า ‘หนังสือปฐพี’ ‘

หนังสือปฐพีมีต้นกำเนิดยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้เชียวหรือ ตอนที่ข้าค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องในที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล กลับบันทึกไว้เพียงว่าหนังสือปฐพีเป็นของวิเศษของปรมาจารย์เต๋า ต้นกำเนิดนั้นไม่อาจสืบทราบแน่ชัด…เทพเจ้าแห่งจิ่วโจวเป็นยอดฝีมือที่ปรากฏตัวขึ้นในยุคที่ราชันแห่งมนุษย์เสด็จขึ้นครองราชย์หลังจากการล่มสลายของเหล่าเทพปีศาจหรือไม่

สวี่ชีอันปล่อยความคิดโลดแล่นไปไกล

หมายเลขสาม ‘แต่เหตุใดในความรู้สึกของข้า หนังสือปฐพีเป็นเหมือนที่เก็บของวิเศษ รวมถึงกลุ่มแชต QQ ฉบับต้าฟ่งเลยล่ะ’

หมายเลขสอง ‘ก็เพราะหนังสือปฐพีขาดจากกันแล้วอย่างไรเล่า ว่าแต่กลุ่มแชต 00 ที่ว่าคืออะไรหรือ’

QQ ต่างหาก ไม่ใช่ 00…สวี่ชีอันอธิบายความแตกต่างระหว่างคำสองคำอย่างอดทน แต่แล้วก็คิดอย่างเหม่อลอยว่า ตนเองกับหลี่เมี่ยวเจินก็อาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกันแท้ๆ เหตุใดจึงต้องคุยกันผ่านชิ้นส่วนหนังสืออีก

หมายเลขสาม ‘มาคุยกันที่ห้องข้าดีกว่า’

หมายเลขสอง ‘ไม่เอา เจ้าไม่คิดว่าแบบนี้สนุกกว่าหรือ ตราบใดที่เราถือชิ้นส่วนหนังสือปฐพีเอาไว้ เราก็สามารถพูดคุยกันเป็นการส่วนตัวได้ตลอดเวลา’

หลี่เมี่ยวเจินหลงใหลในความแปลกใหม่ของห้องแชทส่วนตัวออนไลน์นี้

ในยามที่ทุกคนส่งข้อความร่วมกัน นางไม่รู้สึกเช่นนี้ มันเหมือนกับกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งกำลังเจรจากันผ่านของวิเศษ แต่เมื่อสามารถพูดคุยกันอย่างเป็นส่วนตัวได้ทุกที่ทุกเวลาเช่นนั้น ความรู้สึกแปลกใหม่ก็ถูกขับเน้นขึ้นมา

นี่ นี่…ความรู้สึกเดจาวูอย่างรุนแรงนี้ทำให้ข้านึกถึงเรื่องโง่ๆ ที่เคยทำในอดีต อย่างโดดเรียนไปเล่นแชต QQ ปฏิเสธไปงานเลี้ยงของสาวสวยรุ่นน้อง เหตุผลเพราะจะไปฉลองวันเกิดให้สัตว์เลี้ยงใน QQ…สวี่ชีอันปิดหน้าต่างของนางลงเงียบๆ

ตอนนี้เอง ลี่น่าก็ส่งข้อความมาพอดี หมายเลขห้า ‘สวี่ชีอัน สวี่ชีอัน วันนี้ไปกินสมองลิงที่ภัตตาคารกันเถิด’

หมายเลขสาม ‘ลิงออกจะน่ารัก ไปกินสมองมันเพื่ออะไร เจ้าอยู่ห่างจากข้าไปแค่ห้าจั้งเองนะ ตะโกนเรียกกันก็ได้นี่นา’

หมายเลขห้า ‘ก็เพราะว่าแบบนี้มันน่าสนุกกว่าอย่างไรเล่า ข้าจะได้คุยกับเจ้าตามลำพังด้วย’

ในตอนนี้เอง ฉู่หยวนเจิ่นก็เริ่มการสนทนาส่วนตัวกับเขา

หมายเลขสี่ ‘ฉือจิ้ว ช่วยส่งตำราการทหารมาให้ข้าหน่อยได้หรือไม่ เขาเรียกว่าถึงกาลศึกค่อยลับคมหอก ถึงจะไม่ดีเท่าที่ควร แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้เตรียมตัวเลย อีกอย่างข้าค้นพบกว่าการส่งข้อความส่วนตัวได้ทุกที่ทุกเวลาเช่นนี้น่าสนใจมากทีเดียว ไม่ต้องกลัวว่าคนอื่นจะมองเห็นหรือไม่’

หมายเลขสาม ‘เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าคนอื่นจะมองไม่เห็นเจ้า เจ้าทดสอบแล้วหรือยัง’

หมายเลขที่ ‘เพราะข้าส่งข้อความไปหาเมี่ยวเจิน และลี่น่าโดยตรงอย่างไรเล่า’

หมายเลขสาม ‘ลี่น่า เจ้าส่งข้อความส่วนตัวไปหาเมี่ยวเจิน และฉู่หยวนเจิ่นตลอดเลยหรือเปล่า’

หมายเลขห้า ‘เอ๊ะ เจ้ารู้ได้อย่างไร’

พวกเจ้าพอสักทีเถิด!

มุมปากของสวี่ชีอันกระตุก

ในตอนนั้นเอง ก็มีเสียงฝีเท้าเร่งรีบตรงเข้ามา นั่นคือสวี่ฉือจิ้วในชุดเครื่องแบบสีเขียว

สวี่ฉือจิ้วหันศีรษะมองไปรอบๆ คล้ายว่ากำลังมองหาอะไรบางอย่าง มองเห็นร่างของสวี่ชีอัน เขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก “พี่ใหญ่ พี่ใหญ่ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว…”

สวี่ชีอันเข้าไปทักทายทันที คนที่ทำให้สวี่เอ้อร์หลางต้องห้อม้ากลับมาในช่วงพักกลางวันเช่นนี้ได้ คราวที่แล้วเห็นว่าเป็นเพราะหวางซือมู่

“พี่ใหญ่ จักรพรรดิหยวนจิ่งจะส่งข้าไปออกรบ” สีหน้าของสวี่ฉือจิ้วจริงจัง

“!”

สวี่ชีอันนิ่งงันราวกับถูกฟ้าผ่า

เขาเคยมีประสบการณ์ในสมรภูมิใหญ่มาแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อตอนสืบคดีฉู่โจว จู๋จิ่วนำทัพเผ่าพันธุ์ปีศาจ จี๋ลี่จือกู่นำทัพทหารม้าฝ่ายชิงเหยียน ทั้งสองร่วมมือกันโจมตีเมืองฉู่โจว

สมรภูมิครั้งนั้นกินเวลาไม่นาน แต่อันตรายและรุนแรงพอสมควร ท่ามกลางหน้าไม้และปืนใหญ่ ชีวิตของเผ่าพันธุ์มนุษย์หรือเผ่าอนารยชนก็ไม่ต่างอะไรจากผักหญ้า

แล้วจักรพรรดิชาติชาติหมานี่จะส่งสวี่เอ้อร์หลางไปออกรบหรือ? นี่มันเท่ากับส่งเขาไปตายไม่ใช่หรือไง!

“แกล้งป่วยไม่ได้หรือ” สวี่ชีอันลองถาม

“ฝ่าบาทมีพระบัญชาออกมาแล้ว ต่อให้เหลือลมหายใจเฮือกสุดท้าย ก็ต้องหิ้วปีกไปด้วย! ข้าถึงมาปรึกษากับพี่ใหญ่อย่างไรเล่า” สวี่ฉือจิ้วพูดด้วยน้ำเสียงหดหู่ใจ

หมายความว่าปฏิเสธไม่ได้หรือ? สวี่ชีอันขมวดคิ้วแล้วพูดอย่างมีน้ำโห “ปรึกษาอะไรอีก ปรึกษาว่าจะขัดพระราชโองการฝ่าบาทอย่างไรน่ะหรือ”

สวี่ฉือจิ้วสะอึก ก่อนจะเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าว “ข้าหมายถึง ปรึกษาว่าจะสู้รบอย่างไรต่างหาก ใจจริงข้าเองก็อยากไปด้วยเหมือนกัน”

‘เพียะ!’

สวี่ชีอันตบหน้าน้องชายของตนจนร่วงลงไปกองกับพื้น “สู้รบ? แค่ตีเจ้ามันยังน้อยไป”

สวี่เอ้อร์หลางลุกขึ้นยืนด้วยความอับอาย ในใจก่นด่าพี่ชายของตนว่าเป็นทหารกักขฬะ แต่ก็ทำสีหน้าเจี๋ยมเจี้ยม ไม่กล้าต่อปากต่อคำ ด้วยกลัวว่าจะถูกตบอีกรอบ

สวี่ชีอันมองเขาครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจ “เจ้าไปคุยกับอาสะใภ้เอาเอง”

สวี่เอ้อร์หลางกระตุกมุมปาก แล้วกล่าวเรียบๆ “ได้”

ครู่ต่อมา เสียงร่ำไห้โฮของอาสะใภ้ก็ดังออกมาจากห้องโถงชั้นใน คนงามวิ่งโร่ออกมาจากในห้อง หันซ้ายหันขวา แล้วสายตาก็พลันไปตกอยู่ที่สวี่ชีอัน

“หนิงเยี่ยน…”

อาสะใภ้ตะโกนเสียงดังลั่น นางทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ออกมา พลางโบกมือน้อยๆ ไปมาอย่างสุดแรง “เอ้อร์หลางจะไปออกรบ เจ้า เจ้ารีบหาทางช่วยเร็ว”

ตอนนี้มีเพียงสวี่ชีอันคนเดียวที่เป็นเสาหลักของครอบครัว เมื่ออาสะใภ้เผชิญกับปัญหาซึ่งไร้ทางแก้ นางก็รีบเรียกหาหลานชายของนางทันที

……………………………………………….

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Status: Ongoing
ตั้งแต่ข้ามเวลามาเขาตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในสังคมที่ไร้ซึ่งคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ นี้ แต่ทำไมเขาถึงต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องการเมือง และอำนาจลึกลับที่อยู่เบื้องหลังราชวงศ์ต้าฟ่งแห่งนี้ด้วย!Top 5 นิยายยอดนิยมในเว็บจีนต่อเนื่อง 10 เดือน! นิยายแปลจีน สืบสวน ไขคดี ใช้ความรู้ยุคปัจจุบันผสมกับแอ็คชั่นกำลังภายในสวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท