บทที่ 463 ไพ่ลับของเว่ยเยวียน
ดาบสลักแทงเข้าไปในหัวใจ ซ่าหลุนอากู่ยากจะสะกดกลั้นเสียงร้องคำรามออกมา ราวกับเขากำลังทุกข์ทรมานจากไฟนรก เสียงของเขาโหยหวนและอ้างว้าง
“ด้วยความรอบคอบปราดเปรื่องของพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ ก่อนทำสงครามก็ต้องทำนายให้ตนเองก่อนว่าจะโชคดีหรือไม่ ใช่ไหม หากมิใช่เพราะท่านโหราจารย์ช่วยข้าปิดกั้นดาบสลักและปกปิดความลับของสวรรค์ให้ ก็แทบจะลอบวางแผนต่อกรกับพ่อมดไม่ได้เลย โหรออกจากสายพ่อมด จึงมีเพียงโหรเท่านั้นที่สามารถจัดการกับวิชาทำนายของพ่อมดได้ ถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือจากท่านโหราจารย์ คงยากที่จะเอาชนะพวกเจ้า”
ดาบสลักของเว่ยเยวียนเคลื่อนเข้าสู่หัวใจของซ่าหลุนอากู่ทีละนิดๆ ทำให้พลังวิญญาณของเขาไหลทะลักออกมา จนการทำงานของร่างกายถูกทำลายไปอย่างรวดเร็วภายใต้การกัดกร่อนของดาบสลัก
เพียงไม่กี่อึดใจ ซ่าหลุนอากู่ก็ดูแก่ชราลงไปถึงยี่สิบปี ร่างกายราวกับต้นไม้เหี่ยวเฉา และสามารถ ‘จบชีวิต’ ได้ทุกเมื่อ
สถานการณ์พลิกผันกะทันหัน ทำให้สีหน้าของปราชญ์วิญญาณขั้นสามสองคนเปลี่ยนไปทันใด พวกเขามีวิธีการรับมือเรื่องนี้อย่างรู้ใจกัน ฝ่ามือทั้งสองข้างของแต่ละคนเล็งจ่อไปยังซ่าหลุนอากู่และเว่ยเยวียน
แสงสีแดงที่ฝ่ามือด้านซ้ายกระตุ้นพลังชีวิตของซ่าหลุนอากู่ ต้านทานการกัดกร่อนจากดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ ส่วนฝ่ามือขวาก็สาดวิชาสาปสังหารใส่เว่ยเยวียน
‘ฮึ่ม!’
เว่ยเยวียนเหยียดฝ่ามือซ้ายออกแล้วกำรอบคอของพ่อมดใหญ่ ในขณะที่มือขวาของเขาดึงดาบสลักออกมาแล้วแทงไปที่ข้างศีรษะของซ่าหลุนอากู่
เขาใช้พลังของดาบสลักมากลืนกินพลังร่างกายให้ไม่อาจต้านทานใด แล้วค่อยใช้ดาบสลักมาทำลายจิตเดิมของอีกฝ่าย เพื่อทำให้วิญญาณพ่อมดขั้นหนึ่งผู้นี้แตกสลายไปอย่างสมบูรณ์
แต่ในตอนนี้เอง ประกายดาบก็สว่างวาบ
‘ฉึบ!’
เลือดสาดกระเซ็น เว่ยเยวียนมองแขนของตนถูกตัดออกไปด้วยความตกตะลึง โลหิตพุ่งออกมาราวกับตาน้ำพุ
แขนถูกตัดไปพร้อมกับดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกคว้าเอาไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง
นี่คือแขนที่มีแสงสีทองและสีดำสอดประสานกัน มันยื่นออกมาจากหว่างคิ้วของซ่าหลุนอากู่
เว่ยเยวียนขมวดคิ้ว เขาเว้นระยะห่างออกมาโดยไม่ลังเลแม้แต่นิด จากนั้นก็ยืนนิ่งอยู่กับที่และจ้องไปยังซ่าหลุนอากู่
‘แกร่ก…’ เนื้อพัวพันกันและบิดตัวไปมา กระดูกงอกขึ้นและเกิดเป็นแขนข้างใหม่หนึ่งข้าง
‘เฮ้อ!’ เว่ยเยวียนถอนหายใจ แสงเทวะหุ้มกายเข้ามาปกคลุมร่างของเขาอีกครั้งจนเกิดเป็นภาวะกระดูกเหล็กผิวทองแดง
เมื่อกี้ที่แขนของเขาถูกตัดไปนั้นไม่ใช่เพราะการป้องกันของเขาไม่แข็งแกร่งพอ แรกเริ่มเขาแสดงให้ศัตรูเห็นว่าเขาอ่อนแอและทำให้พ่อมดระดับสูงสามคนนั้นใช้วิชาสาปสังหารที่สังเวยด้วยโลหิต เว่ยเยวียนจึงได้รับบาดเจ็บสาหัสทันที แต่จอมยุทธ์นั้นมีร่างกายเป็นพลัง
จากนั้นเขาก็คว้าโอกาสได้ เขาใช้ดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์โจมตีใส่พ่อมดใหญ่ซ่าหลุนอากู่โดยไม่ทันตั้งตัว
การเคลื่อนไหวนี้ไม่เพียงแต่ต้องแสดงให้เห็นว่าตนอ่อนแอ แต่ต้องคว้าโอกาสที่อาจหายไปได้ในชั่วพริบตาไว้ให้มั่นด้วย ไม่อย่างนั้นเว่ยเยวียนคงไม่อาจฟื้นฟูกระดูกเหล็กผิวทองแดงได้ง่ายๆ
เพียงแต่ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะมีแผนลับ
ภายในร่างของซ่าหลุนอากู่มีชายในชุดคลุมมังกรค่อยๆ โผล่ออกมา ใบหน้าตั้งตรง คิ้วหนาเล็กน้อย ดวงตาสองข้างเต็มไปด้วยความชั่วร้ายล้ำลึก
เมื่อมองดูดีๆ แล้ว ร่างกายของชายในชุดคลุมมังกรผู้นี้ช่างดูไร้ที่ติราวกับหยก ประกายสีทองและแสงสีนิลพัวพันกันอยู่บนร่างของเขา ทั้งดูศักดิ์สิทธิ์และชั่วร้าย
เทพเจ้าหยาง!
จักรพรรดิองค์ก่อน เจินเต๋อ!
“รู้อยู่ว่าเว่ยเยวียนเก่งกาจด้านการวางแผน ถึงกับกล้าบุกมาถึงเมืองจิ้งซานเช่นนี้คงมีแผนอยู่แล้วเป็นแน่ เจ้ากับข้าเล่นกันมานานแล้ว พวกเรามิใช่ว่าอยากเห็นไพ่ลับของอีกฝ่ายหรอกหรือ”
ซ่าหลุนอากู่กล่าวพลางยิ้มพราย “ดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะใช้ดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ จิ๊ๆ เว่ยเยวียน เจ้านี่ช่างเป็นคนที่มีจิตใจทำเพื่อปวงประชาจริงๆ”
โลหิตในกายของเขาส่องประกาย เลือดเนื้อบนอกของเขาบิดเบี้ยว เพียงชั่วพริบตาก็ฟื้นกลับมาเป็นดังเดิม รอยยับย่นบนผิวหนังก็จางลงเช่นกัน
ทว่าถึงอย่างไรกลิ่นอายของพ่อมดใหญ่ขั้นหนึ่งก็อ่อนแอลงไปมากแล้ว
เช่นเดียวกับปราณและโลหิตของเว่ยเยวียน ตอนนี้ได้ตกลงมาจากจุดสูงสุดของขั้นสามเสียแล้ว
‘แกร่ก แกร่ก…’
กระดูกแตกเป็นเสี่ยง เลือดเนื้อหดตัวแหลกเป็นชิ้นๆ ชายในชุดคลุมมังกรเปลี่ยนแขนของเว่ยเยวียนให้กลายเป็นปราณโลหิตบริสุทธิ์ จากนั้นก็อ้าปากแล้วกลืนลงไปในร่าง
“รสชาติไม่เลว ปราณโลหิตของเจ้านี่ไม่เลวเลย”
ชายในชุดคลุมมังกรยิ้มพลางถือดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ไว้ในมือ ของเหลวเหนียวหนืดเต็มไปด้วยสิ่งสกปรกแห่งความชั่วช้าไหลออกมากัดเซาะดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ทีละนิดๆ จนชะล้างจิตวิญญาณของมันออกไป
เหมือนกับที่จิตวิญญาณของดาบสยบดินแดนเปื้อนมลทินชั่วคราวเพราะผู้นำเต๋านิกายปฐพี
เว่ยเยวียนมองเขาอย่างล้ำลึก คล้ายเศร้า คล้ายผิดหวัง จากนั้นก็ถอนหายใจยาวเหยียดออกมา “ที่แท้ก็เป็นท่าน เป็นท่านจริงๆ!”
จักรพรรดิเจินเต๋อแค่นเสียงหยัน มุมปากโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มน่าสะพรึง ก่อนเหลือบมองดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ที่มีของเหลวสีดำเข้มข้นปกคลุมอยู่เล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า
“ข้าต้องการเวลามาผนึกมัน เจ้าก็ต้องการเวลาฟื้นฟู เห็นแก่มิตรภาพยี่สิบกว่าปีของจักรพรรดิและขุนนาง เจ้ามีอะไรอยากถามก็ถามมาเถิด”
ซ่าหลุนอากู่ไม่ได้คัดค้าน อาการบาดเจ็บของเขารุนแรงกว่าเว่ยเยวียนนัก
“องค์กรค้ามนุษย์ที่ควบคุมโดยผิงหย่วนป๋อ มีท่านอยู่เบื้องหลังใช่หรือไม่” เว่ยเยวียนกล่าว
จักรพรรดิเจินเต๋อพยักหน้าแล้วเยาะยิ้ม “เจ้าอ้างว่าทำเพื่อชาติและประชาชน แต่หากเจ้าไม่ได้กดดันผิงหย่วนป๋อ ข้าก็คงไม่หาทางกำจัดเขา และคดีล้างเมืองฉู่โจวก็คงจะไม่เกิดขึ้นด้วย”
“จากนั้นท่านจึงยอมทนกลืนกินชีวิตบริสุทธิ์ของประชาชนต่อไป?”
เว่ยเยวียนหยิบขวดลายครามชิ้นหนึ่งออกมาอย่างไม่ยี่หระ เขาโยนจุกไม้ออกไปแล้วเทยาอายุวัฒนะเสริมปราณมาใช้จนหมด
ผ่านไปพักหนึ่ง สีหน้าของเขาก็ฟื้นกลับมาแดงก่ำแล้วพูดพลางถอนหายใจ “ท่านกลายมาเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อใด”
ชายในชุดคลุมมังกรยิ้มอย่างร้ายกาจและกล่าวว่า “รัชศกเจินเต๋อปีที่ยี่สิบหก ผู้นำเต๋านิกายปฐพีทำให้ข้าเปื้อนมลทิน”
หลังจากหยุดไปครู่หนึ่ง เขาก็มองดูไฟสงครามที่กระจายอยู่ไกลๆ แล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ
“ร่างกายของข้าไม่สู้ดีมาเสมอ ยาครอบจักรวาลที่ทำให้คนตายกลับมามีชีวิตและเลือดเนื้อได้ สำหรับข้าแล้ว มันกลับไม่ได้ให้ผลลัพธ์อะไรนัก จักรพรรดิแห่งอาณาจักรมีโชคชะตาติดกาย ถึงจะมีชีวิตอยู่ได้นาน แต่ความจริงมันก็เป็นเรื่องที่ถูกกำหนดไว้นานแล้ว
เมื่อก่อนข้าไม่รู้สึกว่ามีชีวิตยืนยาวแล้วเป็นเรื่องดีอะไร เกิดแก่เจ็บตาย ล้วนเป็นไปตามกฎของฟ้าดิน แต่เมื่ออายุมากขึ้น ข้าก็เริ่มหวาดกลัวความตายและปรารถนาชีวิตยืนยาว แต่ปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ยังไม่อาจต่อต้านกฎฟ้าดิน แล้วนับประสาอะไรกับข้า
จนกระทั่งในรัชศกเจินเต๋อที่ยี่สิบหก ผู้นำเต๋านิกายปฐพีก็ทำให้ข้าเปื้อนมลทิน เขาบอกข้าว่าจักรพรรดิในโลกมนุษย์ไม่อาจมีชีวิตยืนยาวได้ แม้จะฝึกตนจนสูงเพียงใดก็ไม่อาจเปลี่ยนผลลัพธ์เช่นนี้ แต่เขาสามารถทำให้ข้ามีชีวิตได้ยาวยิ่งกว่านั้น ยืนยาวยิ่งกว่าจักรพรรดิทั่วๆ ไป ตอนนั้นร่างกายของข้าก็เริ่มจะไม่ไหวแล้ว ข้าทนต่อการล่อลวงของเขาไม่ได้จึงตอบตกลง”
เว่ยเยวียนหรี่ตาลงแล้วเอ่ย “ดังนั้นในรัชศกเจินเต๋อที่ยี่สิบหก ท่านจึงสังหารไหวอ๋อง”
สีหน้าของจักรพรรดิเจินเต๋อมีแต่ความชั่วร้ายขั้นสุด เขาส่ายหน้า
“ไม่ใช่ มันคือการดูดกลืน ข้าหลอมดวงวิญญาณของเขาและได้รับความทรงจำของเขามา เขาเป็นข้า และข้าก็เป็นเขา นี่คือหนึ่งในความลึกลับของไตรวิสุทธิเทพหลอมหนึ่งปราณ หากทำแค่ช่วงชิง กายเนื้อและจิตเดิมก็ไม่อาจเข้ากันได้และจะมีปัญหาตามมาไม่รู้จบ นั่นเท่ากับเป็นการตัดเส้นทางการฝึกตน แล้วข้าจะทำเรื่องตัดทางเจริญของตัวเองได้อย่างไรเล่า
แต่น่าเสียดายที่ข้ามิใช่คนในลัทธิเต๋าสายตรง แม้จะมีผู้นำเต๋านิกายปฐพีช่วยเหลือข้า และพยายามหลอมจิตเดิมของไหวอ๋องแล้ว แต่ร่างกายและวิญญาณหลักของข้าก็ยังไม่สมบูรณ์”
หากปราศจากความช่วยเหลือของผู้นำเต๋านิกายปฐพีขั้นสองผู้นั้น เขาก็ไม่มีทางใช้วิชาไตรวิสุทธิเทพหลอมหนึ่งปราณได้
เว่ยเยวียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “แล้วหยวนจิ่งล่ะ หยวนจิ่งก็ถูกท่านกลืนกินไปในตอนนั้นด้วยหรือ”
จักรพรรดิเจินเต๋อส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า
“พวกเขาสองพี่น้องควรจะหลอมรวมกับข้าในตอนนั้น แต่ข้าเคยบอกแล้วว่าหลังจากหลอมดวงวิญญาณของไหวอ๋อง วิญญาณหลักของข้าก็ไม่อาจซ่อมแซมดวงวิญญาณส่วนที่หลุดออกไปได้ จนทำให้ไม่สมบูรณ์ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ข้าจะไปกลืนกินหยวนจิ่งอีกได้อย่างไร ก็เลยได้แต่ต้องเปลี่ยนแผนให้ผู้นำเต๋านิกายปฐพีใช้วิชาวิญญาณหลงของลัทธิเต๋ามาลบความทรงจำช่วงนั้นของหยวนจิ่งไป จากนั้นจึงฝังเมล็ดพันธุ์จิตมารไว้ในสายธารแห่งปัญญาของเขา
ส่วนข้า หลังจากที่เตรียมการทั้งหมดแล้วก็สละราชบัลลังก์ และซ่อนตัวอยู่ในชีพจรมังกรใต้ดินที่เปิดออก ที่นั่นคือสถานที่เดียวที่ข้าจะหลุดรอดจากสายตาของท่านโหราจารย์ได้ ข้าหลับใหลอย่างเงียบๆ และรอคอยโอกาส โอกาสที่จะได้หลอมรวมหยวนจิ่ง
แต่สิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายคือ หยวนจิ่งถือเอาข้าเป็นบทเรียน และไม่ให้อำนาจแก่สมุหราชเลขาธิการอีก เขาชั่งน้ำหนักฝ่ายต่างๆ เท่ากันและพยายามควบคุมทุกพรรคทุกฝ่าย ความแข็งแกร่งของพลังแห่งอาณาจักรต้าฟ่งจึงเฟื่องฟูขึ้นทุกวัน เมื่อมีโชคชะตาติดกายอยู่ ข้าก็ไม่มีโอกาสกลืนกินเขา จนกระทั่งเจ้าโผล่ออกมา…”
เว่ยเยวียนตกตะลึง
“เจ้าลืมแล้วหรือ”
จักรพรรดิเจินเต๋อจ้องมองเว่ยเยวียน รอยโค้งที่มุมปากกว้างขึ้นเรื่อยๆ
“รัชศกหยวนจิ่งปีที่หก แม่ทัพตู๋กูแห่งแดนเหนือถึงแก่กรรม เจ้าเป็นคนนำทหารไปปราบปรามกองทัพเผ่าอนารยชนด้วยตัวเอง จากนั้นเพียงคนเดียวก็ทำให้ทั้งสมรภูมิตกตะลึง เจ้าคงอดคิดไม่ได้ว่าทำไมเจ้าถึงเพิ่งได้นำทัพออกรบล่ะสิ”
แววตาของเว่ยเยวียนขยายกว้างทันใด ราวกับถูกฟ้าผ่า
“ฮ่าๆๆๆ…” จักรพรรดิเจินเต๋อหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
“ฮองเฮาต้าฟ่งผู้สง่างาม ฮองเฮาผู้เป็นพระมารดาของแผ่นดิน กลับอยู่กินกับขันทีในวัง แล้วขันทีผู้นั้นก็ยังเป็นคู่รักวัยเยาว์ก่อนเข้าวังของตนอีกด้วย จะมีชายใดสามารถต้านทานการโจมตีเช่นนี้ได้เล่า แล้วนับประสาอะไรกับจักรพรรดิที่ดื้อรั้นเอาแต่ใจอย่างหยวนจิ่ง”
เขาหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง หัวเราะสะใจจนงอหน้างอหลัง
“ตั้งแต่นั้นมา ในที่สุดจิตมารในสายธารแห่งปัญญาของหยวนจิ่งก็ฟื้นฟูขึ้นแล้วค่อยๆ กัดกินเขาอย่างช้าๆ จนเขาแปดเปื้อน สาเหตุที่หยวนจิ่งยังไม่สังหารเจ้ากับฮองเฮาในตอนนั้นก็เพราะได้รับอิทธิพลจากจิตมารจนกลายเป็นคนเยือกเย็นเจ้าเล่ห์ หลังจากเข้าใจเรื่องอดีตของเจ้ากับฮองเฮา เขาก็เปลี่ยนความคิด โดยคิดจะยืมมือฮองเฮามาควบคุมเจ้า
จากนั้นยุทธการที่ด่านซานไห่ก็มาถึง การต่อสู้ครั้งนั้นสั่นคลอนทั่วทั้งแผ่นดินต้าฟ่ง และในตอนท้ายของยุทธการด่านซานไห่ ข้าก็อาศัยโอกาสนั้นมาหลอมรวมหยวนจิ่งและเข้าแทนที่
หลังจากเข้าแทนที่หยวนจิ่ง ข้าก็หลาบจำต่อความเจ็บปวด โดยไม่คิดแตะต้องอิสตรีและอุทิศตนให้กับการบำเพ็ญเต๋า ทางหนึ่งปรุงยาหาเหยื่อ อีกทางก็ให้ผิงหย่วนป๋อปล้นฆ่าประชาชนต่อไป หลังจากผ่านไปกว่าสี่สิบปี ในที่สุดก็ปลูกฝังเทพเจ้าหยางสำเร็จ และเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งความทุกข์ยากของขั้นสอง เว่ยเยวียน เจ้าว่าข้าต้องขอบคุณเจ้าดีหรือไม่”
หยวนจิ่งตัวจริงหายไปตั้งแต่ยี่สิบปีที่แล้วแล้ว
“จริงสิ ข้าแอบบอกความลับให้เจ้าฟังอย่างหนึ่งได้นะ ปีนั้นคนที่แอบเปิดเผยความสัมพันธ์ของเจ้ากับฮองเฮาให้หยวนจิ่งฟังก็คือพระมารดาขององค์รัชทายาท เฉินกุ้ยเฟยอย่างไรเล่า” จักรพรรดิเจินเต๋อโยนระเบิดลูกใหญ่มาอีกลูก
เฉินกุ้ยเฟย…เว่ยเยวียนนิ่งเงียบไปนาน “ผู้นำเต๋านิกายปฐพีพยายามช่วยเหลือท่านอย่างลำบากเช่นนี้ เพราะมีจุดประสงค์ใดกัน”
จักรพรรดิเจินเต๋อแค่นยิ้ม “ตอนนั้นผู้นำเต๋านิกายปฐพีมีแนวโน้มจะตกสู่ทางมารแล้ว แต่จิตดียังแข็งแกร่งกว่าจิตมารจึงสะกดกลั้นเอาไว้ได้ เพื่อป้องกันไม่ให้ตนถูกหลอมรวมหรือขจัดออกไป จิตมารจึงคิดวิธีได้อย่างหนึ่ง
“วันนั้นที่มีการปาฐกถาเต๋า จิตมารสัมผัสได้ถึงความปรารถนาที่อยากจะมีชีวิตยืนยาวของข้า จึงลอบทำให้ข้าแปดเปื้อนอย่างเงียบๆ แล้วขยายความปรารถนาของข้าที่มีต่ออายุยืนยาว จากนั้นก็ในวันหนึ่ง เขาก็ชิงโอกาสเข้าครองร่างกายข้าชั่วคราว เขาร่ายมนตร์ใส่ข้าและวางแผนลับทั้งหมดกับข้า
หลังจากนั้น ผู้นำเต๋านิกายปฐพีก็กลับไปกักตนที่นิกาย จิตดีและจิตมารพัวพันต่อสู้กันนานถึงสี่สิบวัน หลังจากผ่านไปสี่สิบวัน ผู้นำเต๋านิกายปฐพีก็ตกสู่ทางมาร จิตเดิมแตกซ่าน จิตดีหลุดรอดออกมาด้วยลมหายใจเพียงน้อยนิด เจ้าลองตรองดูสิ”
เว่ยเยวียนหยิบขวดกระเบื้องออกมาอีกครั้งแล้วกินยายาอายุวัฒนะลงไป เขาเงียบไปพักหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นว่า
“ร่ายมนตร์ให้จักรพรรดิมีอายุยืนยาวและกลืนกินบุตรของตนเอง สี่สิบปีมานี้ ประชาชนต้องดิ้นรน พลังแห่งอาณาจักรก็หลั่งไหลดุจสายน้ำ และนำไปสู่ผลเสียอย่างเลี่ยงไม่ได้…ดังนั้นสี่สิบปีต่อมา ผู้นำเต๋านิกายปฐพีก็ได้ตกสู่ทางมารอย่างสมบูรณ์ แต่มีเรื่องหนึ่งที่ข้าไม่เข้าใจ ในเมื่อท่านใช้ไตรวิสุทธิเทพหลอมหนึ่งปราณจนมีระดับการฝึกตนเช่นปัจจุบัน และชีวิตก็ยังยืนยาวขึ้นเรื่อยๆ แต่ท่านก็ยังเป็นจักรพรรดิแห่งโลกมนุษย์นี่ ท่านจะอยู่ยืนยาวได้อย่างไร”
แววตาที่เต็มไปด้วยความชั่วร้ายของจักรพรรดิเจินเต๋อกวาดมองดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์แล้วเอ่ยเสียงเรียบ
“ต่อมา มีคนคนหนึ่งสอนข้าว่าควรทำอย่างไรจึงจะมีชีวิตยืนยาวแม้จะมีฐานะเป็นจักรพรรดิ คำพูดของเขาเป็นแรงบันดาลใจให้กับข้าอย่างแท้จริง ตลอดยี่สิบปีมานี้ แผนการทั้งหมดของข้าล้วนเริ่มต้นขึ้นเพราะบุคคลนั้น รวมถึงวันนี้ ข้าใช้เทพอูเป็นเหยื่อให้เจ้ามาติดกับ ก็เป็นหนึ่งในขั้นตอนสำคัญที่สุดในแผนการของข้า”
ดาบสลักถูกอาบย้อมอย่างสมบูรณ์ จิตวิญญาณสูญหายจนหมดสิ้น
“แม้จะอาบย้อมไปได้แต่ครึ่งเค่อ แต่ก็เพียงพอแล้ว” จักรพรรดิเจินเต๋อโยนมันลงหน้าผาอย่างไม่ยี่หระ แล้วหันมามองเว่ยเยวียนก่อนเอ่ยด้วยรอยยิ้มแสยะ
“เจ้าคิดจะผ่านพวกเราไปได้อย่างไร จะผนึกเทพอูอย่างนั้นหรือ?”
ในที่นั้น พ่อมดใหญ่หนึ่งคน ปราชญ์วิญญาณสองคน และผู้แข็งแกร่งที่อยู่ในช่วงเคราะห์กรรมหนึ่งคน
เว่ยเยวียนเป็นแค่คนเดียว เขาเป็นจอมยุทธ์ที่มีพลังที่แทบจะเรียกได้ว่าอยู่ในขั้นสอง
จักรพรรดิเจินเต๋อยกมือขึ้นราวกับกำลังบีบบางอย่างกลางอากาศ เขาบีบมันเอาไว้ที่ปลายนิ้วแล้วสะบัดออกมา
ปราณกระบี่สายหนึ่งคำรามลั่น หนึ่งเป็นสอง สองเป็นสาม สามเป็นพัน เป็นหมื่น
ปราณกระบี่หนาแน่นราวกับฝูงปลาก้นทะเล มันสาดซัดไปยังเว่ยเยวียนราวกับกระแสคลื่นทลายสิ้น
ปราณกระบี่ทุกสายล้วนสามารถสังหารขั้นสี่ได้อย่างง่ายดาย นอกจากนั้น ในปราณกระบี่ยังแฝงด้วยพลังโจมตีต่อจิตเดิมอีกด้วย
กระบี่ปราณของนิกายมนุษย์และกระบี่ใจรวมเป็นหนึ่ง
เว่ยเยวียนไขว้แขนมาป้องกันทรวงอกแล้วพุ่งไปข้างหน้าฝ่าฝนกระบี่อันหนาแน่น…แสงพราวระดับงดงามเหลือแสนระเบิดออกมาจากตัวเขา
เพียงหนึ่งเค่อ ปราณกระบี่ก็ทะลวงร่างของเว่ยเยวียนจนเขาสลายไปราวกับภาพมายาในความฝัน
จักรพรรดิเจินเต๋อถอยกลับมาภายใต้การขับไล่ของแสงสว่าง
ร่างของเว่ยเยวียนปรากฏขึ้นอีกครั้ง เขาพุ่งลงมาจากกลางอากาศ
นอกจากจอมยุทธ์ภิกษุสำนักพุทธแล้ว ก็ไม่มียอดฝีมือระดับสูงจากสายการฝึกตนใดกล้าให้จอมยุทธ์เข้ามาใกล้
ทั้งสองกำลังไล่ล่ากันอยู่บนภูเขา การระเบิดของพลังปราณซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ ภูเขาถล่มราบลงมา ก้อนหินยักษ์กลิ้งเกลือกมาไม่หยุด ทันใดนั้น ป่าใหญ่ก็พลันถูกตัดโค่นจน ‘ราบเป็นหน้ากลอง’
บางครั้งเสียงระเบิดของพลังปราณก็ดังมาจากผืนน้ำและทำให้เกิดคลื่นปั่นป่วน
แต่ไม่ว่าจะพยายามมากแค่ไหน ก็ไม่อาจมองเห็นร่างของสองยอดฝีมือสูงสุดทั้งสองคนได้ชัด
ในการต่อสู้ครั้งนี้ ยอดฝีมือขั้นสองอย่างอีเอ๋อร์ปู้และอูต๋าเป๋าถ่าทำได้เพียงเป็นผู้ช่วยเท่านั้น บางครั้งก็ได้แต่หาโอกาสใช้วิชาสาปสังหารกับเว่ยเยวียน หรือใช้ความสามารถหลักของปราชญ์วิญญาณมอบจิตวิญญาณปราณกระบี่ให้กับจักรพรรดิเจินเต๋อ เพื่อไม่ให้พวกมันล้มเหลว และจะได้ค่อยๆ ทรมานปราณโลหิตของเว่ยเยวียนจนหมดไปอย่างช้าๆ
นอกจากวิธีการนี้แล้ว สายการฝึกตนใหญ่ๆ ก็แทบจะไม่มีวิธีใดที่จะสังหารจอมยุทธ์ขั้นสามขึ้นไปได้เลย
ซ่าหลุนอากู่ไม่ได้ร่วมต่อสู้ด้วย เขาถอนหายใจ “จอมยุทธ์ที่สามารถทำลายค่ายกลได้ช่างทำให้คนปวดหัวเสียจริง”
ร่างของเขาพร่ามัวอีกครั้ง ราวกับว่ามีม่านที่มองไม่เห็นแยกตัวเขาออกจากโลกแห่งความจริง
ซ่าหลุนอากู่เอ่ยเสียงดัง “เจินเต๋อ หากข้าให้เจ้ายืมพลังแห่งฟ้าดิน เจ้ามั่นใจหรือไม่ว่าจะสังหารเว่ยเยวียนได้”
จักรพรรดิเจินเต๋อหยุดชะงักกลางอากาศสูงแล้วยิ้มเยาะ “เช่นนั้นต้องขอบคุณพ่อมดใหญ่ที่ช่วยให้ข้าสังหารขุนนางขี้ขโมยผู้นี้ได้แล้ว”
ซ่าหลุนอากู่ยกเท้าขึ้น “ฟ้าดินโปรดมอบจิตวิญญาณให้แก่ข้า”
หินถูกลมเฉือน ดินกลายเป็นทรายเหลือง จิตวิญญาณดินและพลังแห่งวิญญาณสีทองถูกพัดเข้าไปอยู่ในความว่างเปล่าโดยมีซ่าหลุนอากู่เป็นสื่อกลาง จากนั้นพวกมันก็เทลงบนร่างของจักรพรรดิเจินเต๋อ
“พืชพรรณโปรดมอบจิตวิญญาณให้แด่ข้า”
ดอกไม้และต้นไม้เหี่ยวเฉาในความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า พลังของวิญญาณไม้สีเขียวชอุ่มเทลงบนจักรพรรดิเจินเต๋อ
“มหาสมุทรโปรดมอบจิตวิญญาณให้แด่ข้า”
ผิวน้ำทะเลเป็นประกายระยิบระยับ พลังของวิญญาณแห่งวารีที่ห้วงมืดมิดเทลงไปที่จักรพรรดิเจินเต๋อ
“เพลิงกัลป์โปรดมอบจิตวิญญาณให้แด่ข้า…”
พลังแห่งฟ้าดินถูกดึงออกมา และลมหายใจของจักรพรรดิเจินเต๋อก็พุ่งสูงขึ้น ตอนนี้ราวกับว่าเขาจะเป็นเจ้าแห่งช่วงเวลานี้และกำลังจ้องมองขุนนางขี้ขโมยด้วยสายตาเย็นชา
จักรพรรดิเจินเต๋อดึงกระบี่ออกมาช้า เขาชักกระบี่ห้าสีออกมาจากความว่างเปล่าที่มี ‘ทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดิน’ ที่พัวพันกันอยู่ มันคือพลังห้าธาตุอันเป็นพื้นฐานของสรรพสิ่ง
อีเอ๋อร์ปู้ อูต๋าเป๋าถ่า ซ่าหลุนอากู่ลงมือพร้อมกัน พวกเขามอบจิตวิญญาณดาบโดยมีความสามารถหลักของปราชญ์วิญญาณเป็นสื่อ
หลังจากเสร็จสิ้นการมอบทุกอย่าง กลิ่นอายของซ่าหลุนอากู่ผู้เป็นพ่อมดใหญ่ขั้นหนึ่งแห่งสำนักพ่อมดในปัจจุบันก็ถดถอยไปอย่างรวดเร็ว
ขั้นหนึ่งผู้ยิ่งใหญ่ใกล้จะหมดกำลังแล้ว
หลังจากนี้เมื่อผ่านไปหนึ่งร้อยปี รอบๆ จิ้งซานก็กลายเป็นพื้นที่รกร้างว่างเปล่า
พลังกระบี่ระเบิดขึ้นอีกครั้ง
กระบี่เล่มนี้มีพลังเกินกว่าระดับขั้นเล็กน้อย
นั่นทำให้มือที่กุมกระบี่ของจักรพรรดิเจินเต๋อสั่นเทาเล็กน้อยราวกับไม่อาจควบคุมมันได้
กระบี่เล่มนี้รวมพลังของยอดฝีมือขั้นสามสองคน ขั้นหนึ่งหนึ่งคน และขั้นสองหนึ่งคนเอาไว้
ในยุคที่ไม่มีสิ่งที่อยู่เหนือระดับปรากฏขึ้น มันจะอยู่ยงคงกระพันและฝ่าฟันทุกอุปสรรค
บนสนามรบที่อยู่ห่างไกล ไม่ว่าจะเป็นทัพต้าฟ่งหรือกองทัพตะวันออกเฉียงเหนือ ทหารแต่ละคนล้วนสัมผัสได้ถึงพลังยิ่งใหญ่ที่เรืองรองขึ้นมาจนเกิดความหวาดกลัวที่ส่วนลึกของก้นบึ้งจิตใจ บางคนวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน บางคนปัสสาวะเรี่ยราด และบางคนก็หัวใจวายตายในที่นั้น
จางไคไท่และยอดฝีมือคนอื่นๆ รู้สึกหนังศีรษะชาในชั่วพริบตา พวกเขาข่มกลั้นความหวาดกลัวเอาไว้แล้วมองไปยังที่มาของความน่าเกรงขามนั้น มันคือประกายกระบี่ห้าสีที่ราวกับสามารถฟาดฟันฟ้าดินได้
และผู้ที่อยู่ภายใต้แสงกระบี่นั่นก็คือเว่ยเยวียนในชุดสีครามขาดวิ่น
“เว่ยกง…”
แววตาของฆ้องทองคำทั้งหลายแดงก่ำ สีหน้าซีดเผือด
กระบี่เล่มนี้ทำให้พวกเขาเกิดความคิดว่าไม่อาจต้านทานได้และอยากจะหลบหนีไปให้ไกลอย่างหยุดไม่อยู่
สู้กันมาจนถึงตอนนี้ก็เกินความคาดหมายของทหารระดับสูงทั้งหลายแล้ว เรื่องราวทีละฉากทีละขั้นทำให้พวกเขาทั้งหวาดกลัวและสับสน
เหล่าพ่อมดที่นำโดยน่าหลันเหยี่ยนเงยหน้ามองไปยังปราณกระบี่สายนั้น จิตใจพลันสั่นสะท้าน
“ฆ่าเขา ฆ่าเว่ยเยวียน…” ดวงตาของน่าหลันเหยี่ยนแดงก่ำ
แค้นที่สังหารบิดา วันนี้เขาจะต้องชดใช้
“ฆ่าเว่ยเยวียน!” พ่อมดคนหนึ่งตะโกนขึ้น
“ฆ่าเว่ยเยวียน!”
“ฆ่าเว่ยเยวียน!”
เสียงตะโกนดังขึ้นเรื่อยๆ และบรรดาผู้ที่ยังมีเรี่ยวแรง หรือผู้ที่หลับตาลงเพราะไม่กล้ามองก็พากันตอบรับขึ้น
เสียงทั้งหมดมารวมกันเป็น ‘ฆ่าเว่ยเยวียน!’
เว่ยเยวียนยืนอยู่บนผิวน้ำ เขาเงยหน้ามองแสงกระบี่อันทรงพลังนั่น มองไปยังจักรพรรดิเจินเต๋อผู้ยิ่งใหญ่
ในความคิดของเขา มีภาพของเด็กชายบนหลังม้าที่ยืนอยู่บนเนินเขาซึ่งมาส่งก่อนการเดินทางฉายซ้ำไปซ้ำมา
ในหูของเขาราวกับมีเสียงร้องเพลงของชายผู้นั้นดังขึ้นอีกครั้ง
ควันหมาป่าลอยขึ้นจากภูผาธาราทิศเหนือ มังกรอาชาร้องคำราม ปราณกระบี่เปรียบดังน้ำแข็งค้าง!
หัวใจเปรียบเสมือนผืนน้ำอันกว้างใหญ่ของแม่น้ำเหลือง ยี่สิบปีมิมีผู้ใดจะต้านทานได้!
ยี่สิบปีมิมีผู้ใดจะต้านทานได้…เว่ยเยวียนยิ้ม “เช่นนั้นก็ต้องเรียกผู้ไร้พ่ายแห่งโลกาออกมาแล้ว”
เขาหยิบมงกุฎปราชญ์ออกมาจากชุดสีครามที่ขาดวิ่นแล้วสวมลงไป
สมบัติชิ้นที่สองของสำนักอวิ๋นลู่ ‘มงกุฎแห่งปราชญ์เอก’
“จงมา!”
เขาโบกมือเบาๆ
ดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ฟื้นขึ้นมา มันชะล้างมลทินออกไปแล้วกลายเป็นลำแสงส่งตัวเองเข้าสู่มือของเว่ยเยวียน
เขามองขึ้นไปบนฟ้าแล้วตะโกนลั่น “จงมา!”
บนท้องฟ้าครามมีลำแสงกระจ่างใสส่องมาบนร่างของเว่ยเยวียน
แสงอันกระจ่างนี้มาจากเจ้าสำนักจ้าวโส่วและพรของปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้นสามที่เกือบสิ้นชีพ
มงกุฎปราชญ์และดาบสลักเปล่งประกายเจิดจรัส
สุดท้ายเขาก็หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ บนกระดาษนั้นบันทึกวิชาเวทธรรมดาๆ เอาไว้ ซึ่งเป็นวิชาเวททั่วไปสำหรับเหล่าพ่อมด!
พรมอบความสามารถหลัก ‘อัญเชิญวิญญาณวีรบุรุษ’
เมื่อเห็นสิ่งนี้ พวกพ่อมดทั้งสามคนอย่างซ่าหลุนอากู่ก็เลิกคิ้วขึ้นเพราะเกิดลางสังหรณ์ไม่ดี
‘ฟึบ!’
ขณะที่กระดาษกำลังเผาไหม้ เว่ยเยวียนก็เอ่ยเสียงดังอย่างอารมณ์ดี “อัญ-เชิญ-ปราชญ์-เอก”
ในชั่วพริบตา ปราณกระจ่างใสก็พลันท่วมท้นท้องฟ้า!
……………………………………………………….