ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง – บทที่ 470-2 เด็ดหัวผู้นำจากกองทัพนับหมื่น เร็ว! (2)

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 470-2 เด็ดหัวผู้นำจากกองทัพนับหมื่น เร็ว! (2)

บทที่ 470 เด็ดหัวผู้นำจากกองทัพนับหมื่น เร็ว! (2)

“ดี!”

ทหารทั้งหลายคุ้มกันเมืองไปพลางเผยรอยยิ้มอันจริงใจและเคารพเลื่อมใสออกมาด้วย

‘แม้จะเป็นขั้นสี่เหมือนกัน แต่เมื่อได้เห็นการบุกทะลวงฟันที่เนิ่นนานเช่นนี้ หากเปลี่ยนเป็นข้า พลังปราณคงจะหมดไปกว่าครึ่งแล้ว…’ จางไคไท่ทอดถอนใจแล้วก็ตกตะลึง ขั้นสี่คุณวุฒิสูงส่งอย่างเขากลับยังได้แค่นี้

“ควรกลับมาได้แล้ว เขาควรกลับมาได้แล้ว”

จางไคไท่กดเสียงต่ำ น้ำเสียงร้อนรนใจ

แม้ว่าสวี่ชีอันจะเก่งกาจมากพรสวรรค์และไม่อาจมองเขาว่าเป็นขั้นสี่ธรรมดาๆ ได้ แต่ไม่ว่าจะอัจฉริยะมากแค่ไหน ระดับความแข็งแกร่งของพลังปราณก็จะไม่แข็งแกร่งไปกว่าขั้นสี่อาวุโสได้หรอก

นั่นก็หมายความว่า ตอนนี้พลังปราณของสวี่ชีอันถูกใช้ไปกว่าครึ่ง เขาสมควรกลับมาแล้ว ไม่อย่างนั้นละก็ หากถูกกองทัพและยอดฝีมือของหนู่เอ่อร์เฮ่อเจียพัวพันเข้าก็มีแต่ต้องถูกทรมานจนตาย

ที่หน้าสนามรบ สีหน้าของหนู่เอ่อร์เฮ่อเจียพลันมืดครึ้ม

‘ขั้นสี่ ถ้าดูไม่ผิด เจ้าเด็กนั่นอยู่ขั้นสี่สินะ’

ขั้นห้าไม่สามารถหลุดออกมาจากเชือกได้ พลังปราณก็ไม่มีทางเต็มเปี่ยมเช่นนี้ เขาเคยประมือกับสวี่ชีอันมาก่อน จึงพอจะรู้เรื่องพลังของบุคคลอันน่าอัศจรรย์แห่งต้าฟ่งผู้นี้อยู่บ้าง

‘เข้าสู่ขั้นสี่ในชั่วข้ามคืน ต้องมีพรสวรรค์ระดับไหนกัน’

ไม่ว่าหนู่เอ่อร์เฮ่อเจียจะมีฐานะเป็นเจ้าผู้ครองแคว้น หรือว่ามีระดับการฝึกตนอยู่ในขั้นสี่สูงสุดของสองสายก็ตาม ล้วนแต่มีความหยิ่งทะนงว่าตนเก่งกาจเหนือขั้นสามทั้งนั้น แต่ตอนนี้เป็นครั้งแรกที่เขาเกิดความริษยาต่อมือดีจากต้าฟ่งผู้นี้

เขามีชื่อเสียงพุ่งพรวดราวกับอาทิตย์ยามเที่ยง ร่างกายที่แข็งแกร่งไม่อาจทำลายได้ และพรสวรรค์เหนือล้ำอันน่าสะพรึงกลัว

หากไม่ฆ่าคนผู้นี้ ต่อไปอีกสิบปียี่สิบปี เขาต้องกลายเป็นปัญหาใหญ่ของสำนักพ่อมดอย่างแน่นอน บางทีอาจทำให้ต้าฟ่งมีเว่ยเยวียนเพิ่มขึ้นมาอีกคนก็ได้

หนู่เอ่อร์เฮ่อเจียหรี่ตามองพิจารณาสวี่ชีอันที่หอบหายใจขึ้นลง จากนั้นก็อดยิ้มออกมาไม่ได้

‘บุกฆ่าฟันอยู่คนเดียวเช่นนี้ สวี่ชีอันอย่างเจ้ามีพลังปราณให้ผลาญมากเท่าใดกัน?’

พวกที่ต่ำกว่าระดับสามล้วนเป็นมนุษย์ธรรมดาทั้งนั้น และมนุษย์ก็มีขีดจำกัด

เมื่อเหล่าทหารสงบสติอารมณ์ลง ก็จะเป็นเวลาตายของเขา

หนู่เอ่อร์เฮ่อเจียมีประสบการณ์รบมากมาย ในสายตาของเขา ตอนนี้การตีเมืองไม่ใช่เรื่องสำคัญ สิ่งสำคัญก็คือล้อมสังหารสวี่ชีอัน

ทหารคุ้มกันเมืองของต้าฟ่งมีขวัญกำลังใจสูงกล้า พร้อมเสี่ยงชีวิตและลืมตาย ด้วยปัจจัยสำคัญที่สุดก็คือเจ้าคนแซ่สวี่ที่ยังตั้งมั่นไม่ล้มผู้นั้น

เมื่อฆ่าสวี่ชีอันได้ ก็เท่ากับได้ทำลายความเชื่อและจิตวิญญาณการต่อสู้ของทหารป้องกันเมืองของต้าฟ่ง เช่นเดียวกับการตายของอาหลี่ไป๋ที่ทำให้ทหารหน่วยบุกทะลวงที่เหลือรีบร้อนหลบหนีและไร้ซึ่งความตั้งใจที่จะต่อสู้อีก

และเช่นเดียวกับที่ซูกู่ตูหงสยงสู้จนตัวตายเมื่อวาน ทหารของคังกั๋วต่างก็ตกอยู่ในความโกลาหลทั้งนั้น

หนู่เอ่อร์เฮ่อเจียสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วตะโกนลั่นราวกับสายฟ้า “ผู้ใดตัดหัวสวี่ชีอันมาได้ ตกรางวัลหนึ่งพันตำลึงทอง ที่ดินหนึ่งพันครัวเรือน หากตัดแขนขามาได้ ตกรางวัลร้อยตำลึงทอง ที่ดินร้อยครัวเรือน”

‘เฮ!’

เสียงร้องลั่นราวกับคลื่นโหมกระหน่ำ ทัพพันธมิตรจากสองแคว้นต่างเดือดพล่านกันขึ้นมา

หนึ่งพันตำลึงทอง ใช้แปดชาติก็ยังไม่หมด

ที่ดินหนึ่งพันครัวเรือน เท่ากับเป็นศักดินาของโหวพันครัวเรือนเลยนะ ในเหยียนกั๋ว โหวพันครัวเรือนนั้นเป็นรองแค่ตำแหน่งเจ้านายชั้นสูงอย่างโหวหมื่นครัวเรือนเท่านั้น เช่นนี้ทั้งรุ่นลูกรุ่นหลานก็จะมั่งคั่งร่ำรวย

เมื่อมีรางวัลหนักๆ ก็ต้องมีผู้กล้าออกมา

“หน่วยทำลายทัพยินดีออกรบ”

“หน่วยทหารม้ายินดีออกรบ”

“หน่วยทหารโม่เตายินดีออกรบ”

“…”

จิตวิญญาณการรบของกองทัพพันธมิตรสองแคว้นปะทุขึ้น ต่างก็คันไม้คันมืออยากจะลอง จนตอนนี้จอมยุทธ์ที่ยืนถือดาบผู้นั้นราวกับกลายเป็นเนื้อปลาบนเขียง หากได้กัดไปคำหนึ่ง ก็จะทำให้ลูกหลานร่ำรวยมั่งคั่ง

ต่อให้แย่งชิงหัวของเขาไม่ได้ แต่แค่แย่งเอาแขนขาของเขามาก็พอแล้ว ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า

หนู่เอ่อร์เฮ่อเจียมีสีหน้าเคร่งขรึม เขาโบกมืออย่างแรง “เตรียม!”

กองทัพที่ตะโกนลั่นกลับชะงักไปทันใด และเดาไม่ออกถึงความหมายของเจ้าครองแคว้นเหยียน สรุปเขาจะให้หน่วยไหนออกไปรบกัน?

ทันใดนั้น ผู้บัญชาการหน่วยทหารม้าก็ตะโกนออกมา “ตามข้าไปบุก!”

จากนั้นก็ขี่ม้านำออกไป

เมื่อเขาเคลื่อนไหว ทหารม้าด้านหลังก็รีบตามไปทันที คลื่นมนุษย์เคลื่อนไหวอยู่บนหลังม้า อานุภาพเกรียงไกรน่าเกรงขามยิ่ง

ผู้บัญชาการทหารโม่เตาร้อนใจ “มัวนิ่งอยู่ทำไม ตามข้าบุกเร็วเข้า”

ทหารทัพโม่เตาเริ่มเข้าใจขึ้นมาแล้ว จากนั้นพวกเขาก็พุ่งออกไปรบตามผู้บัญชาการของตน

ต่อจากนั้น หน่วยทหารที่ขอออกรบพวกนั้นก็พรั่งพรูกันออกไป ทั้งรีบร้อนและหวาดกลัว ด้วยกลัวว่าจะถูกแย่งความดีความชอบไปก่อน

ส่วนหน่วยทหารที่ไม่ได้ขอออกรบไปก็ทั้งโมโหทั้งร้อนใจ ราวกับภรรยาของตนถูกคนแย่งเอาไปอย่างนั้น

“ทหารสองหมื่น ดูซิว่าเจ้าจะตายหรือไม่”

ผู้บัญชาการคนหนึ่งสบถออกมาอย่างฉุนเฉียว รู้สึกหงุดหงิดเหลือทน เจ้าคนแซ่สวี่แห่งต้าฟ่งผู้นั้นต้องตายแบบไม่สมประกอบแน่แล้ว ทำไมเมื่อกี้ตนถึงมีไหวพริบไม่พอและไม่ได้อาสาออกไปรบกันนะ ดันเสียโอกาสให้เจ้าพวกลูกสุนัขเหล่านี้ไปเปล่าๆ ซะได้

บนกำแพงเมือง พวกจางไคไท่และทหารคนอื่นๆ หน้าเปลี่ยนสี เมื่อมองลงมาจากที่สูงก็เห็นเพียงแต่คลื่นมนุษย์สีดำๆ พุ่งเข้ามาราวกับฝูงหนูและเหมือนกับคลื่นพัดโหม จนฝุ่นธุลีฟุ้งกระจายขึ้นมา

และผู้ที่อยู่ด้านหน้าทหารนับพันนับหมื่นนี้ก็คือชายชุดครามที่อาบย้อมไปด้วยเลือด

ภาพนี้ทำให้ทหารทุกคนบนกำแพงเมืองหนังศีรษะชาหนึบ

‘อึก…’ ลูกกระเดือกของทหารคุ้มกันเมืองผู้หนึ่งกลิ้งเกลือกแล้วเอ่ยพูดอย่างหวาดหวั่น

“ฆะ…ฆ้องเงินสวี่จะต้านได้หรือไม่ พวกเรา…พวกเราลงไปช่วยคนกันเถอะ”

“ฆ้องเงินสวี่จะกลับมาเอง…”

“หากเปิดประตูเมืองตอนนี้ ทหารที่อยู่ด้านล่างจะต้องบุกเข้ามาแน่ และเราก็ไม่อาจช่วยคนได้เลย”

ทหารคนหนึ่งเอ่ยเสียงดัง “แต่…แต่จะให้มองดูฆ้องเงินสวี่ตกอยู่ในอันตรายโดยไม่สนใจไม่ได้นะ เขาต้องการกำลังเสริม ต้องการกำลังเสริม…”

ดูเหมือนว่าความองอาจของฆ้องเงินสวี่ที่ราวกับไม่มีผู้ใดต้านได้จะไปกระตุ้นต่อมโมโหของทัพศัตรูเข้าเสียแล้ว จนพวกเขาต่างบุกเข้ามาเพื่อสังหารฆ้องเงินสวี่โดยไม่สนสิ่งที่ต้องแลกกันทั้งนั้น

เหล่าทหารมองเห็นชัดเจนว่าในหมู่กองทัพที่บุกเข้ามานั้นมีทหารม้าทะลวงไร้พ่ายอยู่ด้วย มีกองทัพทหารดาบโม่เตาที่หนึ่งดาบสามารถฟันคนและม้าจนแหลกลาญได้ และยังมีทหารทำลายทัพที่มีโล่และสวมชุดเกราะหนักอยู่กับตัว….

ล้วนแต่เป็นชั้นยอดอันดับหนึ่งของอันดับหนึ่ง

เห็นได้ชัดว่าทหารชั้นยอดเหล่านั้นไม่เชี่ยวชาญด้านการโจมตีเมือง ดังนั้นตอนนี้พวกเขาจึงพุ่งเข้ามาหาฆ้องเงินสวี่โดยเฉพาะ

ต่อให้เป็นฆ้องเงินสวี่ แต่เมื่อต้องเผชิญกับกองทหารชั้นยอดมากมายขนาดนี้ก็คงสู้ไม่ไหว…เหล่าทหารคุ้มกันเมืองต่างก็เป็นกังวล ต่อให้เคารพศรัทธาสวี่ชีอันมากเท่าใด แต่ตอนนี้ก็อดไม่ได้ที่จะเป็นกังวลและอกสั่นขวัญแขวนแทนเขา

คนที่อยู่ด้านหลังเป็นห่วงเขา แต่ตัวของสวี่ชีอันเองกลับยืนนิ่งราวกับรอคอยการมาถึงของศัตรู

‘สวี่ชีอันขาดสติแล้ว…’ จิตใจของเหล่าทหารซึ่งรวมไปถึงจางไคไท่ต่างก็นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้

นี่ไม่ใช่ตัวอย่างแรก สายจอมยุทธ์นั้นแตกต่างจากสายอื่นๆ เมื่อพลังฝึกตนยิ่งแข็งแกร่ง จิตใจก็ยิ่ง ‘ไร้กฎไร้เกณฑ์’ มากเท่านั้น คนที่พะวงหน้าพะวงหลังไม่สามารถเป็นจอมยุทธ์ขั้นสูงได้

เพราะเหตุผลนี้ เมื่อสังหารศัตรูในสนามรบก็จะเลือดร้อนและไม่สนอะไรขึ้นมาได้ง่าย จอมยุทธ์หลายคนจะเอาแต่ฆ่าฟันอยู่ในวงล้อมศัตรู และไม่อาจกลับหลังได้เลย

จิตใจของจางไคไท่จมดิ่งลงทันใด ความหวาดกลัวเป็นกังวลพลิกตลบอยู่ในใจ เขาไม่สนใจรักษาภาพลักษณ์อยู่ยงคงกระพันของสวี่ชีอันแล้วมองไปยังทหารแต่ละคน

“พวกเจ้าคุ้มกันเมืองอยู่ที่นี่ ข้าจะไปช่วยสวี่ชีอัน”

“ใต้เท้าผู้บัญชาการ พวกเราขอไปด้วย”

ทหารระดับสูงหลายคนไม่ยินยอมให้เขาออกรบคนเดียว

จางไคไท่ส่ายหน้า

“พวกเจ้าต้องรั้งอยู่ที่นี่ หากพวกเราลงไปกันหมด หนู่เอ่อร์เฮ่อเจียที่จ้องตาเป็นมันจะต้องลงมือแน่ ข้าจะไปช่วยสวี่ชีอัน เขาเป็นรุ่นน้องในที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลของข้า ข้าต้องปกป้องเขาแทนเว่ยกง”

ครั้งนี้หลี่เมี่ยวเจินไม่ได้ห้าม นางมองดูแผ่นหลังของสวี่ชีอันด้วยความหวั่นไหว แก่นปราณของนางบอกนางว่าคนผู้นั้นยังมีแรงเหลือพอจะให้จางไคไท่ไปช่วยคนได้

ทัพข้าศึกบุกทะลวงเข้ามาราวกับฝูงหนู ทั้งสองฝ่ายเข้ามาใกล้กันเรื่อยๆ

หนึ่งร้อยจั้ง แปดสิบจั้ง ห้าสิบจั้ง สามสิบจั้ง…ผู้บัญชาการที่พุ่งอยู่ข้างหน้าแต่ละคนล้วนเผยสีหน้าดุดันออกมา พวกทหารม้ากวัดแกว่งเส้นเชือก ทหารดาบโม่เตาชักอาวุธรบหนาหนักออกมา หน่วยทำลายทัพยกโล่ขึ้นแล้วพุ่งมาเร็วกว่าเดิม

แต่ไม่มีใครมองเห็น ที่ระหว่างนิ้วมือของสวี่ชีอันมีผงสีม่วงปลิวว่อน

ท่านโหราจารย์ได้มอบอาวุธเวทมนตร์ปกปิดโชคชะตาไว้ให้เขา ซึ่งก็ถูกเขาบดเป็นผงด้วยมือตัวเอง

เมื่อไม่มีสิ่งใดปิดบังโชคชะตาเอาไว้ ก็ไม่มีสิ่งใดส่งผลต่อการดูดซับพลังชีวิตของทุกสรรพสิ่ง

สวี่ชีอันค่อยเก็บดาบเข้าฝัก กักเก็บพลังปราณทั้งหมด และสะกดอารมณ์ทุกอย่างเอาไว้

เขาใช้วิชาเลี้ยงจิตดาบที่ฉู่หยวนเจิ่นสอนมาเคลื่อนพลังของสรรพสิ่ง นี่เป็นความหมายอันล้ำลึกที่เขาตระหนักได้จากพิธีต้าวฮวดของสำนักพุทธ

ใจความหลักคือการยืมเจตจำนงของสรรพสิ่งและหล่อเลี้ยงเจตจำนงดาบ

ทหารต้าฟ่งหมื่นกว่าคนที่อยู่ข้างหลังทำให้เขารวบรวมเจตจำนงอันไร้พ่ายได้ ตอนนี้ล้วนแต่เข้ามาอยู่ในร่างของสวี่ชีอันทั้งหมด

คิดว่าสวี่ชีอันคนนี้จะเป็นเนื้อปลาที่ปล่อยให้คนมาสับง่ายๆ จริงๆ หรือ

ตอนนี้เอง สวี่ชีอันก็ลืมตาขึ้น

‘ชิ้ง!’

ดาบเดียวตัดฟ้าดิน!

ประกายดาบสีทองหม่นส่องสว่างอยู่ท่ามกลางฟ้าดิน

ทหารม้าที่พุ่งเข้ามาสูญเสียร่างกายท่อนล่างของตนไปและร่วงลงไปพร้อมกับหัวของม้าศึก

ทหารยกโล่ก็ล้มลงอย่างควบคุมไม่ได้ จากนั้นก็ชนเข้ากับท่อนล่างของตัวเองที่ยังวิ่งไปข้างหน้าแล้วล้มระเนระนาดพร้อมกัน

ทัพดาบโม่เดาที่ได้ชื่อว่าดาบเดียวสังหารสิ้นทั้งคนและม้าก็ถูกดาบนี้ทำลายจนแหลกไปก่อนแล้ว

ทหารชั้นสูงสองหมื่นคนตกตายไปหนึ่งในสามทันทีเมื่ออยู่ภายใต้ดาบเล่มนี้

ดาบเดียวฟันลงไป ทำให้เกิดวิญญาณศึกเจ็ดพันขึ้นมาระหว่างฟ้าดิน

เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเป็นสนามรบที่มีคนนับหมื่น แต่ตอนนี้กลับตกอยู่ในความเงียบงันและไร้ซึ่งเสียงลมหายใจชั่วคราว

ผ่านไปพักหนึ่ง เสียงดึงบังเหียนเชือกม้าก็ดังขึ้นพร้อมกัน ทหารม้า ทหารดาบโม่เตา และทหารราบทำลายทัพที่โชคดีรอดชีวิตพากันหยุดชะงัก จากนั้นก็วิ่งหนีอุตลุดไปตามๆ กัน

หนึ่งพันตำลึงทองก็ดี ตำแหน่งโหวหนึ่งพันหรือพนึ่งร้อยครัวเรือนก็ช่าง ตอนนี้ราวกับเป็นแค่ความฝันเฟื่องเท่านั้นแล้ว

อานุภาพของดาบนั้นทำลายจิตใจและเกรงว่าตอนนี้คงจะระเบิดอยู่ในใจของพวกเขาไปแล้ว

ที่ไกลๆ กองทัพข้าศึกของหนู่เอ่อร์เฮ่อเจียตกอยู่ในความปั่นป่วน

ต่อสู้กันครั้งหนึ่งก็หมดแรงกำลังไปหลายรอบแล้ว สู้กันมาจนถึงตอนนี้ ขวัญทหารของกองทัพพันธมิตรสองแคว้นล้วนแหลกสลายอย่างไม่อาจเลี่ยงได้ พวกเขาถูกจอมยุทธ์จากต้าฟ่งผู้หนึ่งทุบตีทำลายไปหมด

‘ขั้นสาม ขั้นสาม??! เขามีไพ่ลับอยู่จริงๆ…’ หนู่เอ่อร์เฮ่อเจียดวงตาหดเกร็ง หัวใจเต้นกระหน่ำ ทั้งหวาดกลัว เจ็บใจ และลุกโชนไปด้วยไฟโทสะ

สิ่งที่ดาบเล่มนี้ฟันลงมาคือยอดฝีมือที่คังกั๋วและเหยียนกั๋วต้องถึงใช้เวลาหลายปี หรืออาจถึงขั้นสิบกว่าปีเพื่อเลี้ยงดูออกมา

หนู่เอ่อร์เฮ่อเจียบีบนิ้วด้วยสีหน้าอึมครึม

อย่าว่าแต่ทัพพันธมิตรสองแคว้นเลย แม้แต่ทหารต้าฟ่งที่อยู่บนกำแพงเมืองต่างก็มองภาพนี้ด้วยอาการตาโต

ไม่มีเสียงร้องตะโกน ไม่มีเสียงร้องชม แต่ละคนราวกับสูญเสียความสามารถในการพูดไปแล้ว ต่างก็ตกอยู่ในความตื่นตะลึงสุดขีด

หลี่เมี่ยวเจินเบิกตาโต รู้สึกโง่งมนัก

จางไคไท่ยืนอยู่บนริมเชิงเทินในท่ากำลังจะกระโดดลงจากกำแพง ตอนนี้กลับกลายเป็นรูปปั้น

ทันใดนั้น จางไคไท่ก็ราวกับตื่นขึ้นมาจากฝัน สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปยกใหญ่และตะโกนเสียงต่ำออกมา “เร็ว รีบไปช่วยคน!”

เขาจำได้แล้ว เขาจำได้แล้วว่าสวี่ชีอันมีท่าไม้ตายอยู่

ดาบเดียวตัดฟ้าดิน

เพียงดาบเดียว ศัตรูก็ตกตายกลายเป็นศพ

หลี่เมี่ยวเจินสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง ในที่สุดก็ตะโกนเสียงแหลมออกมาพร้อมความหวาดกลัว

ด้านหน้า หนู่เอ่อร์เฮ่อเจียหยุดบีบนิ้วของตัวเอง

สถานการณ์เป็นใจ เรื่องดียิ่ง

เขารีบตะโกนเรียกภาพลวงตานกยักษ์ออกมาทันที มันเกี่ยวไหล่ของเขาแล้วพาบินขึ้นไปบนอากาศ

เคราเจ้าผู้ครองแคว้นเหยียนไหวไปตามลม เขาเอ่ยเสียงดังอยู่กลางอากาศว่า “สวี่ชีอัน วันนี้ข้าจะขยี้เจ้าให้กระดูกสลายกลายเป็นเถ้า แล้วเอาไปเซ่นไหว้พลทหารที่ตายในสนามรบ”

เขามองต่ำลงมาจากที่สูง กลิ่นอายของชายชุดครามผู้นั้นเบาบางลงไปอย่างรวดเร็ว แววตาก็มืดหม่นไร้แสง

ขณะนี้เจ้าครองแคว้นเหยียนเชื่อสุดใจว่าไพ่ลับของอีกฝ่ายหมดลงแล้ว

สัญญาณอันตรายของจอมยุทธ์ไม่ได้เอ่ยเตือน สถานการณ์เป็นใจ ทุกอย่างอยู่ในลางดี

ด้วยระดับการฝึกที่หากต่ำกว่าระดับสามลงไปเขาก็แทบจะไร้พ่าย ดังนั้นการฟันฆ้องเงินหนุ่มจากต้าฟ่งพวกนี้ก็เป็นเรื่องที่ให้ผลลัพธ์แน่นอนอยู่แล้ว

พลังปราณมหาศาลกดดันลงมาจากท้องฟ้า เจ้าผู้ครองแคว้นเหยียนยังไปไม่ถึงด้วยซ้ำ แต่ปราณกดดันอันน่าสะพรึงก็ทำให้สวี่ชีอันโงนเงนได้แล้ว

สวี่ชีอันเงยหน้าขึ้นมองยอดฝีมือขั้นสี่สูงสุดผู้ฝึกสองสายที่มีทั้งจิตสังหารความโกรธเกรี้ยว จากนั้นก็ยิ้มออกมา

คิดว่าที่ข้าบุกทะลวงอยู่คนเดียวนี่ เป็นเพราะต้องการยื้อเวลาเท่านั้นหรือ

‘ชี่’…หน้ากระดาษสุดท้ายถูกเผา ปราณใสเข้ามาห่อหุ้มตัวเขา สวี่ชีอันเอ่ยเสียงเบา

“สภาพของข้า ฟื้นกลับสู่จุดสูงสุด”

ในชั่วพริบตา พลังปราณอันแข็งแกร่งก็ขยายออกมาจากร่างกายอันอ่อนล้านี้ ราวกับต้นไม้เฉาที่ได้ฝนชโลม

สวี่ชีอันเก็บกระบี่แล้วสลายพลังปราณทั้งหมด เขาเก็บความรู้สึกทุกอย่างเอาไว้ ภายในร่างกายราวกับวังน้ำวนสายหนึ่ง

อันตราย! อันตราย! อันตราย!

เจ้าครองแคว้นเหยียนหน้าเปลี่ยนสีทันใด สัญญาณบอกอันตรายของจอมยุทธ์มีการเตือนขึ้นมาแล้ว อวัยวะทุกอย่างภายในร่างร้องคำรามว่าอันตราย เส้นประสาททุกเส้นก็ล้วนกระตุ้นให้เขาหนีเอาชีวิตรอด

ตอนนี้เอง เจ้าครองแคว้นเหยียนก็รู้สึกว่าตนถูกพลังจิตสายหนึ่งตรึงเอาไว้ ตรึงจนแน่นขนัด

‘วิชาทำนายของข้าเห็นชัดว่าเป็นลางดี แล้วเหตุใดสัญญาณบอกอันตรายของขั้นหลอมวิญญาณถึงเอ่ยเตือนเช่นนี้…’ เจ้าครองแคว้นเหยียนไม่เข้าใจเหตุผลเรื่องนี้ ทั้งสองสายเกิดความขัดแย้งขึ้นแล้ว

นี่เป็นสถานการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน อย่างน้อยก็ไม่เคยเกิดขึ้นในร่างจอมยุทธ์

ภาพมายานกยักษ์สลายไป ภาพมายาภิกษุสำนักพุทธปรากฏขึ้นมาอย่างไร้ร่องรอย เจ้าครองแคว้นเหยียนยื่นแขนสองข้างออกไป สองแขนนั้นก็เล็งไปหาสวี่ชีอัน

“ปลดวางอาวุธ”

สำนักพุทธทรงศีล

“ตาย!”

วิชาสาปสังหาร

ผิวร่างของสวี่ชีอันเปล่งประกายแสงสีทองจางๆ ออกมา มันทำให้วิชาทั้งสองหายไปราวกับวัวโคลนจมทะเล

สีหน้าของเจ้าครองแคว้นเหยียนซีดเผือด เขารู้แล้วว่าทำไมถึงทำนายว่ามีลางดีและสถานการณ์เป็นใจ ก็เพราะว่าในร่างของสวี่ชีอันมีแก่นปราณแห่งลัทธิเต๋าอย่างไรเล่า แก่นปราณหนึ่งชิ้นทำลายได้ทุกวิชา วิชาทำนายจึงไม่ถือว่าเป็นเป้าหมายของแก่นปราณ

วิชาสาปสังหารและสำนักพุทธทรงศีลก็ไร้ผลเมื่อเจอกับแก่นปราณเช่นกัน

ภาพมายาภิกษุหายไป ภาพมายานกยักษ์ปรากฏขึ้นแทน มันเกาะไหล่ของหนู่เอ่อร์เฮ่อเจียแล้วพาจากไป

‘หนี ต้องรีบหนี’

‘สูงกว่านี้อีก บินให้สูงกว่านี้อีก จอมยุทธ์หยาบช้านั่นบินบนฟ้านานๆ ไม่ได้ เมื่อบินขึ้นไปบนฟ้าก็จะปลอดภัยแล้ว…’

สวี่ชีอันเงยหน้าขึ้นมองไปยังท้องฟ้าสีคราม ที่ไกลๆ นั่นมีเหยี่ยวตัวหนึ่งบินพุ่งขึ้นไปบนฟ้า

เว่ยกง เส้นทางที่ท่านควรไป ท่านก็เดินไปจนสุดแล้ว

ส่วนเส้นทางของข้า เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น

ข้าจะสยายปีกให้เหมือนกับนกอินทรีแล้วสังหารศัตรูทุกผู้ทุกนาม…ข้าไร้ทางถอยแล้ว

ตอนนี้เอง ดาบไท่ผิง ดาบเดียวตัดฟ้าดิน กระบี่ใจ สิงโตคำราม และวิชาเลี้ยงจิต ล้วนแต่หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวในเวลานี้

‘ชิ้ง!’

เสียงสิงโตคำรามลั่นสะเทือนหูดังกึกก้อง

ประกายดาบสว่างไสวเจิดจรัสพุ่งขึ้นฟ้าและหายไปในพริบตา

บนฟ้าสูง จู่ๆ ประกายดาบที่หายวับไปสายนั้นก็ปรากฏขึ้นมาแล้วฟันที่เอวของหนู่เอ่อร์เฮ่อเจีย เขาล้มลงอย่างหมดแรงภายใต้สายตาของกองทัพพันธมิตรสองแคว้น

กายเนื้อที่ไร้จิตถูกฟันขาดทันที

สิ่งที่ดาบนี้ฟันลงไปคือยุคอันรุ่งโรจน์ของชีวิตเจ้าครองแคว้นคนหนึ่ง คือจอมพลังที่ต่ำกว่าขั้นสามแทบจะเอาชนะไม่ได้ และฝึกตนจนถึงที่สุดถึงหกสิบปี

รอบกายของสวี่ชีอันมีหมอกเลือดระเบิดออกมา ร่างทองแตกสลาย และมีบาดแผลน่ากลัวที่เกือบจะผ่าครึ่งร่างของเขา

นามแห่งจิต หยกสลาย!

ผู้ที่อยู่ขั้นเหนือระดับ ไม่มีทางถอยใดแล้ว

จิตนี้เกิดจากใจ ออกมาจากดาบ ยอมเป็นหยกสลาย ไม่ขอเป็นกระเบื้องสมบูรณ์

เจ้าเจ็บข้าเจ็บ

เว่ยกง ข้าเข้าสู่ขั้นสี่ได้แล้ว ดาบนี้ ข้าขอตั้งชื่อให้ว่าหยกสลาย น่าเสียดายที่ท่านคงไม่ได้เห็น… สวี่ชีอันมองไปทางตะวันออกเฉียงเหนือแล้วเงียบงันไม่พูดสิ่งใด

จากนั้น เขาก็ถือดาบยืนนิ่งแล้วมองไปยังทัพศัตรูด้วยความดูแคลนก่อนหัวเราะอย่างบ้าคลั่งออกมา

“พวกตาขาวจากเหยียนและคัง ไม่มีใครเป็นลูกผู้ชายเลยสินะ ผิดหรือไม่”

กองทัพคังและเหยียนสองแคว้นพ่ายแพ้อย่างรวดเร็วราวกับภูเขาถล่มราบ

ในที่สุดจางไคไท่ก็มาถึงแล้ว เขายื่นมือไปรับชายหนุ่มที่กำลังจะล้มหงายหลัง

เขาอ้าปากออกมา ข้างในเต็มไปด้วยเลือด จากนั้นก็เอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “ทำไมเป็นเจ้า หลี่เมี่ยวเจินล่ะ สตรีชั่วช้าหลี่เมี่ยวเจินทำไมไม่มารับข้า”

จางไคไท่ยิ้มกว้าง

เขาพลันขมวดคิ้วมุ่นทันใด “เสียงดังชะมัด…”

จางไคไท่ปิดปากแผลของเขาเอาไว้แล้วฝืนเอ่ยติดหัวเราะออกมา “นั่นคือเสียงโห่ร้องดีใจของพวกทหาร พวกเขาโห่ร้องให้กับเจ้า มีทั้งร้องไห้ทั้งตะโกนร้อง เฮอะ ข้าไม่เคยเห็นพวกเขาเป็นเช่นนี้มาก่อน”

สวี่ชีอันนิ่งเงียบไป “ไม่ทำให้เว่ยกงขายหน้าใช่หรือไม่”

ตั้งแต่เว่ยเยวียนสิ้นไป จางไคไท่ที่กลั้นความเจ็บปวดไม่ให้ร้องไห้มาโดยตลอดก็น้ำตารื้นขึ้นมาทันใด เขาร้องไห้ออกมาจนไม่เป็นเสียง

‘เว่ยกง นี่คือผู้สืบทอดของท่าน’

…………………………………………………………..

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Status: Ongoing
ตั้งแต่ข้ามเวลามาเขาตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในสังคมที่ไร้ซึ่งคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ นี้ แต่ทำไมเขาถึงต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องการเมือง และอำนาจลึกลับที่อยู่เบื้องหลังราชวงศ์ต้าฟ่งแห่งนี้ด้วย!Top 5 นิยายยอดนิยมในเว็บจีนต่อเนื่อง 10 เดือน! นิยายแปลจีน สืบสวน ไขคดี ใช้ความรู้ยุคปัจจุบันผสมกับแอ็คชั่นกำลังภายในสวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท