ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง – บทที่ 491 หญิงผู้น่ารังเกียจ

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 491 หญิงผู้น่ารังเกียจ

บทที่ 491 หญิงผู้น่ารังเกียจ

…ใบหน้าสวี่ชีอันแข็งทื่อ พลางจ้องมองไปที่โหรชุดขาวโดยยังไม่ฟื้นคืนสีหน้าเดิม

ภายในสมองของเขานั้น คนในชุดคลุมสีแดงและอีกคนสวมชุดสีขาวก็พลันลอยขึ้นมาทันที

“มารดาของเจ้าคือเชื้อสายราชวงศ์เมื่อห้าร้อยปีก่อน และก็เป็นน้องสาวของผู้ที่ถูกสวรรค์เลือกซึ่งข้าให้การสนับสนุนในตอนนี้ เวลานั้นข้าได้ผูกสัมพันธมิตรกับเขา และด้วยเพราะส่งเสริมให้เขาขึ้นครองราชย์ เขาจึงมอบน้องสาวของตนแก่ข้า นับว่าเป็นสหายร่วมสาบานที่ไว้วางใจมากที่สุดในปฐพี ถึงแรกเริ่มด้วยผลประโยชน์ แต่ครั้งต่อมามันคือสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น

“หลังจากข้าแต่งงานกับสตรีเชื้อสายชั้นสูง ก็พยายามวางแผนยุทธการด่านซานไห่ หมายจะชิงโชคชะตาของแผ่นดินต้าฟ่ง ทว่าในตอนท้ายของยุทธการด่านซานไห่ เจ้าก็ถือกำเนิดขึ้นมา”

‘ฟิ้ว!’

สวี่ชีอันถอนหายใจราวกับยกภูเขาออกจากอก คนในชุดแดงและชุดขาวลอยกลับมาอีกครั้ง

ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นทายาทเชื้อราชวงศ์แห่งต้าฟ่ง แต่ก็เป็นเชื้อสายเมื่อห้าร้อยปีก่อน ซึ่งที่จริงไม่ได้เกี่ยวพันกับพวกฮว๋ายชิ่งและหลินอันมากนัก

ยามที่ผู้อาวุโสเจอคนแซ่เดียวกับตนก็มักชอบพูดว่า เมื่อห้าร้อยปีที่แล้วพวกเราคือครอบครัวเดียวกัน

แต่อย่าไปพูดถึงมันเลยจะดีกว่า ฮว๋ายชิ่งและหลินอันต่างก็เหมือนเป็นน้องสาวของเขา

หลังจากนั้น เขาก็เพิ่งจะใคร่ครวญว่าคำพูดของบิดาคือเรื่องจริงหรือปลอม

ช่วงเวลาก็สอดคล้องอย่างพอดิบพอดี ปีนั้นยามเราเกิด จากความทรงจำของอารอง เขาและพี่ชายคนโตกำลังรบราที่ด่านซานไห่ ดังนั้นอาสะใภ้กับผู้เป็นมารดาทั้งสองได้ดูแลเขามานานแล้ว…

สวี่ชีอันตะลึงงัน หวนนึกถึงจุดที่ผิดปกติ ก่อนจะเอ่ยเสียงทุ้มว่า “นาง…เหตุใดนางถึงมาคลอดข้าที่เมืองหลวง?”

ระหว่างที่เอ่ยถามนั้น ใบหน้าของเขาพลันซีดเซียว รู้สึกได้เพียงมีบางสิ่งกำลังปั่นป่วนอยู่ภายในร่างกาย ราวกับกำลังพยายามต่อต้านอะไรบางอย่างอยู่

ในขณะเดียวกันนั้น สัญชาตญาณของจอมยุทธ์กำลังส่งสัญญาณเตือนอย่างรุนแรง ยังคงจินตนาการมองภาพไม่ออก แต่สิ่งนั้นทำให้เขารู้สึกหวั่นกลัวจากหัวใจข้างใน ทั้งยังทำให้เขารู้สึกเหมือนตนเป็นที่กำลังเหยียบย่ำอยู่บนลวดเหล็ก ซึ่งอาจจะร่วงหล่นลงมาจนร่างแหลกเหลวเมื่อใดก็ได้

สิ่งนี้ทำให้สวี่ชีอันนึกถึง ยามที่โหรชุดขาวหลอมโชคชะตาแล้วเจอกับจุดวิกฤติสำคัญ หากสำเร็จ โชคชะตาในร่างนี้จะกลายเป็นของผู้อื่น และไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับตนอีก

อีกทั้งในชีวิตนี้เขาอาจจะผสานเชื่อมเกี่ยวกับโชคชะตาที่จากไปตอนไหนก็ได้ จนกว่าร่างนี้จะล้มหายตายจาก

สำหรับสิ่งที่บุตรชายกำลังจะได้เผชิญนั้น โหรชุดขาวไม่ได้รู้สึกดีใจหรือทุกข์แต่อย่างใด กลับเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งเหมือนอย่างเคยว่า “มารดาของเจ้าฉวยโอกาสในยามที่ข้าไม่ได้ข้างกาย แอบลอบไปยังเมืองหลวง เพื่อคลอดเจ้าที่นั่น หลังจากข้าชิงโชคชะตามาได้ ถึงค่อยรู้เรื่องนี้”

“เพราะอะไร?”

สวี่ชีอันพลันกระอักเลือดออกมาจากปากและจมูก ก่อนจะจ้องมองอีกฝ่ายอย่างล้ำลึก

โหรชุดขาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงอย่างเคย “เดิมทีเจ้าก็เกิดเพื่อรองรับโชคชะตาอยู่แล้ว เป็นภาชนะที่ต้องถูกใช้งาน นี่คือกลยุทธ์ของข้ากับผู้มีเชื้อสายราชวงศ์นั่น ถึงในช่วงแรกจะไม่มีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้น แต่เพราะยังไม่ถึงเวลา จึงไม่เหมาะที่จะเอาโชคชะตาเข้าสู่ร่างของผู้สืบเชื้อสายราชวงศ์คนนั้น

“มารดาของเจ้าเป็นสตรีจอมวางอุบาย นางทำทีท่าแสดงให้เห็นว่ายอมรับความลำบากอย่างไม่ขัดขืน และยอมได้ทุกอย่างเพื่อวงศ์ตระกูล แต่นั่นเป็นการเสแสร้ง เจ้าเป็นบุตรเพียงคนเดียวของนาง นางยอมไม่ปล่อยให้เจ้าตาย โดยตอนที่หลบหนีไปยังเมืองหลวงเพื่อคลอดเจ้าที่นั่น

“ท่านโหราจารย์ที่พำนักอยู่เมืองหลวง ซึ่งเขาก็คือเกราะป้องกันอันมโหฬารของเจ้าเลยล่ะ”

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้…สวี่ชีอันถอนหายใจ ไม่ได้ถามข้อสงสัยอันใดอีก

ไม่รู้เพราะเหตุใด ในใจตอนนี้พลันคิดว่าชายชราคนนั้นจะเป็นท่านโหราจารย์ดังกล่าว

อาณาจักรต้าฟ่งช่างเลวร้ายต่อเด็กกำพร้า แม่หม้าย และคนแก่เสียจริง

“พูดมาขนาดนี้แล้ว จีเชียนถือว่าเป็นญาติผู้พี่ของข้าหรือเปล่า?”

สวี่ชีอันถามพลางปล่อยให้เลือดจากจมูกไหลเข้ามุมปาก อยากจะเช็ดมันนัก แต่ก็ขยับตัวไม่ได้

“ใช่!” โหรชุดขาวพยักหน้า

ฆ่าได้ก็ดีสิ ญาติผู้พี่ล้วนสมควรตายให้หมด ฮึ่ม สิ่งนี้ข้าไม่ได้เป็นคนคิดนะ เป็นคำพูดของนักเขียนชื่อดังในชาติก่อนต่างหาก…เขาแค่รู้สึกอัดอั้น เลยใช้คำพูดดังกล่าวมาคลายความกังวลในใจ

“นี่คือการโจมตีของเจ้าหรือ?” ขณะนั้นเอง จู่ๆ โหรชุดขาวก็เอ่ยขึ้นมา

ที่ด้านนอกหุบเขานั่น เจ้าสำนักศึกษาจ้าวโส่วและสวี่ผิงจื้อพลันเหาะอากาศเข้ามาหา

“เจ้าอยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย เจ้าอยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย…”

น้ำเสียงของอารองสวี่แหลมสูง นัยน์ตาทั้งคู่เป็นสีแดงฉาน ดูทั้งเสียใจและโกรธเคือง

โหรชุดขาวมิได้มองอีกฝ่าย กลับเอ่ยเสียงเบา “ตอนเด็ก ข้ามักจะพาเขามาที่แห่งนี้ เพื่อแสดงค่ายกลของข้าให้เขาดู ที่แห่งนี้จึงเป็นฐานลับของพวกเราสองพี่น้อง แต่ในภายหลัง ค่ายกลของที่นี่นานวันเข้ายิ่งสมบูรณ์แบบและยิ่งทรงพลัง จนสามารถกลั่นเลือดหัวใจครึ่งชีวิตของข้าได้

“แต่ก็ยังอำพรางได้ไม่หมดจด ทำให้ข้าไม่มีทางเลือกนอกจากละทิ้งที่แห่งนี้ไป ที่นี่ไม่ปลอดภัย เพราะนอกจากตัวข้าแล้ว ยังมีเอ้อร์หลางที่รู้ เจ้าคาดเดาถูกแล้ว ยามที่ข้าปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชน อาคมวิชาอำพรางความลับสวรรค์ก็จะคลายลง แล้วเอ้อร์หลางจะระลึกถึงข้าอีกครั้ง

“ด้วยเหตุนี้ข้าจึงพยายามซ่อนเร้นตัวตนของเจ้า เช่นนี้ ความจำของเขาจะได้ยุ่งเหยิงอีกครา”

ทว่าเจ้าคงคาดไม่ถึงสิท่า ว่าข้าเข้าใจเคล็ดวิชาอำพรางความลับสวรรค์อย่างทะลุปรุโปร่งมานานแล้ว…ใบหน้าสวี่ชีอันไม่แสดงอารมณ์ใดๆ

อารองสวี่พุ่งเข้าชนม่านอาคมค่ายกล จนศีรษะแตกเลือดไหลพราก ก่อนจะคำรามเสียงดังว่า “สวี่ผิงเฟิง เจ้ามันไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีราวกับสุกรและสุนัข เขาเป็นลูกชายของเจ้าแท้ๆ นะ ทั้งยังเป็นหลานชายของข้า เสือถึงร้ายก็ยังไม่กินลูกตัวเอง แล้วจะนับว่าเจ้าเป็นคนได้หรือ?”

กล้ามเนื้อใบหน้าของเขาบิดเบี้ยว ทั้งบริเวณหน้าผากยังเกิดเส้นเลือดปูดนูน จนหน้าตาดูดุร้ายโหดเหี้ยม

สวี่ชีอันเพิ่งเคยเห็นอารองระเบิดโทสะเช่นนี้เป็นครั้งแรก

โหรชุดขาวกลับเอ่ยอย่างราบเรียบ “นี่มันเป็นเรื่องระหว่างเราสองพ่อลูก ชีวิตของเขาล้วนเป็นข้าที่ได้มอบให้”

ตึง!

สวี่ผิงจื้อชกเข้าที่ม่านอาคมหนึ่งที สภาพราวกับสัตว์โบราณที่ถูกยั่วยุ ซึ่งดูดุร้ายและเปี่ยมด้วยอารมณ์โกรธา “สองพ่อลูกรึ? เจ้าคู่ควรด้วยรึ! เจ้าคู่ควรเป็นบิดาของเขาหรือไง เขาเป็นชายหนุ่มสกุลสวี่ของข้า ข้าเลี้ยงเขามาจนเติบใหญ่ แต่เจ้าคิดจะฆ่าเขา เจ้าเคยถามข้าบ้างหรือเปล่าว่าข้าเห็นด้วยหรือไม่ เจ้าคลายม่านอาคมค่ายกลบ้าๆ นี่ลงเดี๋ยวนี้ ข้าจะเข้าไปฆ่าเจ้าซะ จะฆ่าเจ้าให้ตาย!”

เขาทั้งชกม่านอาคมไม่หยุดหย่อน อีกทั้งยังใช้ศีรษะกระแทกจนอาบเลือด

อารอง…สวี่ชีอันมองดูอย่างเงียบๆ มองดูชายวัยกลางคนหนึ่งผู้บ้าคลั่ง

สวี่ผิงจื้อยามอยู่ที่จวนจะคอยตามใจคนอื่น หรือกระทั่งอยู่ข้างนอกก็จะนิ่มนวล ราวกับว่าจากที่เคยปลดปล่อยจิตสังหารกลางสนามรบในครั้งนั้นได้ถูกลบล้างไปหมดนานแล้ว

แต่ชายผู้คอยตามใจคนอื่นนี้ หากเด็กที่บ้านของตนได้รับอันตราย เขาก็จะปล่อยหมัดหนักโจมตีอย่างไม่ลังเลเลย จนเกรงกลัวว่าสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าน่าจะเป็นช้างเสียมากกว่า

โหรชุดขาวเก็บสายตากลับมา หันไปมองสวี่ชีอันแวบหนึ่ง ก่อนจะยกยิ้มมุมปากกล่าวว่า “แต่มันสายไปแล้ว!”

เขาใช้พลังดึงโชคชะตาที่คนธรรมดาทั่วไปไม่สามารถมองเห็นได้ ซึ่งมันเริ่มโผล่ออกมาจากศีรษะของสวี่ชีอันเล็กน้อยแล้ว

ระหว่างขั้นตอนนี้ ทำเอาร่างกายของสวี่ชีอันปริแตกอย่างต่อเนื่อง เลือดไหลเจิ่งนอง จมูกและปากต่างกระอักเลือดไม่หยุด จนเขากรีดร้องด้วยความเจ็บปวด

เสียงกรีดร้องของหลานชายประหนึ่งได้ทิ่มแทงเข้าไปยังหัวใจของสวี่ผิงจื้อ กระทั่งเขาตัวสั่นสะท้านไปทั่วทั้งร่าง

ชายชราผู้นี้พลันไม่กล้าทำตัวเย่อหยิ่งอีกต่อไป เขาคุกเข่าลงบนม่านอาคม พร้อมเอ่ยวิงวอน “อย่าเขาเลยพี่ใหญ่ ข้าขอร้อง อย่าฆ่าเขา เขาเป็นเด็กที่ข้าเลี้ยงมาจนโต เสมือนเป็นลูกข้า ได้โปรดอย่าฆ่าเขา…

“ข้าเลี้ยงเขามายี่สิบเอ็ดปี เจ้าจะทำเช่นนี้ไม่ได้ เจ้าไม่อาจทำเช่นนี้ได้… พี่ใหญ่ เห็นแก่ความสัมพันธ์ที่ผ่านมา เจ้าคืนเขามาให้ข้าเถอะ”

โหรชุดขาวผู้ไร้หัวใจกลับเมินอีกฝ่าย และจดจ่อกับดึงโชคชะตา

“ถอยก่อน!”

จ้าวโส่วสะบัดแขนเสื้อ โบกมือให้อารองสวี่ จากนั้นเขาจึงสวมมงกุฎแห่งปราชญ์เอก แล้วหยิบดาบสลักออกจากแขนเสื้อข้างขวา

มงกุฎแห่งปราชญ์เอกกับดาบสลักปราณใสราวทะลุท้องนภา ทั้งสองสิ่งต่างขานรับซึ่งกันและกัน

จ้าวโส่วถือดาบสลักเผยด้านแหลมคม อีกทั้งมงกุฎแห่งปราชญ์เอกที่ได้การปลุกเสกจากปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้นสาม แสงจากดาบสลักพลันระเบิดออกก่อนพุ่งขึ้นท้องฟ้า โหรชุดขาวเสียเวลาไปมากกว่าสามสิบปีเพื่อสร้างค่ายกล แต่มันกลับถูกโจมตีจนแตกภายในพริบตาเดียว

เมื่อม่านอาคมชั้นนอกสุดแตกสลายแล้ว จึงไร้สิ่งกีดขวางไม่ให้คนนอกเข้าไป

“ที่แห่งนี้ ห้ามดึงโชคชะตา”

จ้าวโส่วป่าวประกาศ

ทว่าครั้งนี้ วิชาลั่นประกาศิตจากลัทธิขงจื๊อใช้ไม่ได้ผล

โหรชุดขาวพลันถูกระงับการดึงพลังทั้งหมด แต่ไม่นานก็สามารถขจัดผลพวงจากวิชาลั่นประกาศิตไปได้

“กฎของที่แห่งนี้กับโลกภายนอกไม่เหมือนกัน หากลัทธิขงจื๊อของเจ้าต้องการแผลงฤทธิ์แผลงเดชใน ‘โลก’ ของข้า ก็ต้องถามความสมัครใจของข้าก่อนว่าเห็นด้วยหรือไม่”

โหรชุดขาวส่งเสียงเฮอะที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ

จ้าวโส่วย่างกรายไปข้างหน้าหนึ่งก้าว พลางแทงดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ ขณะเดียวกันมงกุฎแห่งปราชญ์เอกสาดแสงส่องประหนึ่งคลื่นน้ำ ซึ่งเป็นการปลุกเสกตัวดาบสลัก

จ้าวโส่วพูด “ทำลาย!”

พลังของวิชาลั่นประกาศิตเพิ่มขึ้นตามการปลุกเสกให้ดาบสลัก

ในเมื่อเจ้าเปลี่ยนแปลงกฎ เช่นนั้นข้าก็สามารถทำลายมันได้

ดาบสลักได้กลายเป็นดั่งแสงตะวันฉาย สว่างจ้าจนแทบขาวโพลนสิ้น มันบุกรุดหน้าไปด้วยความว่องไว พร้อมกับม่านอาคมของค่ายกลที่แตกทลายทีละชั้น

ค่ายกลขนาดใหญ่อันไร้เทียมทานแห่งนี้สร้างขึ้นจากค่ายกลร้อยแปดชั้น กลับต้านทานผู้สวมมงกุฎแห่งปราชญ์เอก และมือกุมดาบสลักของปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้นสามเพียงคนเดียวคนนี้ไว้ไม่อยู่

แม้ว่าผู้สร้างค่ายกลเป็นถึงโหรขั้นสอง

ทว่าสำหรับโหรชุดขาวแล้ว การที่ต้านทานพลังของปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้นสามไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องเกินความคาดหมาย เขายังอยากจะยื้อเวลาให้ได้มากกว่านี้ เพราะดึงโชคชะตาในร่างสวี่ชีอันออกมาได้ครึ่งหนึ่งแล้ว

ในเวลานั้นเอง ประกายดาบที่เต็มไปด้วยจิตสังหาร พลันปรากฏตัวออกมาจากความว่างเปล่า ทำลายม่านอาคมของค่ายกลอักขระทีละชั้นๆ

จิตแห่งดาบที่ไม่เป็นสองรองใคร

โหรชุดขาวใช้มือข้างหนึ่งกดกลางอากาศ ค่ายกลอักขระแห่งหนึ่งจึงเปล่งแสงขึ้นมา ประกอบกลายเป็นกำแพงปราณ ป้องกันดาบแสงที่อยู่เบื้องหน้า

ดาบแสงเฉือนตัดกำแพงปราณเสมือนวัวปั้นดินจมทะเล สลายหายไม่พบเจอ

การถ่ายทอดพลัง! ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า

เขาเดินถือดาบแสงพลางลั่นประกาศิต

“ที่แห่งนี้ ห้ามถ่ายทอดพลัง”

จ้าวโส่วตอบโต้อย่างใจเย็น ตอนนั้นเองค่ายกลได้พังทลายลง ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่พลังของวิชาลั่นประกาศิตได้บุกล่วงพื้นที่แห่งนี้เรียบร้อยแล้ว

จู่ๆ สภาพอากาศก็ร้อนระอุขึ้นมา จิตแห่งดาบที่ซึ่งไร้เทียมทานค่อยๆ ปรากฏออกมาทีละอันอย่างไม่สามารถหยุดยั้งได้ จนค่ายกลอักขระแตกทลายสิ้น

สิ่งนี้ทำให้จ้าวโส่วรุกล่วงล้ำง่ายกว่าเดิม สายตาจดจ้องกำลังไปยังเบื้องหน้าอันใกล้ ทันใดนั้นเอง ซากศพของผู้เฒ่าเทียนกู่ที่ตาขาวโพลนไร้ลูกตาดำทั้งสองข้างได้เปล่งแสงสว่างขึ้นมา

จ้าวโส่วพลันสูญเสียเป้าหมายทั้งหมดไปในคราเดียว เขายืนนิ่งตกตะลึง เพราะเบื้องหน้านั้นว่างเปล่า ไม่มีทั้งสวี่ชีอันหรือโหรชุดขาว

นี่มันวิธีการ “ไร้สมปฤดี” นำตัวสวี่ชีอันและโหรชุดขาวหลบซ่อน เพื่อยื้อเวลา

จ้าวโส่วขมวดคิ้ว ยกมือขึ้นดีดมงกุฎแห่งปราชญ์เอก

มงกุฎแห่งปราชญ์เอกสั่นเล็กน้อย แสงสว่างกระเพื่อมประหนึ่งคลื่นน้ำ ท่ามกลางความมืดสลัวชวนสับสน พลังที่ปกคลุมร่างของจ้าวโส่วก็ถูกชะล้างออกไป จากนั้นเงาร่างของสวี่ชีอันและโหรชุดขาวก็ปรากฏขึ้นมา

“พอได้แล้ว!”

โหรชุดขาวเผยรอยยิ้ม เขาใกล้จะหลอมโชคชะตาในร่างของสวี่ชีอันเสร็จแล้ว

“ข้าไม่ทราบมาก่อนว่าอารองจะรู้ถึงสถานที่นี้ด้วย”

เวลานั้นเอง เขาได้เสียงแผ่วเบาของสวี่ชีอัน

โหรชุดขาวมุ่นคิ้ว เพราะทั้งที่ใบหน้าของอีกฝ่ายเปื้อนรอยเลือด กลับดูสงบนิ่ง ไม่มีความสิ้นหวังหรือความหวาดกลัวต่อเคราะห์ร้ายที่กำลังใกล้เข้ามาเลยแม้แต่น้อย

สวี่ชีอันกล่าวต่อว่า “ดังนั้น วิธีแท้จริงที่จะช่วยชีวิตข้า หาได้ใช่จ้าวโส่วหรือบรรพชนกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ไม่ อย่างน้อยก็ไม่ต้องไปฝากความหวังที่พวกเขา”

หลังจากเงียบไปสักพัก เขาก็เผยรอยยิ้มแห่งความสุข “เจ้าเป็นถึงท่านโหราจารย์แท้ๆ เหตุใดถึงไม่ทำอะไรเล่า?”

“นางหญิงน่ารังเกียจ ยังจะรออะไรอีก!”

เขาตะโกนดังลั่น

เมื่อสิ้นเสียงลง ก็ปรากฏภาพมายาที่บริเวณด้านหลังสวี่ชีอัน เป็นหางจิ้งจอกอันปุกปุยฟูฟ่อง เสมือนยามนกยูงรำแพนหาง สวยงามทว่าก็น่าหวาดกลัว

………………………………………..

………………………………………………………

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Status: Ongoing
ตั้งแต่ข้ามเวลามาเขาตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในสังคมที่ไร้ซึ่งคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ นี้ แต่ทำไมเขาถึงต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องการเมือง และอำนาจลึกลับที่อยู่เบื้องหลังราชวงศ์ต้าฟ่งแห่งนี้ด้วย!Top 5 นิยายยอดนิยมในเว็บจีนต่อเนื่อง 10 เดือน! นิยายแปลจีน สืบสวน ไขคดี ใช้ความรู้ยุคปัจจุบันผสมกับแอ็คชั่นกำลังภายในสวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท