ที่ล้ำค่าที่สุดในร่างกายของงูหลามใบไม้เขียวก็คือโลหิตอสูรของมัน แม้ว่าหนังของมันจะมีมูลค่าหลายพันหยวน แต่เย่เทียนก็ไม่สามารถนําติดตัวไปด้วยได้ อีกทั้งการเลาะหนังของมันยังเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมาก
โม่เฉ่าเป่ยและคนอื่นๆน่าจะหาที่นี่เจอในเร็วๆนี้ เย่เทียนไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้นานนัก
“ก่อนที่งูหลามใบไม้เขียวจะตาย มันยังอุตส่าห์ลากสังขารของมันมายังที่แห่งนี้ิ เป็นไปได้ไหมว่าที่นี่มีสมบัติล้ำค่าที่สามารถรักษาอาการบาดเจ็บของมัน?”
เย่เทียนหันมองสังเกตพื้นที่โดยรอบ
“นั่น…”
สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนไป
ไม่ไกลนัก มีหินงอกหินย้อยห้อยอยู่บนเพดานของถ้ำ ของเหลวหยดหนึ่งหยดลงบนร่องก้อนหิน มันได้สะสมเป็นแอ่งน้ำขนาดเล็ก
ของเหลวนี้เปล่งแสงสีขาวจาง ๆ ออกมา เพียงแค่มองก็รู้ว่ามันไม่ธรรมดา
“ในนิยายที่เราเคยอ่านมักจะพูดถึงนมศิลาร้อยปี หรือไม่ก็พันปี หรือว่าของเหลวนี้จะเป็นอย่างนั้น?”
เย่เทียนคาดเดา
อย่างไรก็ตามเขาไม่รู้ถึงที่มาของสมบัติชิ้นนี้ เขาเพียงแค่คาดเดาจากเนื้อหาของนิยายในชีวิตที่แล้วของเขาเท่านั้น
แต่ไม่ว่าอย่างไร สิ่งนี้ต้องล้ำค่าอย่างแน่นอน
ดังนั้น….
เย่เทียนหยิบขวดน้ำอีกขวดออกมาและเทน้ำที่เหลือทิ้งจนหมด จากนั้นเขาก็นำขวดน้ำตักน้ำนมศิลาที่หยดลงมาจากหินย้อยในแอ่งจนหมด
ของเหลวนี้มีอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น คาดว่าคงถูกงูหลามใบไม้เขียวตัวนี้กินไปแล้วไม่น้อย ของเหลวที่เหลือจึงสามารถเติมเต็มได้เพียงแค่ครึ่งขวดน้ำของเขา
เย่เทียนมองไปที่หินย้อยและของเหลวสีขาวที่ค่อยๆสะสมอยู่ด้านบนผนังถ้ำ ทันใดนั้นเขาก็คิดถึงบางอย่าง
“ด้วยความเร็วที่มันหยดลงมา น่าจะสามารถเก็บของเหลวนี้ได้มากกว่าหนึ่งร้อยหยดต่อวัน แต่เราไม่มีเวลามากขนาดนั้น และอีกอย่างสิ่งนี้ก็ไม่สามารถปล่อยให้ศิษย์พวกนั้นได้มันไป เราจำเป็นต้องทำลายมันทิ้งก่อน!”
เย่เทียนพึมพำพร้อมตัดสินใจอย่างเด็ดขาด
จากนั้นเขาก็ใช้ดาบเหล็กในมือฟันไปที่หินย้อย หินย้อยบนผนังถ้ำทั้งหมดถูกทำลายอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็เดินวนไปรอบๆปกปิดลบร่องรอยภายในสถานที่แห่งนี้
“การที่ถ้ำนี้สามารถผลิตของเหลวล้ำค่าเช่นนี้ได้ แสดงว่าอาจจะมีสมบัติบางอย่างอยู่ในชั้นหิน แต่ชั้นหินนี้มันแข็งเกินไป ในตอนนี้เราคงทำลายมันไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นค่อยกลับมาสำรวจมันภายหลัง!”
เย่เทียนส่ายหัวด้วยความเสียดาย
หลังจากลบร่องรอยของตนแล้ว เย่เทียนก็ควักลูกตาของงูหลามใบไม้เขียว และหันหลังออกจากถ้ำไป
ภายในเวลาไม่ถึงสิบนาทีหลังจากเย่เทียนจากไป ศิษย์กลุ่มหนึ่งก็ไล่ตามรอยเลือดของอสูรงูจนมาถึงบริเวณถ้ำ
เมื่อพวกเขาเดินลึกลงไปในถ้ำพวกเขาก็ต้องตกตะลึงไปในทันที
“มันตายแล้ว!”
ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งกล่าวด้วยความประหลาดใจ
“บ้าเอ๊ย มีคนควักลูกตาของมันออกไปก่อนพวกเราจะมาถึงก้าวหนึ่ง นั่นมันมีมูลค่าถึง 1,000 คะแนน!” โม่เฉ่าเป่ยพูดออกมาด้วยความโกรธ
ศิษย์คนอื่น ๆ ก็โกรธเช่นกัน ในการเผชิญหน้ากับอสูรงูตัวนี้ทำให้พวกเขาสูญเสียเป็นอย่างมาก บางคนได้รับบาดเจ็บ บางคนถึงกับเสียชีวิต แต่ตอนนี้เขากลับต้องคว้าน้ำเหลว มีคนช่วงชิงของที่ควรจะเป็นของพวกเขาก่อนที่พวกเขาจะมาถึงเพียงครู่เดียว
“แย่แล้ว เลือดสัตว์อสูรในหัวใจของมันก็ถูกเอาออกไปแล้วด้วย ภายในร่างของมันมีแต่เลือดสัตว์ร้ายธรรมดาเท่านั้น!” ผู้ฝึกยุทธ์อีกคนตะโกนขึ้น
เลือดของสัตว์อสูร ดวงตาของงูหลามใบไม้เขียว
ของที่สําคัญที่สุดทั้งสองชิ้นถูกนําออกไป แม้ว่าซากศพของมันจะมีค่า แต่โม่เฉ่าเป่ยและคนอื่นๆก็ไม่สนใจซากศพของสัตว์อสูรนี้ พวกเขาทำเพียงหันหลังและเดินจากไป
แต่กับครูฝึกยุทธท่วมไปซากศพของสัตว์ร้ายนี้มีค่ามากพวกเขาจึงรีบตัดแบ่งกันอย่างรวดเร็ว
มีถ้ํามากมายในป่าแห่งนี้ เย่เทียนพบถ้ําเล็กๆอีกแห่งหนึ่งอย่างรวดเร็ว เขาฆ่าสัตว์ร้ายที่อยู่ในถ้ำและยึดมันใช้เป็นที่ซ่อนตัว
ตอนนี้เขาได้รับลูกตาของสัตว์อสูรงูหลามใบไม้เขียว ซึ่งมีมูลค่าถึง 1,000 แต้มแล้ว เย่เทียนจึงไม่จําเป็นต้องออกไปล่าอีก การทดสอบดำเนินไปแล้ว 1 วันครึ่ง ยังเหลือเวลาอีก 1 วันครึ่ง จึงเป็นไปไม่ได้ที่ใครจะสามารถทำคะแนนได้มากกว่าเขา
ในเมื่อมีเวลาเหลือเย่เทียนจึงไม่อยากเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ เขาเตรียมจะฝึกฝนอยู่ที่นี่
“สงสัยจริง ๆ ว่าเลือดสัตว์อสูรจํานวนมากขนาดนี้ สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งของเราได้มากแค่ไหนกัน?”
เย่เทียนรู้สึกคาดหวังกับมันเล็กน้อย
เขาดื่มเลือดสัตว์อสูรเข้าไปคําหนึ่ง จากนั้นก็เคลื่อนไหวกระบวนท่าวิชาหลอมกายาเพื่อฝึกฝน
ปัง!!!
เลือดของสัตว์อสูรกลายเป็นพลังงานที่ถูกโคจรตามกระบวนท่า และเริ่มปรับแต่งร่างกายของเย่เทียนทันที
ไม่นานทั้ง 18 กระบวนท่าก็จบลง พลังงานในเลือดสัตว์อสูรที่เขาดื่มเข้าไปก็หมดลงเช่นกัน
เย่เทียนสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของร่างกายของเขา และรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง
“ความเร็วในการบ่มเพาะเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่า นี่เป็นเพียงเลือดของสัตว์อสูรระดับต่ําเท่านั้น หากเป็นโลหิตของสัตว์อสูรระดับกลาง ผลลัพธ์ที่ได้จะไม่ยิ่งท้าทายสวรรค์มากกว่านี้หรอกหรือ? ไม่แปลกใจเลยว่าทําไมหลายคนถึงสามารถกลายเป็นนักรบด้วยอายุเพียง 20-30 ปี แม้แต่นักรบชั้นยอดพวกเขาก็คงพึ่งพาเลือดของสัตว์อสูรเหล่านี้เป็นจำนวนมากในการเพิ่มความแข็งแกร่ง! “เย่เทียนคาดเดา
เย่เทียนดื่มเลือดสัตว์อสูรเข้าไปอีกหนึ่งอึก และยังคงฝึกฝนต่อไป
เขามีพรสวรรค์ในการบ่มเพาะระดับกลาง ดังนั้นความสามารถในการดูดซับเลือดของสัตว์อสูรจึงสูงกว่าคนทั่วไป หากเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ในการบ่มเพาะระดับเริ่มต้น ความเร็วในการบ่มเพาะของเขาจะเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า
ด้วยเลือดของสัตว์อสูรนี้ เย่เทียนสามารถเติบโตได้เร็วกว่าคนอื่นๆมาก
ไม่กี่ชั่วโมงผ่านไป
ในเวลานี้ เย่เทียนพบว่าเขาได้ใช้กระบวนท่าของวิชาหลอมกายาครบ 10 รอบแล้ว แต่ดูเหมือนว่า…
“ร่างกายของเรายังไม่ได้เหนื่อยขนาดนั้น หรือว่าเราสามารถใช้วิชาหลอมกายาได้อีก ?”
เมื่อคิดได้ดังนั้นเขาก็ลงมือในทันที
เย่เทียนฝึกวิชาหลอมกายาอีกครั้ง และพบว่าเขานั้นฝึกฝนได้อย่างง่ายดาย และแน่นอนว่านี้จะไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย
“เข้าใจแล้ว เหตุผลที่คนทั่วไปสามารถฝึกวิชาหลอมกายาได้แค่สิบครั้งก็เพราะว่าร่างกายของมนุษย์มีพลังงานอยู่จํากัด การฝึกฝนจำเป็นต้องพึ่งพาศักยภาพภายในร่างกาย แต่ด้วยเลือดของสัตว์อสูรนั้นไม่เหมือนกัน เลือดของสัตว์อสูรสามารถทดแทนพลังงานในร่างกายได้ ดังนั้นจึงสามารถฝึกวิชาหลอมกายาได้อีกหลายรอบ โดยสิบรอบนี้ยังห่างไกลจากขีดจํากัด เรายังสามารถฝึกได้ราวยี่สิบรอบ หรืออาจจะสามสิบรอบเลยก็ได้”
เย่เทียนกล่าวอย่างตื่นเต้น
บางทีความลับนี้อาจจะไม่ใช่ความลับในหมู่นักสู้ระดับสูง แต่ก็ไม่มีใครเปิดเผยต่อสาธารณะ ที่สําคัญคือผู้ฝึกยุทธ์นั้นยากที่จะได้รับเลือดของสัตว์อสูร เลือดของสัตว์อสูรที่มีอยู่ไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้ฝึกยุทธ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเปิดเผยความลับนี้ให้สาธารณชนรู้ มิเช่นนั้นผู้ฝึกยุทธ์นับไม่ถ้วนคงไล่ล่าสัตว์อสูรอย่างบ้าคลั่ง
ต่อให้เป็นตระกูลใหญ่การมอบเลือดของสัตว์อสูรจำนวนมากให้แก่ผู้ฝึกยุทธในตระกูล ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
“ฮ่าฮ่าฮ่า เลือดสัตว์อสูรมากมายขนาดนี้ก็เพียงพอที่จะให้ฉันฝึกฝนได้อีกสองวัน บางทีเมื่อการทดสอบสิ้นสุดลง ฉันอาจจะสามารถเพิ่มพละกําลังได้ถึง 400 จิน”
เย่เทียนกําหมัดแน่นและคิดกับตัวเอง
ฝึก ฝึกต่อไป!!!
ในขณะที่เย่เทียนกําลังฝึกฝน โลกภายนอกก็เกิดความโกลาหล
เพื่อที่จะได้รับคะแนนมากขึ้น ผู้ฝึกยุทธ์จํานวนมากต่างแย่งชิงกันเพื่ออันดับที่สูงขึ้นกว่าเดิม แต่ผู้ฝึกยุทธ์เหล่านี้ก็ไม่กล้าที่จะสังหารใคร เพราะการลงโทษนั้นร้ายแรงเป็นอย่างมาก ไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงแล้วมีนักรบซ่อนตัวสังเกตการณ์อยู่ในป่านี้หรือไม่
แต่ถึงอย่างนั้น เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ที่อ่อนแอก็ถูกปล้นชิงซ้ำแล้วซ้ำเล่า วัตถุดิบที่หามาได้อย่างยากลำบากต่างถูกแย่งชิงไปจนหมด
ในพริบตา การทดสอบสามวันก็ใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว
ในเวลานี้ก็มีผู้ฝึกยุทธคนหนึ่งก็เดินออกมาจากเขตป่า