งจากพูดคุยกับอวจงเป็นเวลานาน เย่เทียนก็เข้าใจถึงสถานการณ์คร่าวๆของฐานทัพทะเลมาร
แต่อจงพูดเพียงเรื่องราวปกติที่คนทั่วไปรู้กันเท่านั้น ส่วนข้อมูลลับกว่านั้นไม่ได้กล่าวถึงเลย
“ท่านผู้ดูแลจง ท่านรู้จักเย่วหลิงหรือไม่?
ทันใดนั้นเย่เทียนก็ถามขึ้น
แซ่เย่วและอวจงก็แซ่เย่วเช่นกันบวกกับทั้งสองคนมาจากหอยุทธ์ไม่แน่ว่าทั้งสองอาจจะมีความสัมพันธ์บางอย่าง
เย่เทียนแค่อยากรู้อยากเห็นจึงถามออกไป
“เย่วหลิงและตัวข้าสังกัดตระกูลเย่วเหมือนกัน ตระกูลเย่วเป็นหนึ่งในสามตระกูลใหญ่ของหอยุทธไม่เพียงแค่สมาชิกสาขาของตระกูลเย่วเท่านั้น แต่เย่วหลิงเป็นคุณหนูจากสาขาหลักเธอมีภูมิหลังที่ลึกล้ำมากสถานะของเธอสูงกว่าข้ามากเช่นกัน”อวจงตอบโดยไม่ปิดบัง
“เป็นอย่างที่คิด!”
เย่เทียนรู้ว่าการคาดเดาของเขาถูกต้องตัวตนของเย่วหลิงนั้นไม่ง่ายเลยจริงๆขนาดสถานะของอวจงยังด้อยกว่าเย่วหลิงมาก เห็นได้ชัดว่าฐานะของเย่วหลังนั้นสูงส่งขนาดไหนไม่อย่างนั้นเธอคงไม่มีผู้คุ้มกันเป็นนักรบผู้เชี่ยวชาญจํานวนมากขนาดนั้น
แม้ว่านักรบผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้นจะไม่แข็งแกร่งมากนัก แต่การที่จะมีนักรบผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้คุ้มกันซักคนหนึ่งก็น่าทึ่งมากแล้ว
ที่ฐานหลินไห่นักรบผู้เชี่ยวชาญเป็นตัวตนที่สูงกว่าใคร มีใครไหมที่ต้องการรับใช้นักรบชั้นยอด? มีเพียงตระกูลเย่วเท่านั้นที่สามารถท่าเช่นนี้ได้
“ท่านผู้ดูแลจง อีกเดือนให้หลังข้าจะมารบกวนท่านอีกครั้ง!”
เย่เทียนกล่าวค่อ่าลา
เมื่อกลับมาถึงบ้านเย่เทียนก็เริ่มคิดเรื่องแผนการต่อไป
จากปากของอวจงเงินที่ใช้ในฐานหลิงไห่ สามารถแลกเปลี่ยนเป็นเงินจากฐานทะเลมารได้แต่อัตราส่วนการแลกเปลี่ยนเป็นเพียงสองต่อหนึ่งเท่านั้น
กล่าวคือเงินสองหยวนจากฐานหลินไห่สามารถแลกเปลี่ยนเป็นหนึ่งหยวนสําหรับฐานทะเลมาร
การแลกเปลี่ยนนี้ดูเหมือนจะขาดทุนแต่มันไม่มีอะไรต้องสูญเสียมากขนาดนั้น เพราะส่วนใหญ่แล้วสินค้าที่ขายในฐานทะเลมารจะมีราคาถูกกว่าที่นี่มาก
“อีกหนึ่งเดือนเราก็จะออกจากฐานหลินไห่แล้ว มีบางอย่างที่เราควรต้องจัดการ”เย่เทียนคิด
สิ่งแรกที่ต้องทําคือเลือดสัตว์อสูรระดับกลางที่เก็บไว้สําหรับเย่หยุเพื่อขัดเกลาร่างกายเหลือเวลาอีกแค่เดือนเดียวไม่มีทางที่คนคนเดียวจะใช้หมดได้ภายใน 1 เดือน
ดังนั้นเย่เทียนจึงแบ่งเลือดสัตว์อสูร 1,000ชุดให้กับหมาป่าวายุและทีมของเขา สําหรับเย่เทียนแล้ว หมาป่าวายุและทีมล่าของเขา เป็นสหายที่ดีต่อกัน
ส่วนเลือดสัตว์อสูรระดับกลางที่เหลือ เย่เทียนขายมันให้กับหอยุทธ์และได้รับเงินมา 1 พันล้านหยวน 1พันล้านหยวนแม้ว่าจะดูเหมือนมากแต่สําหรับนักรบผู้เชี่ยวชาญเช่นเย่เทียนนี่เป็นเพียงเงินเล็กน้อยเท่านั้น
นอกจากเลือดสัตว์อสูรแล้ว สมุนไพรจํานวนมากที่เย่เทียนเก็บมา ก็ขายออกไปที่ละรายการได้เงินมาอีก 400 ล้านหยวน
ตอนนี้บ้านที่เขาอยู่ เย่เทียนยังไม่คิดจะขายมันเพราะไม่แน่ว่าเขาอาจจะกลับมาในสักวันหนึ่งก็ได้
หนึ่งเดือนผ่านไปเย่เทียนไม่ได้ออกไปล่าสัตว์อสูรอีกต่อไป แต่มุ่งเน้นในการฝึกฝนแต่มันก็ไม่ได้ก้าวหน้ามากนัก พลังของเขาเพิ่มขึ้น 230,000 จินเท่านั้น
แต่สําหรับผู้ฝึกยุทธ์คนอื่นๆแล้วการเพิ่มพลัง 30,000 จินภายใน 1 เดือนก็ยังคงเร็วมากอยู่ดีหากยังคงความเร็วเช่นนี้ต่อไปภายใน 1 ปีพลังของเขาจะเพิ่มขึ้นได้ถึง 360,000 ชิ้น
แม้ว่าจะถึงช่วงท้ายๆของการขัดเกลา ความเร็วในการเพิ่มพลังจะลดลง แต่เย่เทียนก็จะสามารถยกระดับเป็นระดับนักรบผู้เชี่ยวชาญขั้นสูงสุดที่มีพละกําลังถึง 1 ล้านจนได้ภายในสามปีจากนั้นเขาก็จะก้าวเข้าสู้ขอบเขตปรมาจารย์
“ใช้เวลา 3 ปีในการทะลวงเข้าสู่ขอบเขตปรมาจารย์ความเร็วนี้เพียงพอที่จะทําให้ผู้ฝึกยุทธนับไม่ถ้วนต้องอิจฉาหากไม่มีพรสวรรค์ในการบ่มเพาะระดับสูงแล้วล่ะก็ไม่มีทางที่ผู้ฝึกยุทธเหล่านั้นจะสามารถเลื่อนขั้นเป็นระดับปรมาจารย์ได้แม้แต่คนเดียว นอกจากนี้นี่เป็นเพียงพรสวรรค์ในการบ่มเพาะระดับสูงสุดเท่านั้น ข้าไม่เชื่อว่าในฐานทัพทะเลมารจะไม่มีพรสวรรค์ที่เหนือกว่าระดับสูง สุด ถ้าข้าสามารถคัดลอกสวรรค์ขึ้นที่สูงกว่าตอนนี้ระยะเวลาการทะลวงเข้าสู่ขอบเขตปรมาจารย์คงจะน้อยลงกว่านี้มาก!”
การคัดลอกพรสวรรค์ที่สูงกว่าตอนนี้เป็นหนึ่งในเหตุผลที่เย่เทียนรีบไปยังฐานทัพทะเลมาร ถ้าเขายังอยู่ในฐานหลินไห่ เขาจะไม่มีโอกาสได้คัดลอกพรสวรรค์ที่มีประโยชน์ในระดับสูง เพราะ เส้นทางความแข็งแรงของเขาขึ้นอยู่กับพรสวรรค์ในการบ่มเพาะของมนุษย์ มีเพียงมนุษย์เท่านั้น ที่มีพรสวรรค์ในการปกครอง ไม่สามารถคัดลอกพรสวรรค์ทางสายเลือดของสัตว์อสูรได้
“น้องพี่ ไปกันเถอะ!”
เย่เทียนกล่าวกับเย่หยุที่กําลังเก็บของสัมภาระต่างๆ
ถึงแม้สิ่งของสัมภาระของเหยูจะไม่ได้มีมูลค่าอะไรมากนัก แต่เธอก็อยากนํามันไปด้วย หากไม่ใช่เพราะว่าระยะทางนั้นอีกยาวไกลไม่สามารถนําสัมปทานไปได้เยอะเธอคงนําทุกสิ่งทุกอย่างในบ้านไปพร้อมกับเธอ
เย่เทียนนําสัมภาระใส่กระเป๋าใบใหญ่ ถึง 3 ใบ แขวนไว้บนหลังของเสียวจน จากนั้นเย่เทียนและเย่หยูก็ออกจากเขตวิลล่าและมาถึงประตูทิศเหนือของฐานหลินไห่
ในเวลานี้อวจงก่าลังรอพวกเขาอยู่ที่ประตูทิศเหนือแล้ว
เมื่อเย่เทียนมาถึงประตู เขาก็ได้เห็นผู้ฝึกยุทธอีก 7 ถึง 8 คน รวมไปถึง หลินว่านหลี่ ปรมาจารย์หลี่ และนักรบคนอื่นๆที่ล้วนเป็นบุคคลสําคัญในฐานหลินไห่
“พวกเขาน่าจะไปที่ฐานทะเลมารเช่นกัน แต่เป้าหมายของพวกเขาจะต้องแตกต่างจากเรา!”
เย่เทียนคาดเดา
เย่เทียนต้องการตั้งรกรากอยู่ที่ฐานทะเลมาร แต่หลินว่านหลี่และคนอื่นๆไม่มีทางที่จะสามารถละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างในฐานหลินไม่ได้ เพราะแม้ว่าจะไปยังฐานทะเลมารแต่มันก็ยังเป็นเรื่องยากสําหรับพวกเขาที่จะแข็งแกร่งขึ้นที่ฐานหลินไห่พวกเขาทั้งหมดคือผู้มีอํานาจหากเขาก้าวเท้าเข้าไปในฐานทะเลมารนอกเสียจากปรมาจารย์หลี่แล้วทุกคนล้วนแต่เป็นผู้อ่อนแอ
“ปรมาจารย์เย่! ”
หลินว่านหลี่และคนอื่นๆเห็นเย่เทียนก็รีบก้าวออกมาทักทาย
“ปรมาจารย์เย่ ท่านกําลังจะออกจากฐานหลินไห่แล้วไม่กลับมาอีกหรือ?” ชายชราหลิ่มองไปที่กระเป๋าสัมภาระใบใหญ่บนร่างของเสียวจนและถามด้วยความสงสัย
“เฮ้ ข้าต้องการไปตั้งรกรากที่ฐานทัพทะเลมาร บางทีข้าอาจจะมีเวลาแวะเวียนกลับมาอีกในอนาคต !” เย่เทียนตอบอย่างไม่สนใจ
ผู้อาวุโสหล็ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกยินดี
เมื่อเย่เทียนจากไปแล้วก็ไม่มีใครในฐานหลินไห่สามารถกดดันเขาได้ เขาจะเป็นปรมาจารย์เพียงคนเดียวของฐานหลินไห่และจะกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุด
หากเย่เทียนยังอยู่เขาก็ไม่กล้ากระโดดออกมาสร้างปัญหา ดังนั้นว่าเขาได้ยินคําพูดของเย่เทียนว่าจะจากไปภายในใจของเขารู้สึกตื่นเต้นเป็นที่สุดแน่นอนว่าตอนนี้ยังอยู่ต่อหน้าเย่เทียนเขาจึงไม่แสดงความรู้สึกใดๆออกมา
หลังจากรอเวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงเย่เทียนก็เห็นขบวนสินค้ามาถึง
ตูม!!!!!
พื้นดินเริ่มสั่นสะเทือนและสัตว์อสูรตัวใหญ่ก็ลากสินค้าจํานวนมากมา
“คาราวานสินค้ามาแล้ว!”
อวจงตะโกนเสียงดัง
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หลินว่านหลี่และคนอื่นๆเห็นคาราวานนี้พวกเขาจึงไม่รู้สึกแปลกใจต่างกับเย่เทียนและเย่หยุที่กําลังจ้องมองคาราวานสินค้าที่อยู่ไกลออกไปอย่างอยากรู้อยากเห็น
“พวกเขาใช้สัตว์อสูรขนาดใหญ่เช่นนี้เป็นพาหนะในการขนส่งสินค้า!”
เย่เทียนสัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่ของหอยุทธอีกครั้ง