“เฮ้ย เบริล เมื่อไหร่ข้าจะได้เห็นหน้าหลานสักทีวะ?”
“พ่อ…เรามาอยู่ในที่ห่างไกลความเจริญแบบนี้ แล้วท่านต้องการอะไรจากข้ากันล่ะ?”
ณ โรงฝึกดาบบ้านนอกของข้า พ่อก็เริ่มบ่นพึมพัมไร้สาระรับอรุณกันเลย
ข้า เบริล การ์เดอนานท์ ก็แค่ตาลุงคนนึง
ที่ไม่ต้องสาธยายอะไรมาก ว่าเป็นครูฝึกดาบ ที่โรงฝึกดาบบ้านๆในย่านชนบท
“
“
เออ แค่นั้นแหละ จบการแนะนำตัว
คุณอาจจะคิดว่าข้า ไม่ลงรายละเอียดอะไรเลยนี่หว่า
ก็คือมันไม่มีอะไรจริงๆ
ข้าเป็นตาลุงที่เป็นครูฝึกดาบ ณ โรงฝึกดาบแห่งนึงในชนบท
ไม่มากไปกว่านั้น ไม่น้อยไปกว่านั้น
“แล้วเอ็งจะไปหาเมียที่ไหนได้ล่ะ ในเมื่อวันๆเอาแต่ทำสมาธิฝึกดาบแบบนี้ตลอด”
ตาแก่พ่อข้าก็พล่ามไปเรื่อยแบบนี้ตั้งแต่เกษียณจากการเป็นครูฝึกดาบและมอบให้ข้าสานต่อกิจการโรงฝึกต่อไป
จริงๆก็อยากจะพบเจอใครบ้างล่ะนะ…ถ้าทำได้ แม่งเอ๊ย
ตระกูลข้ามีประวัติที่เกี่ยวพันกับดาบ นั่นจึงทำให้ข้ากุมดาบไม้ตั้งแต่เริ่มจำความได้
ครอบครัวข้าเลี้ยงดูข้ามาอย่างดี ข้ามีสุขภาพร่างกายแข็งแรง เฉกเช่นเด็กทั่วไป แต่โชคร้ายที่ข้าไม่มีพรสวรรค์สืบทอดความเป็นสุดยอดนักดาบแบบพ่อได้
แน่นอนว่า ข้าได้พยายามจนถึงที่สุดแล้ว
ข้าไม่ได้เกลียดชังดาบแต่อย่างใด สำหรับชนบทห่างไกลความเจริญแบบนี้
ข้าไม่มีงานอดิเรกอื่นใดให้ทำอยู่แล้ว
ช่วงวัยเยาว์ ข้านั้นเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นตามประสาเด็ก
พอก้าวเข้าสู่วัยรุ่น ข้าก็ได้มาถึงจุดสูงสุดของชีวิต
พอย่างเข้าปีที่ยี่สิบ จิตของข้าก็รู้เท่าทันกาย ทั้งสองหลอมรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียว
ย่างเข้าปีที่สามสิบ ข้าได้ฝึกฝนและเรียนรู้เพื่อเติมเต็มความพึงพอใจของตน
ก็นะ ข้าว่ามันก็ถูกแล้วนั่นแหละที่ข้าอุทิศชีวิตและเวลาให้กับการฝึกดาบจนกระทั่งอายุปาไปสี่สิบกว่าแล้ว ประสบการณ์ที่ข้าได้มาก็มีคุณค่าในตัวมันเอง
ท้ายสุด สิ่งที่ข้าได้รับมาจากความพยายามก็คือ กล้ามเนื้อและเชิงดาบที่ทำให้ข้าเก่งกว่าคนทั่วไป
อย่างน้อยข้าก็พอจะเรียกตัวเองได้ว่าเป็นนักดาบสมกับที่อยู่มาปูนนี้แล้ว ก็แค่นั้นเอง
ถ้าคุณถามว่าแล้วข้าพอใจชีวิตแบบนี้รึเปล่า ตอบเลยว่าไม่ แต่ข้าก็ไม่ได้ไม่พอใจอะไรเท่าไรหรอก
ข้ามีความเชื่อมั่นแปลกๆว่าโชคชะตาได้ให้ข้ามาอยู่ที่นี่
พ่อข้าก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากมายจากข้า จึงปล่อยให้ข้าใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
“เอ็งเคยมีลูกศิษย์อยู่คนนึงไม่ใช่รึ? นังหนูนั่นก็เป็นเด็กดีใช้ได้ ไม่สนใจรึ?”
“ขอทีเถอะพ่อ ที่นี่เป็นโรงฝึกดาบ ไม่ใช่สถานที่บริการหาคู่ดูเด๊ะนะ”
ข้าปัดตกข้อเสนอแบบโยนหินถามทางของพ่อทิ้งไป
มั่นใจเลยว่าครึ่งหนึ่งที่พ่อข้ากล้าเสนอเรื่องหน้าไม่อายแบบนี้ซ้ำๆ ให้ นั่นเพราะข้าเป็นลูกชายของเขา แต่ก็ไม่บันยะบันยังกันบ้างเลย
ข้าไม่มั่นใจว่าที่พ่อมอบให้ข้าสืบทอดกิจการโรงฝึกต่อไปนั้น เป็นเพราะพ่ออายุมากจนถึงวัยที่ต้องถอนตัวจากตรงนี้รึไม่ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เราเห็นตรงกันนั่นคือ ถึงแม้ทักษะเชิงดาบข้ามันจะพอถูไถ ปรากฏว่าข้ามีพรสวรรค์ในการสอนวิชาดาบซะงั้น
พูดถึงสถานที่ที่เราอยู่นั้น แม้จะได้รับการปกป้องจากอาณาจักร แต่หากออกห่างจากตัวเมืองไปก็มีอันตรายมากมายรออยู่
เพียงก้าวพ้นรั้วหมู่บ้านไป ก็เข้าสู่เขตป่าที่มีสัตว์ร้ายและสัตว์อสูรอาศัยอยู่ แน่ล่ะว่าไอ้การจะมีสัตว์อสูรมาจ๊ะเอ๋ใกล้ๆหมู่บ้านนั่น มันไม่ได้เกิดเหตุแบบนั้นกันได้ง่ายๆ แต่กันไว้ดีกว่าแก้จะดีกว่า
ในเขตชุมชนและเมืองหลวง ได้รับการป้องกันด้วยกำแพงเมืองที่มั่นคงแข็งแรง มีเหล่าอัศวินกับทหารยามคอยลาดตระเวณเฝ้าระวังอยู่รายรอบ
สำหรับเขตชนบทห่างไกลความเจริญแบบที่นี่ คนที่รับมือเหตุร้ายแบบนั้นได้ก็นักดาบอย่างข้าหรือไม่ก็พวกนักล่า แล้วยังมีนักผจญภัยกับทหารรับจ้างที่คอยเป็นหูเป็นตาให้อีก
ด้วยเหตุนั้นเอง จึงมีผู้ต้องการเรียนรู้วิชาดาบเพื่อใช้ป้องกันตัวเอง ติดต่อเข้ามาฝึกฝนที่โรงฝึกข้าเรื่อยๆ
ไม่แค่วิชาดาบ เวทย์มนต์ก็ใช้เพื่อการป้องกันตัวได้…
แต่ข้าไม่ได้เก่งด้านนั้น ข้าไม่มั่นใจว่าเวทย์มนต์คืออะไร สิ่งที่ข้าทำได้ก็คือ การเหวี่ยงดาบไม้ฝึกฝนตนเองมาตั้งแต่เด็ก
เหล่านักเวทย์นั้นทั้งหายากและมีไม่มากบนโลกนี้ เมืองหลวงเองก็มีกองสังกัดผู้ใช้เวทย์มนตร์อยู่ แต่ก็กล่าวได้ว่าจำนวนผู้อยู่ในสังกัดนี้น้อยเสียยิ่งกว่าน้อยเสียอีก
อาาา จะว่าไป….
พูดถึงเหล่าลูกศิษย์ มีลูกศิษย์คนนึงที่จบการศึกษาไปแล้ว เคยพูดกับข้าด้วยท่าทีขึงขังจริงจังว่า “เมื่อหนูโตขึ้น หนูจะขออาจารย์แต่งงานนะคะ!”
เด็กเอ๋ย เด็กน้อย ถึงจะดูเอาจริง เจ้าก็ยังเด็กเกินไปสำหรับข้า ข้าจึงไม่ได้เก็บมาคิดเป็นสาระอะไร ได้แต่ปล่อยผ่านและหัวเราะให้กับความไร้เดียงสานั้น
จำได้ว่าเธอเป็นเด็กสาวที่สวยทีเดียวและมีเรือนผมสีเงินสะดุดตา
บ๊ะ นอกเรื่องไปไกลเลย
ข้ากำลังพูดถึงพรสวรรค์ในการสอนวิชาดาบของข้าอยู่นี่นา
บางทีคงเป็นเพราะอุปสงค์กับอุปทานมันเข้ากันพอดี ในเมื่อข้าก็อยากสอน คนก็อยากเรียน โรงฝึกดาบของข้าจึงมีลูกศิษย์ลูกหามากหน้าหลายตา ไล่ตั้งแต่พวกนักเลงอันธพาล ลูกสาวหัวหน้าหมู่บ้าน ไปจนถึงขุนนางในเมืองและลูกหลานของพวกเขา
ข้าก็คิดว่าโรงฝึกดาบ/สำนักดาบที่อื่นมันก็มีเยอะแยะนะ แต่ไหงถึงถ่อมาฝึกดาบกันที่โรงฝึกดาบในชนบทแบบนี้กันเล่า
แต่ก็เอาเถอะ มีลูกศิษย์มาก ก็ได้เงินค่าเล่าเรียนมาก ชีวิตข้าก็ดีขึ้น แล้วข้าจะบ่นอะไรได้ล่ะ
ขอบอกว่าที่นี่เราเก็บค่าเล่าเรียนเป็นรายเดือน ไม่ได้ทำงานการกุศลก็แล้วกัน
“เออ แล้วนี่เมื่อไหร่เอ็งจะแสดงความกตัญญูกตเวทิตาให้ตาแก่อย่างข้าสักทีวะ?”
“ข้าสืบทอดกิจการโรงฝึก มีลูกศิษย์เพิ่มขึ้น หาเงินเข้าบ้านมากขึ้น นี่ยังไม่นับเป็นการกตัญญูอีกเหรอ?”
“ยังมีอีกอย่างหนึ่ง!”
“เอ่อ…”
วันนี้พ่อข้าเป็นอะไร คะยั้นคะยอกันแต่เช้าเลย
ไอ้อย่างนึงที่ว่าก็คือเรื่องนี้แหละ
ตั้งแต่ข้าได้เป็นครูฝึกดาบ เหล่าลูกศิษย์ที่จบการศึกษาไปแล้ว ต่างได้ดิบได้ดี เป็นใหญ่เป็นโตอย่างนักผจญภัยระดับสูงหรือแม้กระทั่งได้เป็นหนึ่งในสมาชิกของกองอัศวินหลวง
หลายคนที่เรียนจบไป ได้กลับมาเยี่ยมโรงฝึกเล่าให้ข้าฟังหรือไม่ก็ส่งจดหมายขอบคุณมาถึงข้า
นี่ฟังนะไอ้ลูกศิษย์ทั้งหลายเอ๊ย…ข้าก็พอรู้ว่าข้ามีพรสวรรค์ในการสอนพวกเจ้าอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ยอดเยี่ยมอะไรนักหนา ข้าซาบซึ้งใจที่พวกเจ้ารำลึกถึงข้า นั่นทำให้ข้ารู้สึกอบอุ่นและประหม่าอยู่บ้าง แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าพวกเจ้าจะมาเสียเวลาอันมีค่าให้กับตาลุงบ้านๆอย่างข้าไปเพื่ออะไร
กระทั่งจดหมายจากหัวหน้ากองอัศวินหลวง ข้าก็เคยได้รับมาแล้ว
ไม่มีอะไรที่ดีกว่านี้ทำแล้วรึ? ไม่มีใครอื่นให้ติดต่อแล้วรึ?
เฮ้อ.. เวลาได้รับจดหมายจากคนที่ประสบความสำเร็จจนข้ามิอาจเทียบได้นี่มันช่างเจ็บจี๊ดเข้าถึงทรวงใน แล้วยิ่งมาจากเหล่าลูกศิษย์นี่ยิ่งหนักเลย
ถ้าข้ามีพรสวรรค์ในเชิงดาบมากกว่านี้สักนิด บางทีข้าคงออกจากหมู่บ้านแล้วไปใช้ชีวิตหรูหราในเมืองไปแล้ว
“เอ็งก็น่าจะรู้ว่าควรให้ความหวังนิดๆหน่อยๆกับตาแก่อย่างข้าบ้างสิวะ”
“ครับๆ เอาเถอะ ข้าก็หวังว่าจะมีโอกาสได้ปิ๊งใครบ้างล่ะนะพ่อ…”
แต่จวบจนกระทั่งหมดวัน มันก็เป็นได้แค่ความฝันที่ไม่เคยได้รับการเติมเต็ม เป็นแบบนี้อยู่ร่ำไป
ถึงข้าจะยินดีที่ความสามารถของข้าได้รับการฝึกฝนมาจนถึงขีดจำกัดแล้ว
แต่สำหรับคนอายุปูนนี้แบบข้า เรื่องทำนองนี้ มันช่างน่าผิดหวังเสียจริง
“..ฟู่..”
หลังจากที่พ่อข้าออกไปแล้ว ข้าก็อยู่ตัวคนเดียวในโรงฝึกและเพลิดเพลินไปกับอากาศสดชื่นยามเช้า
เป็นเช้าที่ไม่เลว เหมาะกับการทำสมาธิดี
“-ขอโทษที่มารบกวนนะคะ!”
ในขณะที่ข้ากำลังค่อยๆตกภวังค์อยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงเรียกหนึ่ง
แขกรึ?
หืมมม..ใครกันนะ? วันนี้โรงฝึกปิดทำการ ไม่น่าจะเป็นหนึ่งในลูกศิษย์ที่มาทักยามเช้าแบบนี้
ถ้าเป็นเจ้าพวกลูกศิษย์ที่เรียนอยู่ที่นี่ล่ะก็ น่าจะเดินเข้าโรงฝึกมาทื่อๆโดยไม่กล่าวทักทายสุภาพอะไรแบบนี้หรอก
“ครับ ครับ มาแล้วครับ ใครครับนี่?”
ข้าลุกขึ้นอย่างยากลำบากตามสังขารที่มากขึ้น แล้วเปิดประตูหน้าโรงฝึกออก
ที่ยืนอยู่ตรงนั้น คือ สาวสวยคนหนึ่ง เรือนผมสีเงินที่มัดไว้นั้นยาวจรดเอว ช่างดูสุขุมและสง่างามจริงๆ
“ไม่เจอกันนานเลยนะคะ ท่านอาจารย์”
“…เอ่…เจ้าคือ…อลิเซียใช่มั้ยนั่น?”
“ค่ะ ข้าเอง ท่านอาจารย์ ข้าไม่ได้ข่าวจากท่านมาสักพักใหญ่แล้วนะคะ”
สีหน้าเธอดูผ่อนคลายลงทันใด
เอ๋…
ข้าล่ะแปลกใจว่าลมอะไรถึงหอบเอาท่านหัวหน้าอัศวินแห่งราชอาณาจักรมาไกลถึงบ้านนอกแบบนี้ได้ล่ะนี่?
—————-
บ่นท้ายตอนจากผู้แปล
คนวาดมังงะเรื่องนี้เก่งมากนะ ทั้งที่ไลท์โนเวลมันเป็นคำบรรยายบุคคลที่ 1 ที่ดูน่าอึดอัดกับความคิดติดลบของตาลุงจอมดาบแบบนี้ แต่กลับถ่ายทอดเป็นภาพและรายละเอียดออกมาได้น่าสนใจตั้งแต่ตอนแรก ดังนั้นถ้ามังงะจะออกช้าก็เพราะเขาทำงานคุณภาพออกมาให้เราอ่านนะครับ
ความคิดติดลบของตาลุงจอมดาบนี่ ทำเอาผมแอบคิดว่า แกเผลอไปตีราชาปีศาจที่กำลังเดบิวต์ตายโดยไม่ตั้งใจรึเปล่า ถึงได้โดนสาปให้คิดลบได้ขนาดนี้
เนื้อเรื่องมันจะเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ คิดเสียว่าได้อ่านความคิดในหัวของลุงแกเสริมจากในมังงะแล้วกัน
ผลงานแปลนี้มาจากนิยายแปลที่แปลเป็นภาษาอังกฤษมาก่อน คำเรียกชื่อตัวละครหรือเมืองจะไม่ค่อยตรงกับในมังงะ เช่น อลูเซีย ในนี้ก็แปลว่า อลิเซีย (Alexia)เป็นต้น
ยินดีรับคำติชมและแก้ไขครับ