ตอนที่ 34 การทดสอบจากราชสีห์ขนทอง
ตอนนี้มีผู้เล่นที่ใจร้อนพุ่งขึ้นไปบนเวทีแล้ว จากนั้นทุกคนก็ได้เห็นว่าในพริบตาที่เขาเหยียบขึ้นเวทีประลอง ตัวเขาก็หายไปจากโลกที่ทุกคนอยู่ หายไปในอากาศแล้ว
“นี่คือดันเจี้ยน” เยี่ยเว่ยหมิงเห็นแล้วกล่าวเสียงต่ำ
อินปู้คุยพยักหน้าเล็กน้อย “ผู้เล่นที่อยู่ที่นี่ ต่อให้จำนวนไม่ถึงร้อยแต่ก็แปดสิบนั่นแหละ ถ้าจะให้ท้าสู้ทีละคน จะต้องสู้ไปถึงเมื่อไรกัน ออกแบบให้เป็นดันเจี้ยนเหมาะสมกว่าอยู่แล้ว”
ขณะที่ทั้งสองคนคุยกัน เสวียนเสี่ยวปี่ที่อยู่ข้างๆ ก็ก้าวขึ้นเวทีประลองไปแล้ว ส่วนเยี่ยเว่ยหมิงกับอินปู้คุยที่อยู่ในฐานะเพื่อนร่วมทีม ก็ต้องทำตามเขาเช่นกัน ถูกดึงเข้าดันเจี้ยนไปด้วยแล้ว
เมื่อได้รับแจ้งเตือนว่าเข้าดันเจี้ยนมาแล้ว อินปู้คุยอดบ่นไม่ได้ “เสี่ยวปี่ เจ้าบุ่มบ่ามเกินไปแล้ว”
“ถึงอย่างไรก็ต้องท้าสู้กันหมด รีบสู้จะได้เสร็จไวๆ” เสวียนเสี่ยวปี่อธิบายอย่างไม่ใส่ใจ
อินปู้คุยเกือบเถียงไม่ออก “ต่อให้ต้องท้าสู้ แต่จะดีจะร้ายก็ต้องสังเกตการณ์ดูสักหน่อยสิ”
“ก็พวกเจ้าบอกเองไม่ใช่หรือ ว่านี่คือดันเจี้ยน จะไปสังเกตการณ์ใครล่ะ” เสวียนเสี่ยวปี่เถียงกลับอย่างมีเหตุผล
สำหรับคำตอบที่เต็มไปด้วยเหตุผลและความมั่นใจของเสวียนเสี่ยวปี่ อินปู้คุยรู้สึกเหนื่อยใจแบบเต็มสิบ
หลังจากเถียงกันไม่กี่ประโยค ทั้งสามก็เริ่มสังเกตการณ์ดันเจี้ยนนี้
ฉากในดันเจี้ยนที่จริงแล้วไม่ได้แตกต่างกับด้านนอก แต่สิ่งเดียวที่แตกต่างก็คือ ในดันเจี้ยนนี้นอกจากพวกเขาไม่กี่คน ก็มีเพียงเซี่ยซุนที่ถือดาบฆ่ามังกรยืนอยู่กลางเวทีไม้ ส่วนคนอื่นกลับหายไปหมดแล้ว
“คุยกันพอหรือยัง” เซี่ยซุนใช้น้ำเสียงของผู้เหนือกว่าพูดกับทั้งสาม “ถ้าคุยกันพอแล้ว ข้าก็จะบอกกติกาในการท้าสู้ข้า บอกแค่รอบเดียว พวกเจ้าตั้งใจฟังให้ดี…”
ตามคำบอกเล่าของเซี่ยซุน ทั้งสามเข้าใจกติกาของดันเจี้ยนนี้อย่างชัดเจนแล้ว
ประการแรก เซี่ยซุนบอกว่าเขาจะไม่เอาเปรียบผู้เล่น ผู้เล่นเลือกรายการประลองเองได้ ส่วนเขาก็จะกดค่าสเตตัสกับเลเวลของตัวเองให้อยู่ในระดับเดียวกับผู้เล่นเพื่อรับคำท้า เพียงแต่รายการประลองที่ผู้เล่นเลือกจะต้องสอดคล้องกับทักษะยุทธ์
ประการต่อมา เซี่ยซุนบอกว่าตัวเองเป็นคนแค้นแรงเกลียดแรง ดังนั้นสำหรับคนของพรรคทะเลทราย พรรคปลาวาฬและสำนักหมัดเทวะ รวมทั้งผู้เล่นที่ตามพวกเขามา หากท้าสู้ชนะแล้ว ก็จะได้รางวัลจากระบบเป็นค่าประสบการณ์และค่าตบะเล็กน้อยเท่านั้น แต่พวกเยี่ยเว่ยหมิงไม่เคยทำเรื่องชั่วช้ามาก่อน หากต่อสู้ชนะ เซี่ยซุนก็จะมอบตำราลับทักษะยุทธ์ให้หนึ่งเล่ม
ในช่องทีม…
เสวียนเสี่ยวปี่ [โอ้แม้เจ้า นี่กำลังแจกสวัสดิการ ชัดๆ!]
เยี่ยเว่ยหมิง [ต้องสู้ให้ชนะก่อนต่างหาก ถึงจะเรียกว่าสวัสดิการ]
เมื่อคุยกันจบ เขาก็ก้าวมาข้างหน้าแล้วกุมหมัดคารวะเซี่ยซุน “ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสเซี่ยบอกว่าจะกดค่าสเตตัสกับเลเวล เช่นนั้นค่าตบะของทักษะยุทธ์…”
“ฮ่าๆ…เจ้าเด็กนี่ก็ลาดเหมือนกันนะ” เซี่ยซุนได้ยินแล้วหัวเราะลั่น “สิ่งที่ข้ายอมให้มีเพียงเลเวลกับค่าสเตตัสที่ต่างกันเท่านั้น ส่วนรายละเอียดว่าจะท้าสู้อย่างไร พวกเจ้าค่อยๆ ศึกษาไปก็ได้”
เมื่อได้ยินคำตอบ ทั้งสามก็ด่าเซี่ยซุนในช่องทีมว่า ไร้ยางอาย
กดค่าสเตตัสกับเลเวลให้อยู่ระดับเดียวกับผู้เล่น ดูเผินๆ เหมือนทำให้ผู้เล่นมีความหวังว่าจะสู้ชนะ แต่ความจริงแล้วความแตกต่างระหว่างสองฝ่ายก็ยังห่างตั้งหนึ่งหมื่นแปดพันลี้!
สาเหตุที่เยี่ยเว่ยหมิงกลายเป็นยอดฝีมือได้ ก็ไม่ใช่เพราะเขาฝึก ‘เคล็ดกระบี่วีรสตรี’ ที่ไม่เข้าขั้นให้ถึงระดับสูงสุดหรอกหรือ
แต่เซี่ยซุนล่ะ?
หากประเมินตัวเลขในต่ำๆ อย่างน้อยก็คงฝึกวิทยายุทธ์ระดับกลางจนเลเวลเต็มไปสองสามวิชาแล้วมั้ง?
ค่าสเตตัสเดียวกัน แต่เซี่ยซุนอาศัยแค่ทักษะอย่างเดียว ก็จับทุกคนมาแขวนแล้วเฆี่ยนตีได้แล้ว!
“ใจกว้างหน่อยเถอะ” เยี่ยเว่ยหมิงส่ายหน้าน้อยๆ “เพราะผู้อาวุโสเซี่ยยอมกดเลเวลกับค่าสเตตัสให้พวกเรา พวกเราถึงได้มีโอกาสรอดหนึ่งส่วน ไม่อย่างนั้นโอกาสรอดคงเป็นศูนย์ไปแล้ว พวกเราใครจะเริ่มก่อนดี”
“ข้าก่อน!”
ขณะที่พูด เสวียนเสี่ยวปี่ก็ก้าวขึ้นมาข้างหน้า พร้อมนำพู่กันผู้พิพากษาของเขาออกมา “ข้าอยากจะประลองเขียนอักษรกับผู้อาวุโสเซี่ย” เมื่อพูดจบ ก็ไม่รอให้เซี่ยซุนตอบอะไร เขาเริ่มโคจรพลังภายในเพื่อเขียนตัวอักษรบนแผ่นไม้ใต้เท้า
ราชันยุทธภพ ดาบล้ำค่าฆ่ามังกร
บัญชาใต้หล้า มิกล้าขัดขืน
อิงฟ้าไม่ปรากฏ ใครหาญต่อกร
ตัวอักษรที่เขียนออกมาจากมือเขาเป็นตัวอักษรจีนทั้งหมดสิบสองตัวที่กล่าวได้ว่าเหมือนงูเลื้อยมังกรเดิน นุ่มนวลทว่าแข็งแกร่ง ไม่แปลกใจที่จางชุ่ยซานชื่นชอบและรับเป็นศิษย์สายตรง
แม้แต่คนที่ไม่ค่อยมีความรู้เรื่องทักษะเขียนอักษรอย่างเยี่ยเว่ยหมิง เมื่อได้เห็นก็ยังอดกล่าวชมเสียงเบาไม่ได้เช่นกัน “เสี่ยวปี่เขียนอักษรได้ไม่เลวเลย”
“นั่นก็แน่นอนอยู่แล้ว” อินปู้คุยอธิบาย “ก่อนที่เสี่ยวปี่จะมาเป็นผู้อพยพต่างโลก เขาเคยคว้ารางวัลชนะเลิศระดับมณฑลในงานแข่งขันทักษะเขียนอักษรจีนเยาวชน หลังจากเข้าเกมมาแล้ว ก็ยิ่งมีโบนัสสกิลทักษะเขียนอักษร ตัวอักษรที่เขาเขียนออกมา เกรงว่าจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปรมาจารย์ของยุคนี้แล้วกระมัง”
เมื่อเขียนตัวอักษรจบแล้ว เสวียนเสี่ยวปี่ก็เงยหน้าขึ้นกล่าวกับเซี่ยซุนด้วยรอยยิ้ม “ผู้น้อยแสดงฝีมืออันต่ำต้อย ผู้อาวุโสเซี่ยได้โปรดประเมินผลงาน”
เซี่ยซุนเห็นแล้วพยักหน้าเล็กน้อย กล่าวชมจากใจว่า “เป็นตัวอักษรที่ไม่เลว อายุยังน้อยก็มีท่วงท่าสง่างามแล้ว เอาชนะได้ยากจริงๆ!”
เมื่อพูดจบแล้ว เซี่ยซุนก็ใช้ฝ่ามือเดียวตบเสวียนเสี่ยวปี่จนกลายเป็นแสงสีขาวแล้ว
[ติ๊ง! เสวียนเสี่ยวปี่ เพื่อนร่วมทีมของคุณตายและหลุดออกจากทีมแล้ว]
ตอนที่ทั้งสองกำลังทำหน้าเหม่อลอยมึนงง กลับได้ยินเสียงเซี่ยซุนพูดเหยียดว่า “ข้าเคยบอกไว้แล้วว่าจำกัดประลองแค่ทักษะยุทธ์ ตัวอักษรที่เจ้าเขียนเกี่ยวอะไรกับทักษะยุทธ์สักนิดไหม” เพียงแต่คำอธิบายนี้ เห็นทีเสวียนเสี่ยวปี่คงไม่ได้ยินแล้ว
พอพูดจบ เซี่ยซุนก็เงยหน้าอีกครั้ง มองทั้งสองพร้อมถามว่า “พวกเจ้าสองคน ใครจะมาก่อน”
“ข้าเอง!” ตอนนี้อินปู้คุยเอ่ยปากแล้ว “ผู้น้อยไม่ถนัดวิชาหมัดมวย มีเพียงความรู้ผิวเผินเรื่องเคล็ดกระบี่ แต่หากผู้น้อยโชคดีทำให้ชายแขนเสื้อของผู้อาวุโสเสียหายเล็กน้อย…”
“นั่นก็นับว่าชนะแล้ว!”
เมื่อได้ยินบทสนทนาของทั้งสอง เยี่ยเว่ยหมิงก็ตาเป็นประกายทันที ที่แท้ก็ใช้เงื่อนไขอย่างนี้ได้!
ตอนนี้เอง อินปู้คุยชักกระบี่ยาวออกมาแล้วแทงตรงไปยังเซี่ยซุน เพียงแต่เคล็ดวิชาที่เขาใช้เป็นเพียงเคล็ดกระบี่ธรรมดาของอู่ตังเท่านั้น ยังไม่ต้องพูดถึงว่าตอนนี้เคล็ดกระบี่ยังมีเลเวลไม่สูง ต่อให้ฝึกจนเลเวลเต็มแล้ว ก็ยังไม่อยู่ในสายตาของเซี่ยซุนอยู่ดี
เพียงชั่วพบหน้ากัน ก็โดนเซี่ยซุนจับจุดอ่อนเสียแล้ว อีกฝ่ายพลิกมือคว้าคอเขาจากข้างหลัง “เจ้าหนู อาศัยแค่สองสามท่าของเจ้า ยังคิดจะทำลายแขนเสื้อ…บัดซบ!”
ตอนที่เซี่ยซุนกำลังลำพองใจ อยากจะประกาศชัยชนะหลังจากบีบคออินปู้คุยตาย กลับเห็นกระบี่ยาวในมืออินปู้คุยยกสูงขึ้น แล้วแทงมาที่ท้องน้อยของตัวเองอย่างฉับพลัน
เซี่ยซุนตระหนักอะไรบางอย่างได้ แต่ติดที่เลเวลกับค่าสเตตัสล้วนถูกควบคุมไว้ รู้ตัวช้าเกินไป ถูกอินปู้คุยแทงท้องน้อยทะลุหลังแล้ว อีกทั้งคมดาบที่แทงออกมาก็ยังทิ้งรอยเล็กๆ ที่สังเกตเห็นยากไว้บนเสื้อผ้าเขาด้วย
ฉึก! เมื่อชักกระบี่ยาวออกมา แถบเลือดเหนือศีรษะอินปู้คุยก็ลดลงจากเดิมเกินครึ่ง เพียงแต่เขาไม่ได้เปิดใช้โหมดความรู้สึกเจ็บ จึงไม่แยแสสิ่งนี้แม้แต่น้อย เขาหันกลับมาพูดกับเซี่ยซุนอย่างภาคภูมิใจ “ผู้อาวุโสเซี่ย ขอบคุณที่ออมมือ!”
“เด็กดี โหดมากทีเดียว!” เซี่ยซุนถามอย่างตรงไปตรงมา “กระบวนท่าของเจ้าทำให้ข้าตกใจจริงๆ บอกข้าได้หรือไม่ ว่าคือกระบวนท่าอะไรกันแน่”
อินปู้คุยกุมหมัดคารวะอย่างนอบน้อม “ช่วงนี้พอได้เห็นอาจารย์ลุงสามถูกคนชั่วทำลายเส้นเอ็นแขนขา ข้าก็บอกกับท่านอาจารย์ว่า หากเจอศัตรูที่สู้ไม่ไหวอีก ข้าก็จะยอมพินาศไปพร้อมกับอีกฝ่าย ไม่ยอมตกอยู่ในมือศัตรูเด็ดขาด หลังจากท่านอาจารย์ได้รู้ถึงความคิดของข้าแล้ว ก็เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง จึงสร้างกระบวนท่า ‘ตราบชั่วฟ้าดิน’ และถ่ายทอดให้ข้า วันนี้เพิ่งใช้มันเป็นครั้งแรก โชคดีที่ผู้อาวุโสยั้งมือไว้ไมตรี”
“ช่างเป็นท่าตราบชั่วฟ้าดินที่ดี!” เซี่ยซุนกล่าวชม แล้วถามอีกว่า “เจ้าอยากจะเรียนทักษะยุทธ์อะไร”
อินปู้คุยได้ยินแล้วกลอกตาล่อกแล่ก ก่อนจะตอบว่า “เรื่องรางวัลผู้น้อยไม่รีบ รอให้สยายเยี่ยท้าสู้ผู้อาวุโสก่อน แล้วค่อยไปรับรางวัลที่ผู้อาวุโสด้วยกัน”
เมื่อเซี่ยซุนได้ยินดังนั้น สายตาก็ไปหยุดอยู่บนตัวเยี่ยเว่ยหมิง “เจ้าหนู เจ้าจะประลองอย่างไร”
ในที่สุดก็ถึงคราวของข้าแล้ว?
เยี่ยเว่ยหมิงก้าวขึ้นมาข้างหน้า เผชิญกับสายตาที่แฝงกลิ่นอายสังหารของเซี่ยซุนพร้อมตอบว่า “ผู้อาวุโสงานยุ่ง ผู้น้อยมิบังอาจทำให้ผู้อาวุโสเสียเวลาเกินไป พวกเราตัดสินแพ้ชนะกันด้วยกระบวนท่าเดียวเป็นอย่างไร”