ตอนที่ 146 อาจารย์ปู่ของเจ้าเคยฝึกเคล็ดกระบี่พิชิตมารหรือ
ดรรชนีศักดิ์สิทธิ์ที่อัปถึงเลเวลห้า ในที่สุดก็มีคุณสมบัติที่อัลติเมทสกิลควรจะมีขึ้นมาบ้างแล้ว
แต่ถ้าอยากให้ทักษะนี้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ก็จะต้องใช้กับอาวุธลับที่มีพลังแข็งแกร่ง
แม้ ‘ดรรชนีศักดิ์สิทธิ์’ จะใช้ดีดจุดเลือดลม ดีดคมอาวุธ ดีดหน้าผากคนได้เหมือนกัน แต่ที่ใช้งานได้ดีที่สุดและบ่อยที่สุดก็ยังเป็นการยิงอาวุธลับ
หากไม่มีอาวุธลับ การใช้งานอันเยี่ยมยอดของวิชานี้ก็จะถูกลดลงเกินครึ่ง!
ตอนโจมตีนกพิราบก่อนหน้านี้ อย่าไปมองว่าหวงเย่าซือไม่ได้เตรียมอาวุธลับที่เฉพาะเจาะจง ราวกับเขาหยิบก้อนหินขึ้นมาใช้งานส่งเดช
แต่นั่นเป็นเพราะหวงเย่าซือเลเวลสูงอยู่แล้ว ค่าสเตตัสแข็งแกร่ง อิงตามข้อมูลที่โหยวจิ้นพร่ำพรรณนาให้ฟังก่อนหน้านี้ หวงเย่าซือเลเวล 180 แล้ว!
สำหรับผู้แข็งแกร่งทางเลเวลนั้น ต่อให้ใช้เศษอิฐเศษหิน ก็ไม่แตกต่างกับการใช้อาวุธลับที่มีค่าสเตตัสดีๆ เท่าไรนัก
แต่เยี่ยเว่ยหมิงกลับทำไม่ได้ สำหรับมือใหม่อย่างเขา ความแข็งแกร่งของพลังต่อสู้และอุปกรณ์ครองสัดส่วนเยอะมาก
แม้จะเห็นว่าท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว แต่เยี่ยเว่ยหมิงก็ยังไม่ได้ออกจากประตูทันที ยังนอนลงบนเตียงเดี่ยวในห้องชุดส่วนตัว
ช่วงนี้เขาสืบคดีขโมยของในพระราชวัง แล้วก็เข้าร่วมการประลองคัดเลือกศิษย์เข้าตระกูลมู่หรง จากนั้นสู้กับเหมียวเหรินเฟิ่ง สังหารเหยียนจี สู้กับชวีหลิงเฟิง ไล่สังหารหัวขโมยวั่งเหยียน สู้กับสาวน้อยชุดแดง หนึ่งดาบสามเฉือนเป็นครั้งที่สอง…
ไม่ง่ายเลยกว่าจะจัดการเรื่องราวมากมายเหล่านี้ให้เรียบร้อย ตอนนี้เขาเพียงอยากจะผ่อนคลายสักหน่อย ไม่อยากฝึกกำลังภายในด้วย อยากจะนอนเอนกายอยู่อย่างนี้ ไม่ว่าจะหลับหรือไม่ แต่เขาก็อยากนอนเป็นปลาเค็มนิ่งๆ อยู่อย่างนี้สักสองสามชั่วโมง
ทว่าบางครั้งเรื่องราวก็มักไม่เป็นไปตามที่ใจหวัง ยิ่งเป็นตอนที่เจ้าไม่อยากขยับตัวไปไหน งานก็มักจะเข้ามาหาถึงที่
ตอนที่เยี่ยเว่ยหมิงหลับตาลง พยายามเสพสุขกับเวลาว่างที่หาได้ยาก กลับมีพิราบขาวตัวหนึ่งทะลุหน้าต่างเข้ามา มันบินมาเกาะบนบ่าเขาแล้วหายไป
หลัวจากเปิดแถบข้อความของระบบด้วยความจนใจ เยี่ยเว่ยหมิงก็ตื่นตัวขึ้นมาทันที
ไม่น่าเชื่อว่าข้อความนี้จะมาจากอินปู้คุยที่ไม่ได้เจอกันมานานแล้ว!
แต่ไหนแต่ไรมา อินปู้คุยก็ช่วยเหลือเขามาไม่น้อยเลย
ทุกครั้งที่เยี่ยเว่ยหมิงพบปัญหาที่ไม่เข้าใจ ก็จะถามข้อมูลข่าวสารจากเขาเสมอ ส่วนอินปู้คุยก็ไม่เคยตระหนี่ข้อมูลของตัวเองเช่นกัน ข้อมูลมือหนึ่งที่มีค่ามากที่สุดจากแฟนพันธุ์แท้ต้นฉบับ แถมถามอะไรไปอีกฝ่ายก็ตอบหมดเหมือนเป็นสิ่งที่ไม่ต้องเสียเงินซื้อ
บอกทุกอย่างแบบหมดเปลือก!
แม้ช่วงหลังจะไม่ค่อยได้ติดต่อกัน แต่ก็ล้วนเป็นเพราะเหตุผลพิเศษที่ควบคุมได้ หากไม่ใช่เพราะเยี่ยเว่ยหมิงกำลังอยู่ในฉากของภารกิจพิเศษ ก็เป็นอินปู้คุยที่กำลังอยู่ในฉากของภารกิจพิเศษ จึงไม่มีทางส่งข่าวหากันได้
ตอนนี้อินปู้คุยเป็นฝ่ายติดต่อมาหาเขาก่อน ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก เยี่ยเว่ยหมิงย่อมต้องให้ความสำคัญอยู่แล้ว
เมื่อเปิดดูข้อความ สิ่งแรกที่ปรากฏสู่สายตาก็คืออิโมติคอนหน้าร้องไห้
[o(╥﹏╥)o สหายเยี่ย ช่วยข้าด้วย!]…อินปู้คุย
เยี่ยเว่ยหมิงเห็นแล้วขมวดคิ้ว ตอบข้อความกลับทันที
[เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่]…เยี่ยเว่ยหมิง
[o(╥﹏╥)o มารดาเจ้าเถอะ ข้าได้รับความอยุติธรรม!]…อินปู้คุย
แน่นอน อินปู้คุยแชทคุยกับเยี่ยเว่ยหมิง เป็นไปไม่ได้ที่จะบ่นโดยไม่มีต้นสายปลายเหตุ หลังจากส่งอิโมติคอนรูปน้ำตาเป็นสายฝนสองภาพแล้ว ก็เล่าเรื่องที่เขาประสบพบเจอในช่วงที่ผ่านมากับเยี่ยเว่ยหมิงอย่างละเอียด
หากจะพูดถึงสถานการณ์โดยละเอียด ก็ต้องเริ่มจากภารกิจช่วยชีวิจอาจารย์แม่ที่เขาได้รับมา
ภารกิจนั้น เดิมทีอินปู้คุยคิดว่าเป็นการทดสอบความอดทน หรือที่เรียกกันว่าฝึกความอดทนนั่นเอง
อย่างไรเสีย ฉากหลัง บทบาทและตัวละครตามต้นฉบับเดิม เมื่อมาอยู่ในเกมนี้ก็ถือเป็นสิ่งที่ประดับไว้เฉยๆ ภารกิจที่ดูเหมือนมีโอกาสตายมากกว่ารอด แต่ที่จริงแล้วไม่มีทางที่จะตั้งค่าให้ยากเกินไป
ขอเพียงเขาหาจี้เสี่ยวฝูสำเร็จ ภารกิจนี้ก็กล่าวได้ว่ามีความมั่นใจว่าจะสำเร็จไปแล้วเก้าส่วน
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ หลังจากสหายปู้คุยของเรามาถึงพรรคจรัส ก็ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องช่วยคนเลย บอกว่ามาส่งจดหมายแทน
การที่เขาทำอย่างนี้ แน่นอนว่าจับจุดได้ว่าบทบาทของหยางเซียวต้องให้เกียรติจี้เสี่ยวฝูพอสมควร
ในต้นฉบับเดิม ความสัมพันธ์ของหยางเซียวกับจี้เสี่ยวฝูกล่าวได้ว่ามีจุดด่างพร้อย หากเป็นชีวิตจริงก็เหมือนลุงหื่นที่ล่อล่วงสาวน้อยไร้เดียงสาคนหนึ่ง ทั้งกระบวนการไม่ได้มีการใช้ความรุนแรงอย่าง ‘การใช้กำลังบังคับ’ หรือ ‘การไม่ฟังความเห็น’ ใดๆ ทั้งนั้น…
ดังนั้นบุตรของพวกเขาจึงชื่อว่าหยางปู้หุ่ย[1] ไม่ใช่จี้จ่านเซียว
และตามต้นฉบับเดิม หยางเซียวก็ปล่อยให้จี้เสี่ยวฝูออกจากพรรคจรัสไป มองออกว่าใจเขายังให้เกียรติจี้เสี่ยวฝูจริงๆ เคารพในทางเลือกของนาง ไม่ใช่การใช้อำนาจบาตรใหญ่เอาเอาใจใส่ฝ่ายหญิงประมาณว่า ‘ข้าจะทำสิ่งที่ข้าคิดเท่านั้น’
ดังนั้น การที่อินปู้คุยมาส่งจดหมายในนามของอินหลีถิง ต่อให้ในใจหยางเซียวจะไม่ปลื้ม แต่ก็ไม่ริดรอนอำนาจของจี้เสี่ยวฝูในการรับจดหมาย
ดังนั้น การพบกันระหว่างอินปู้คุยกับจี้เสี่ยวฝูจึงสำเร็จแล้ว เรื่องราวหลังจากนั้นก็ราบรื่นมากเช่นกัน จี้เสี่ยวฝูบอกว่านางต้องพิจารณาเรื่องราวก่อน อินปู้คุยจึงอยู่ที่พรรคจรัสระยะหนึ่งเสียเลย หยางเซียวเองก็ไม่ได้กลั่นแกล้งอะไรเขา ในระหว่างนั้นนอกจากไม่ได้รับการปฏิบัติเหมือนศิษย์ในพรรค เขาก็ถึงขั้นเข้าออกในพรรคได้อย่างอิสระ ในระหว่างนั้นยังทำภารกิจและอัปเลเวลอะไรทำนองนั้นได้ด้วย
ส่วนขั้นตอนของภารกิจโดยละเอียด จะว่าไปแล้วก็ค่อนข้างชักช้า แต่เขาก็เดินตามบบทละครเดิมได้สำเร็จ ผลักดันภารกิจให้ถึงขั้นต่อไปได้อย่างราบรื่น พาจี้เสี่ยวฝูออกจากพรรคจรัสไปแล้ว
แม้หยางเซียวจะไม่พอใจเรื่องนี้แน่นอน แต่เนื่องจากต้องเคารพบทบาท เขาก็ยังฝืนยินยอมแล้ว
เพียงแต่หลังจากออกจากพรรคจรัสแล้ว จี้เสี่ยวฝูก็ไม่อยากกลับสำนักเอ๋อเหมย หรือไปสำนักอู่ตัง นางเพียงอยากออกไปพเนจรเพียงลำพังเท่านั้น
สำหรับเรื่องนี้ อินปู้คุยแสดงออกว่าเข้าใจ
อย่างไรเสีย ภารกิจของเขาก็แค่ต้องส่งตัวจี้เสี่ยวฝูออกจากพรรคจรัสอย่างปลอดภัยเท่านั้น ขอเพียงทำได้ถึงจุดนี้ เขาก็จะกลับสำนักไปรับรางวัลภารกิจได้แล้ว
ส่วนจี้เสี่ยวฝูจะอยากไปที่ไหน ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขาเลย
ทว่าท้องฟ้าย่อมมีเมฆลมที่มิอาจคาดเดา มนุษย์ย่อมมีทั้งเคราะห์และโชคดี
ตอนที่พวกเขากำลังจะออกจากเขตพรรคจรัส จู่ๆ ก็มีกลุ่มอำนาจภายในพรรคจรัสที่ต่อต้านหยางเซียวโจมตีเข้ามา เตรียมจะจับตัวจี้เสี่ยวฝูเพื่อข่มขู่หยางเซียว
อินปู้คุยแม้จะร่วมมือกับจี้เสี่ยวฝูโจมตีจนคนเหล่านี้แพ้ไปแล้ว แต่ในระหว่างการต่อสู้ จี้เสี่ยวฝูกลับได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย
หลังจากหยางเซียวปรากฏตัว ก็ตำหนิว่าอินปู้คุยปกป้องไม่ได้เรื่อง ไม่ให้โอกาสเขาโต้แย้งและไม่ให้โอกาสจี้เสี่ยวฝูโน้มน้าวเลย พอลงมือก็ปลิดชีพอินปู้คุยทันที
ภารกิจล้มเหลว!
[อิโมติคอน ‘ฉันลำบากมาก’]…อินปู้คุย
ยามเผชิญกับสถานการณ์อย่างนี้ เยี่ยเว่ยหมิงก็ไม่รู้จะพูดอะไรเช่นกัน หยางเซียวแค่ได้ยินว่าเขาคือคนที่อินหลีถิงส่งมา ก็คงอยากเล่นงานเขาตายตั้งนานแล้วแน่ๆ เพียงแต่ขาดข้ออ้างเท่านั้น ดังนั้นศึกสุดท้ายนี้ต่างหากที่เป็นกุญแจสำคัญของทั้งภารกิจ และเป็นกับดักที่สอดคล้องกับบทบาทด้วยเช่นกัน
เขาต้องปกป้องจี้เสี่ยวฝูให้ปลอดภัย ไม่ให้ได้รับบาดเจ็บแม้แต่นิดเดียว หรือไม่อย่างนั้นก็ต้องถูกหยางเซียวโจมตีครั้งเดียวแต่ไม่ตาย ถึงตอนนั้นจี้เสี่ยวฝูย่อมออกหน้าอธิบายให้
แต่สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ อินปู้คุยทำสองสิ่งนี้ไม่ได้เลย
[สหายเยี่ย ตอนนี้มีเพียงเจ้าที่ช่วยข้าได้ หากเจ้ามีเวลา มาที่สำนักอู่ตังสักรอบได้ไหม ช่วยข้าทำภารกิจสักครั้ง ภารกิจช่วยชีวิต!]…อินปู้คุย
อินปู้คุยพูดขนาดนี้ เยี่ยเว่ยหมิงยังจะพูดอะไรได้อีก
สหายต้องช่วยเหลือกัน ก่อนหน้านี้อินปู้คุยช่วยเข้าไว้เยอะขนาดนั้น ตอนนี้อีกฝ่ายลำบาก เขาก็ย่อมไม่อาจนิ่งดูดาย
[นัดสถานที่มา ข้าจะไปหาเดี๋ยวนี้]…เยี่ยเว่ยหมิง
[⊙▽⊙ จริงหรือ เช่นนั้นเจ้าก็นั่งรถม้ามาที่สำนักอู่ตังได้เลย ข้าจะไปรับเจ้าที่จุดพักม้า!]…อินปู้คุย
…
หลังจากคุยกันทางจดหมายจบแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็ออกเดินทางมาที่เขาอู่ตังทันที ตอนที่เพิ่งจะลงรถม้า ก็เห็นอินปู้คุยที่มารอตัวเองอยู่นานแล้ว หลังจากอีกฝ่ายเห็นเยี่ยเว่ยหมิง ก็กล่าวด้วยใบหน้ากลัดกลุ้มทันที “สหายเยี่ย ข้าลำบากสุดๆ!” ขณะที่พูด เขาก็กางแขนสองข้าง ทำท่าจะกอดเยี่ยเว่ยหมิงสักที
หลังจากรีบผลักเจ้าหมอนี่ออก เยี่ยเว่ยหมิงก็กล่าวอย่างจริงจังมากว่า “มีธุระก็พูดมา อย่าทำเรื่องน่าสะอิดสะเอียน”
“ก็ได้” อินปู้คุยเพียงอยากแสดงความเศร้าโศกของตัวเองนิดหน่อยเท่านั้น เมื่อเห็นเยี่ยเว่ยหมิงเป็นอย่างนี้ ก็ทำได้เพียงบอกว่า “หลังจากกลับมาที่ภูเขาแล้ว ท่านอาจารย์กับอาจารย์ปู่ก็มอบหมายสองภารกิจให้ข้า ต้องทำให้ทำสำเร็จหนึ่งภารกิจ ไม่อย่างนั้นจะออกจากภูเขาไม่ได้ และจะไม่มอบภารกิจสำนักอย่างอื่นให้ข้าอีก”
เป็นอย่างที่คาดไว้ นี่ต่างหากที่เป็นประเด็นสำคัญ
“ภารกิจอะไร” เยี่ยเว่ยหมิงถามไปอย่างนั้น
“ภารกิจแรกคือคัดลอกหนังสือ ท่านอาจารย์ลงโทษให้ข้าคัด ‘คัมภีร์เต้าเต๋อจิง’ หนึ่งร้อยรอบ หนึ่งร้อยรอบเชียวนะ!”
“แล้วอีกภารกิจหนึ่งล่ะ”
“ของล้ำค่าของอาจารย์ปู่หายไปแล้ว ให้ข้าไปตามหากลับมาให้เขา”
เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วตะลึงทันที “อาจารย์ปู่ของเจ้าเคยฝึก ‘เคล็ดกระบี่พิชิตมาร’ หรือ”
[1] ปู้หุ่ย 不悔 แปลว่าไม่สำนึกเสียใจ