ตอนที่ 168 เจ้าชายขี่ม้าขาวปรากฏตัวแล้ว!
[ติ๊ง! ยินดีด้วย คุณได้รับตำแหน่งชนะเลิศของสังเวียน ‘ประลองยุทธ์เลือกคู่’ ได้รับรางวัล
ค่าประสบการณ์: 100000 แต้ม
ค่าตบะ: 20000 แต้ม
เงิน: 200 เหรียญทอง
ชื่อเสียงยุทธภพ: 500 แต้ม]
[ติ๊ง! เลเวลของคุณเพิ่มแล้ว ตอนนี้เลเวลของคุณคือ 21]
เยี่ยเว่ยหมิงดูหน้าค่าสเตตัสตัวละคร ค่าสเตตัสหลังจากเปลี่ยนจากเลเวลยี่สิบเป็นเลเวลยี่สิบเอ็ดคือ ค่าสเตตัสโดยรวมเพิ่มขึ้นห้าแต้ม ค่าพลังชีวิตกับกำลังภายในสูงสุดเพิ่มขึ้นอย่างละหนึ่งร้อยแต้ม
ค่าสติปัญญากับค่าตระหนักรู้ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
ดูท่าแล้ว หากคิดจะอาศัยการอัปเลเวลมาเพิ่มค่าสเตตัสพื้นฐานสองรายการนี้ เกรงว่าคงไม่ได้ง่ายขนาดนั้น เหมือนว่ามีแต่ต้องรอให้เลเวลเพิ่มถึงยี่สิบก่อน แล้วหลังจากนั้นค่าสเตตัสพื้นฐานสองรายการนี้จะเพิ่มขึ้นทุกๆ สิบเลเวล หรือยี่สิบเลเวลก็อาจเป็นไปได้
พอนึกถึงตรงนี้แล้วไม่ได้คำตอบ เยี่ยเว่ยหมิงกลับไม่ได้คิดวนเวียนอยู่กับสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นมากนัก
เมื่อเลเวลถึงแล้ว ก็ย่อมรู้เอง เมื่อเลเวลยังไม่ถึง รู้ไปก็ไม่มีประโยชน์
มองโดยภาพรวม รางวัลของการประลองยุทธ์สังเวียนนี้ก็นับว่าเหมาะสมตามกติกา ค่าประสบการณ์ ค่าตบะ เงินที่ให้ล้วนเหมาะสม ถึงขั้นว่ามีชื่อเสียงยุทธภพอีกห้าร้อยแต้มด้วย
แต่กลับไม่เห็นสิ่งที่ทำให้ดีใจเหนือความคาดหมายเลยสักนิด
สิ่งเดียวที่ยังนับว่าพิเศษขึ้นมาหน่อย ก็คือหลังจากเขา ‘โจมตีชนะ’ หนึ่งดาบสามเฉือนแล้ว ก็ไม่ได้ถูกส่งลงไปด้านล่างสังเวียนเหมือนคนอื่น แต่ถูกส่งกลับมานั่งตำแหน่งผู้ชมการต่อสู้ที่อยู่ชิดกำแพงอีกครั้ง
ตอนนี้เก้าอี้ที่เคยมีแปดตัวเหลือหนึ่งตัวแล้ว ส่วนแผ่นป้ายที่อยู่เหนือศีรษะเขาก็เปลี่ยนจากคำว่า ‘สอง’ กลายเป็นคำว่า ‘ชนะเลิศ’
เห็นแล้วผ่อนคลายขึ้นเยอะ!
……
เมื่อเทียบกับเยี่ยเว่ยหมิงที่อิสระผ่อนคลาย ตอนนี้หนึ่งดาบสามเฉือนที่อยู่ด้านล่างสังเวียนอารมณ์ไม่สดชื่นนัก โดยเฉพาะเมื่อเห็นเยี่ยเว่ยหมิงนั่งไขว่ห้างอยู่บนตำแหน่งของผู้ชนะเลิศ นางก็ยิ่งแค้นจนกัดฟันกรอด
แม้จะเป็นตอนนี้ นางก็ยังไม่แน่ใจว่าตัวเองตายได้อย่างไรกันแน่ แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่นางไม่สงสัยเลย นางถูกมือปราบหน้าเหม็น มือปราบน่าตาย มือปราบผุพังที่ชื่อเยี่ยเว่ยหมิงนั่นวางกับดักจนตายแน่นอน!
วางกับดักจนนางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองตายได้อย่างไร!
ขณะที่กำลังสงสัย ข้างหูหนึ่งดาบสามเฉือนกลับมีเสียงเยาะเย้ยจากคนที่มีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นดังขึ้น “นี่! เจ้าคือหนึ่งดาบสามเฉือนผู้ไร้เทียมทาน อันดับหนึ่งในการประลองรอบคัดเลือกไม่ใช่หรอกหรือ ทำไมในรอบศึกตัดสินถึงถูกเล่นงานตายเสียได้ล่ะ”
พอหันไปมอง ก็พบว่าเป็นคนขี้เผือกที่กลัวว่าเรื่องราวจะไม่ใหญ่โต แต่ที่หนึ่งดาบสามเฉือนจำไม่ได้ก็คือ คนจอมแส่คนนี้เป็นหนึ่งในคู่ต่อสู้ที่นางเคยกำจัดออกในการต่อสู้โหมดแรงค์
อาจเป็นเพราะแค้นที่ก่อนหน้านี้ถูกปลิดชีพ คนจอมแส่คนนี้จึงตัดสินใจว่าจะไม่ใจกว้างอีก เขาต้องการใช้คำพูดที่อำมหิตที่สุดมาเหน็บแนมผู้แพ้น่าสงสารที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ ต่อให้นางจะเป็นสาวงามที่สดใสน่ารักก็ตาม!
ประจวบเหมาะพอดี ตอนที่คนขี้เผือก D เพิ่งพูดจบ คนขี้เผือกอีกคนที่อยู่ไม่ไกลจากเขาก็พูดต่อ “ก่อนหน้านี้เหมือนนางจะกระซิบกระซาบกับเยี่ยเว่ยหมิงด้วย คิดจะทำข้อตกลงที่มีเงื่อนงำกัน เพียงแต่น่าเสียดาย ทำข้อตกลงไม่สำเร็จ กลับโดนหลอก เฮ้อ…เสียแรงที่ก่อนหน้านี้ข้านึกว่าเป็นคู่จิ้นชุดน้ำเงินแดง นึกไม่ถึงว่าพวกเจ้าจะปลอมกันขนาดนี้”
คำพูดพวกนี้เดิมทีก็ไม่เป็นมิตรอะไร พอดังเข้ามาในหูของหนึ่งดาบสามเฉือนที่เพิ่งเสียเปรียบมาอย่างหนัก ก็ย่อมรู้สึกเสียดแทงหูคนฟังอยู่แล้ว
หนึ่งดาบสามเฉือนเป็นใครกัน
นางเป็นหอก…แค่กๆๆ แม้นางจะไม่ใช่ชายชาตรี แต่ ‘หากลงมือได้ก็จะพยายามไม่พูดมาก’ เห็นได้ชัดว่าในจุดนี้นางทำได้ดีกว่าผู้ชาย 99% เสียอีก
เมื่อได้ยินเสียงซุบซิบนินทาที่ดังอยู่ข้างกาย นางก็เพียงขมวดคิ้วเล็กน้อยเท่านั้น
แล้ววินาทีถัดมา…
ชวิ้ง!
ดาบวิเศษออกจากฝัก!
ฉับ! ฉับ! ฉับ!…
พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ!…
ชายปากสุนัขสองคนกลายเป็นแสงสีขาวหายไปจากตรงนั้น ไปรายงานตัวที่จุดฟื้นชีพแล้ว
หลังจากกำจัดสองคนที่เจตนาจะใช้คำพูดทำร้ายจิตใจแล้ว หนึ่งดาบสามเฉือนก็ยิ้มอย่างอ่อนหวานให้กลุ่มคนที่อยู่รอบๆ พร้อมบอกว่า “ที่จริงข้าไม่ได้สนใจเลยว่าใครจะวิจารณ์ข้าอย่างไร เพียงแต่อย่าให้ข้าได้ยินก็แล้วกัน ไม่อย่างนั้นก็จะโดนแบบเจ้าสองคนนั้น ค่าประสบการณ์กับค่าประสบการณ์ทักษะยุทธ์ที่สะสมมาด้วยความยากลำบาก หากถูกข้าฟันหายไปเกินครึ่งก็จะไม่คุ้มเลย ถูกไหมล่ะ”
หนึ่งดาบสามเฉือนขยิบตาให้ ยังคงรอยยิ้มอันงดงามไว้เช่นเดิม “พวกเจ้าคิดว่าที่ข้าพูดมีเหตุผลหรือเปล่า”
เมื่อเห็นน้องสาวคนนี้พูดไปยิ้มไปทั้งยังยังฆ่าคนไปพร้อมกันได้อีก กลุ่มคนขี้เผือกก็พากันห่อเหี่ยวแล้ว
การยุ่งเรื่องชาวบ้านและการไม่กลัวเรื่องราวลุกลามใหญ่โต ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าไม่ต้องจ่ายอะไรในระหว่างนั้น หากมีราคาต้องจ่าย ที่จริงแล้วมีคนมากมายเลือกที่จะฉลาดเอาตัวรอดดีกว่า
“เชอะ!” แม้จะเป็นในเวลาแบบนี้ แต่ก็ยังมีคนไม่กลัวตาย ศิษย์สำนักหัวซานคนหนึ่งที่ถูกหนึ่งดาบสามเฉือนโจมตีตกรอบ เมื่อเห็นนางมีท่าทางเผด็จการ ก็อดพูดจาสองแง่สองง่ามไม่ได้ “มาโอ้อวดบารมีกับพวกเรานับว่าเก่งอะไร ถ้าเก่งนักเจ้าก็ไปหาเยี่ย…”
ชวิ้ง! ดาบวิเศษออกจากฝัก
ฉับ! แสงสะท้อนคมดาบวับวาบ
พรึ่บ! ดาบเดียวปลิดชีพ
ชวิ้ง! เก็บดาบเข้าฝัก
นางกำจัดคนที่มีเจตนาทำให้ตนรังเกียจอีกครั้งภายในอึดใจเดียว ก่อนจะยิ้มอย่างสุขุมสงบนิ่ง “พี่ชายคนแรกที่อยากสัมผัสประสบการณ์กลับเข้าเมืองโดยไม่เสียเงิน ข้าเติมเต็มความปรารถนาให้เขาแล้ว”
ขณะที่พูด สายตานางก็กวาดมองบนใบหน้าคนขี้เผือกรอบๆ ที่กำลังมีสีหน้าไม่พอใจ แล้วกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำขณะที่ยังยิ้มอยู่ว่า “ยัง มี ใคร อีก”
พรึ่บ!
ทุกคนหันหน้าไปมองทางสังเวียนอย่างพร้อมเพรียงกัน รับชมการต่อสู้บนสังเวียนอย่างมีสมาธิแน่วแน่ หนึ่งในนั้นไหวพริบค่อนข้างดี ถึงขั้นเริ่มส่งเสียงเชียร์แล้วด้วย
มาดูเอาสนุกไม่เป็นอะไร มายุ่งเรื่องชาวบ้านก็ไม่เป็นอะไร ฉวยโอกาสโจมตีล้างแค้นผู้อื่นถือเป็นอารมณ์ปกติของมนุษย์ แขวะคนอื่นเพื่อแก้อาการเบื่อเซ็งของตัวเองก็รู้สึกดีเหมือนกัน
แต่หากต้องจ่ายราคาของพฤติกรรมที่กล่าวมาข้างต้น ก็มีไม่กี่คนที่เต็มใจจะรับความเสียหายที่เกิดขึ้นจากความปากมากนี้
พูดจากใจว่านี่ไม่ใช่การยุยง
แต่ไม่คุ้มที่จะทำอย่างนั้นเลย!
เมื่อจัดการกับกลุ่มคนขี้เผือกที่คิดจะฉวยโอกาสข่มนางแล้ว หนึ่งดาบสามเฉือนก็หันกลับไปมองบนสังเวียน รอยยิ้มบนใบหน้าเปลี่ยนเป็นสดใสยิ่งขึ้น
ที่แท้แล้ว ท่ามกลางเสียงตะโกนเชียร์อันคึกครื้นของกลุ่มคนขี้เผือก บนสังเวียนกลับว่างเปล่าไร้ผู้คน หนำซ้ำยังไม่มีการต่อสู้อันยอดเยี่ยมอะไรด้วย…
นี่คืออะไร
นี่ก็คือพลังสยบ!
แน่นอน บรรดาคนที่ตะโกนเชียร์พวกนั้นย่อมไม่ได้เบิกบานใจไปกว่าหนึ่งดาบสามเฉือนอยู่แล้ว แต่พวกเขากลับตะโกนไม่หยุด ไม่ใช่เพราะหนึ่งดาบสามเฉือน แต่เป็นเพราะบนสังเวียนว่างเปล่าที่อยู่ตรงหน้าพวกเขานี้ ในที่สุดก็มีคนขึ้นมาแล้ว!
แม้ผู้ที่กระโดดขึ้นสังเวียนไปจะเป็น NPC หลวงจีนรูปหนึ่งที่ดูไม่เหมาะสมกับคำว่า ‘ประลองยุทธ์เลือกคู่’ แต่เพื่อเน้นย้ำความถูกต้องของเสียงตะโกนให้กำลังใจก่อนหน้านี้ พวกเขาก็ยังส่งเสียตะโกนให้กำลังใจหลวงจีนรูปนี้อย่างจอมปลอมมาก
“ไต้ซือสู้ๆ!”
“ไต้ซือสง่าผ่าเผย!”
“ไต้ซือ ท่านไม่มีวันล้มแน่นอน!”
“…เดี๋ยวก่อนนะ ทำไมไต้ซือรูปนี้หน้าคุ้นๆ”
จะไม่ลุ้นได้อย่างไรล่ะ
อย่างไรเสีย บรรดาคนขี้เผือกที่อยู่ตรงนี้ ก่อนหน้านี้ก็มาเข้าร่วมการประลองยุทธ์เลือกคู่สังเวียนนี้ด้วยความคิดที่ว่าไม่มีอะไรเสียหาย เพียงแต่ตอนหลังถูกคัดออกก็เท่านั้นเอง
และตราบใดที่เป็นผู้เล่นที่เคยเข้าร่วมการประลองนี้มาก่อน ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้จักพระรูปนี้
เพราะพระรูปนี้ก็คือผู้ท้าชิงคนแรกที่ผู้เล่นทุกคนต้องเจอในการประลองรอบคัดเลือก พระศีลแตกที่ยังไม่สมปรารถนา!
จากนั้น คนจอมแส่พวกนี้ก็อ้าปากค้างแล้ว
การส่งเสียเชียร์คนที่เคยแพ้ให้ตัวเองมาก่อน ช่างเป็นเรื่องที่น่ากระอักกระอ่วนจริงๆ
หลังจากนั้น ชายชราหน้าหนวดรูปร่างอ้วนที่ปรากฏตัวในการประลองรอบคัดเลือกยกที่สองก็กระโดดขึ้นมาบนสังเวียนแล้วเช่นกัน
ชายสองคนที่มีรูปลักษณ์ประหลาดกำลังหัวเราะเยาะกันและกัน หลังจากพูดจาเหน็บแนมว่า ‘เจ้าเป็นพระ เจ้าเป็นขยะที่ตายไว’ อะไรทำนองนั้นแล้ว ในที่สุดทั้งสองก็เปลี่ยนจากใช้เหตุผลคุยกันมาเป็นใช้มือคุยกัน เริ่มต่อสู้กันบนสังเวียนแล้ว
สำหรับคนจอมแส่เหล่านี้ที่เพิ่งชมการต่อสู้อันยอดเยี่ยมในการแข่งรอบน็อกเอาต์ จู่ๆ ก็รู้สึกว่าการได้ดูไก่อ่อนจิกกันก็เหมือนจะได้อารมณ์ไปอีกแบบ
เหมือนความรู้สึกแบบนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน
แม้พวกเขาจะถูกคัดออกแล้ว แต่ลองดูสิ ยังมีพวกขยะที่ฝีมืออ่อนด้อยกว่าพวกเขาอยู่อีกไม่ใช่หรือ
พวกเขายังมีชีวิตอยู่ได้อย่างสุขสันต์หรรษาเลย พวกเราเล่นให้ครึกครื้นรื่นเริงสักหน่อยก็เหมือนจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ใช่ไหมล่ะ
ตอนที่ทุกคนกำลังคิดว่า คนที่รูปลักษณ์เหนือขีดจำกัดจินตนาการของมนุษย์ทั้งสิบคนในประลองรอบคัดเลือกจะผลัดกันขึ้นสังเวียน ทันใดนั้นก็มีเงาร่างอันหล่อเหลาสง่างามทะยานขึ้นมาท่ามกลางฝูงชน
คนผู้นี้แต่งกายด้วยเสื้อผ้าหรูหรา หน้าตาหล่อเหล่าเหนือคนธรรมดา อายุก็น่าจะราวๆ สิบเจ็ดสิบแปดปี
พอคนผู้นี้ขึ้นมาบนสังเวียน ก็ให้ความรู้สึกว่าเป็นเหมือนมังกรหงส์ในฝูงชน
ชั่วขณะนั้น ในหัวของผู้เล่นทุกคนเกิดความคิดบางอย่างพร้อมกัน
ในที่สุดเจ้าชายขี่ม้าขาวก็ขึ้นสังเวียนแล้ว!