ตอนที่ 292 กระบองไผ่เขียวกลับคืนสู่เจ้าของ!
“จอมยุทธ์น้อยเยี่ยไม่ทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ ด้วย ไม่เพียงแค่ทักษะโดดเด่นเหนือผู้อื่น ได้รับรางวัลชนะเลิศการประลองยุทธ์เจ็ดสังกัดครั้งนี้ ทั้งยังมองทะลุแผนการใช้ตัวตายตัวแทนของหลี่เปียว ล้างแค้นที่ฝังลึกให้พี่ห้าของข้าอีก ตามที่บอกไว้ก่อนหน้านี้ ข้านำกระบองไผ่เขียวเล่มนี้มาเป็นรางวัลภารกิจ มอบให้จอมยุทธ์น้อยเยี่ยแล้ว”
เมื่อรับกระบองไผ่เขียวมาจากมือหันเสี่ยวอิ๋ง รอยยิ้มบนใบหน้าเยี่ยเว่ยหมิงก็สดใสขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
ตอนนี้เอง เขากลับได้ยินหันเสี่ยวอิ๋งพูดต่อว่า “จอมยุทธ์น้อยเยี่ย มูลค่าของกระบองไผ่เขียวเล่มนี้ไม่ธรรมดา เดิมทีสิ่งนี้ไม่ใช่รางวัลที่ได้จากภารกิจประลองยุทธ์เจ็ดสังกัด เพียงแต่ข้าหาของที่นำมาช่วยจอมยุทธ์น้อยเยี่ยไม่ได้แล้วจริงๆ ถึงได้นำกระบองแท่งนี้มาทำเป็นของรางวัล…
…เพียงแต่หลังจากเจ้าได้มันไปแล้ว คะแนนสะสมทั้งหมดของภารกิจจะกลายเป็นศูนย์ หรือกล่าวได้อีกอย่างว่า ท่านไม่มีทางนำคะแนนสะสมไปแลกเป็นค่าตบะหรือรางวัลอย่างอื่นได้อีกแล้ว”
พูดให้ชัดก็คือ กระบองไผ่เขียวเล่มนี้มีมูลค่าไม่ธรรมดา ต้องนำคะแนนสะสมของตัวเองในระหว่างทำภารกิจมาบวกกับรางวัลชนะเลิศทั้งหมด ถึงจะพอมีสิทธิ์รับอุปกรณ์ได้
เพียงแต่พอยิ่งเป็นแบบนี้ ก็ยิ่งอธิบายได้ว่ากระบองไผ่เขียวแท่งนี้มีมูลค่าสูงมาก!
สำหรับคำพูดของหันเสี่ยวอิ๋ง เยี่ยเว่ยหมิงกล่าวอย่างสมเหตุสมผลมากว่า “ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณจอมยุทธ์หญิงหันมากที่มอบของขวัญล้ำค่าให้”
หันเสี่ยวอิ๋งพยักหน้าอย่างปลื้มใจแล้วพูดต่อว่า “ในการประลองยุทธ์เจ็ดสังกัด จอมยุทธ์น้อยเยี่ยไม่เพียงแค่ได้รางวัลชนะเลิศสังกัดกระบี่วีรสตรี ทั้งยังได้รางวัลชนะเลิศเจ็ดสังกัดด้วย สิทธิ์ในการประลองยุทธ์หอหมอกพิรุณก็ไม่ต้องพูดถึง เจ้ามีส่วนร่วมด้วยแน่นอน หวังว่าเมื่อถึงตอนนั้น จอมยุทธ์น้อยเยี่ยจะไปถึงจยาซิ่งเพื่อเข้าร่วมประลองยุทธ์ให้ทันเวลา หากไปไม่ทันจะถูกมองว่าไร้สัจจะ ถูกหักค่าวีบุรุษห้าร้อยแต้ม”
พูดสิ่งที่ไม่น่าฟังไว้ตั้งแต่แรก แสดงว่าหันเสี่ยวอิ๋งก็นับว่านิสัยไม่เลวเลย หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะหลังจากได้รับกระบองไผ่เขียวแล้ว ไม่ว่าหันเสี่ยวอิ๋งจะพูดอะไรก็รื่นหูเขาไปหมด
ดังนั้น สำหรับคำขอกึ่งบังคับให้เข้าร่วมประลองยุทธ์หอหมอกพิรุณ เยี่ยเว่ยหมิงก็แสดงออกว่าเข้าใจเช่นกัน จากนั้นจึงถามว่า “ไม่ทราบว่าการประลองใหญ่หอหมอกพิรุณจัดวันไหนหรือ”
“หากจะพูดถึงว่าวันไหน ที่จริงก็ไม่มีความหมายใดๆ” หันเสี่ยวอิ๋งอธิบายอย่างอดทน “ที่จริงหากถามว่าการประลองยุทธ์หอหมอกพิรุณจะเริ่มขึ้นเมื่อไร ก็ยังต้องดูว่าผู้เล่นอย่างพวกเจ้าจะทำภารกิจเนื้อเรื่องย่อยเสร็จเมื่อไร เพียงแต่ก่อนการประลองใหญ่ ข้าจะส่งพิราบสื่อสารแจ้งให้จอมยุทธ์น้อยเยี่ยรู้ล่วงหน้าสามวัน”
หรือกล่าวได้อีกอย่างว่ามีขั้นตอนเหมือนการประลองยุทธ์เจ็ดสังกัด
เยี่ยเว่ยหมิงพยักหน้าแล้วกล่าวอำลาหันเสี่ยวอิ๋ง จากนั้นหันตัวเดินออกจากโรงเตี๊ยมเย่ว์ไหล
ตอนที่เพิ่งออกจากลานโรงเตี๊ยม เยี่ยเว่ยหมิงก็อดใจไม่ไหว นำกระบองไผ่เขียวออกมาทดลองกรอกกำลังภายในใส่เข้าไป
เปิดใช้งาน!
[ติ๊ง! ‘เคล็ดกระบี่วีรสตรี’ ของคุณเพิ่มถึงเลเวลสิบอย่างแท้จริง เติมเต็มเงื่อนไขการเปิดใช้งานแล้ว]
หมายเหตุ: หลังจากเปิดใช้งานสถานะที่ซ่อนอยู่ของ ‘กระบองไม้ไผ่เขียว’ คุณจะเข้าสู่การทดสอบในความฝัน โดยเมื่ออยู่ในการทดสอบ จิตของคุณจะหลุดออกจากร่าง กรุณาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยเพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นนี้]
[ยืนยันอีกครั้ง จะเกิดใช้งานตอนนี้หรือไม่]
[ใช่/ปฏิเสธ]
ก็ต้องปฏิเสธอยู่แล้ว!
แม้ที่นี่จะไม่ใช่ป่านอกเมือง แต่ก็ไม่นับว่าเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับเขาแน่นอน การปล่อยให้วิญญาณออกนอกร่างกายตอนอยู่บนถนนใหญ่ ก็เหมือนไม่ต่างอะไรกับการรนหาที่ตาย
ค่าประสบการณ์สิบเปอร์เซ็นต์ของเลเวลปัจจุบันกับค่าประสบการณ์สิบเปอร์เซ็นต์ของทักษะยุทธ์สุ่มลดลง นั่นไม่ใช่เรื่องเล่นๆ!
เดี๋ยวก่อนนะ!
เมื่อเห็นใครบางคนกำลังเดินมาตรงหน้าตัวเอง เยี่ยเว่ยหมิงก็รู้สึกโชคดีอีกครั้งที่ตัวเองไม่ได้บุ่มบ่ามเปิดใช้งานความลับของกระบองไม้ไผ่เขียวที่นี่ ถ้าตนเปิดเผยร่างกายของตัวเองต่อหน้าเจ้าหมอนี่โดยไม่ได้ป้องกัน เช่นนั้นความสูญเสียของเขาคงไม่ใช่แค่ค่าประสบการณ์เลเวลกับค่าประสบการณ์ทักษะยุทธ์สิบเปอร์เซ็นต์แน่นอน
ส่วนจะสูญเสียมากขนาดไหนกันแน่ แค่คิดก็ตัวสั่นแล้ว
เยี่ยเว่ยหมิงเก็บกระบองไผ่เขียว มองอีกฝ่ายอย่างระแวดระวังพร้อมขมวดคิ้วถาม “วั่งเหยียน! ไม่น่าเชื่อว่าเจ้ายังกล้ามาลอยหน้าลอยตาอยู่ตรงหน้าข้า ไม่กลัวข้าส่งเจ้ากลับเมืองโดยไม่เสียเงินหรอกหรือ”
“อย่าโหดเหี้ยมขนาดนั้นสิ เรื่องครั้งก่อนข้ายอมรับว่าข้าเป็นฝ่ายทำผิดก่อน แต่สุดท้ายข้าก็ขาดทุนไปตั้งเยอะไม่ใช่หรือ” วั่งเหยียนกล่าวด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกผิด “มิหนำซ้ำ ตอนนี้เรื่องก็ผ่านไปแล้ว เราสองคนถือว่าอยู่ในความสัมพันธ์แบบร่วมมือกัน ตอนนี้ถ้าเจ้าทำให้ข้าเสียค่าประสบการณ์เลเวลกับค่าประสบการณ์ทักษะยุทธ์ก็มีแต่ผลเสียกับเจ้าทั้งนั้น ข้าคิดกว่าพวกเราควรร่วมมือกันให้มากๆ สิถึงจะถูก”
“สัมพันธ์แบบร่วมมือกัน?”
เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วงง “เจ้าหมายถึงการประลองยุทธ์เจ็ดสังกัด?”
“ถ้าจะเรียกให้ถูก ควรจะเป็นประลองยุทธ์หอหมอกพิรุณ…”
“…รักษาระยะปลอดภัยกับข้าหนึ่งเมตรขึ้นไป ไม่อย่างนั้นข้าก็รับประกันไม่ได้ว่าจะไม่ลงมือฆ่าคน”
“ก็ได้!” ถึงอย่างไรวั่งเหยียนก็เคยทำผิดมาก่อน เขารู้ถึงความสามารถน่ากลัวน่ากลัวของเยี่ยเว่ยหมิงดี จึงหยุดความคิดที่จะก้าวขึ้นมาโอบไหล่ตีสนิทเยี่ยเว่ยหมิง เขาหยุดฝีเท้าแล้วบอกว่า “ชื่อของสหายเยี่ยอยู่อันดับหนึ่งของคะแนนสะสม บางทีอาจไม่ทันสังเกตความเปลี่ยนแปลงของคะแนนสะสมตอนหลัง ความจริงน้องชายไร้พรสวรรค์ แต่ยังโชคดีที่ได้สิทธิ์เข้าร่วมประลองยุทธ์หอหมอกพิรุณสังกัด ‘บัณฑิตมือวิเศษ’ ในการประลองใหญ่หลังจากนี้ ยังต้องพึ่งพาความสามารถและอุบายของสหายเยี่ยอีกมาก”
บัณฑิตมือวิเศษ จูชง?
ในที่สุดเยี่ยเว่ยหมิงก็รู้แล้วว่าเจ้าหมอนี่เรียนทักษะการขโมยมาจากที่ไหน
แต่ในเมื่ออีกฝ่ายกลายเป็นเพื่อนร่วมทีมในการประลองยุทธ์หอหมอกพิรุณแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็ไม่สะดวกจะทำให้อีกฝ่ายตาย ไม่อย่างนั้นจะเป็นการทำลายกำลังรบฝ่ายตัวเอง
และสำหรับคำเชิญของเจ้าหมอนี่ เยี่ยเว่ยหมิงก็ไม่ได้ตอบรับทันทีเช่นกัน “ยังอีกนานกว่าจะถึงวันงานประลองยุทธ์หอหมอกพิรุณ มาพูดเรื่องร่วมงานกันตอนนี้ถือว่าเร็วไปหน่อย ถึงตอนนั้นแล้วค่อยว่ากัน”
อีกฝ่ายได้ยินแล้วพยักหน้าอมยิ้ม
ที่จริงแล้ว วั่งเหยียนก็แค่มาทักทายเยี่ยเว่ยหมิงล่วงหน้าเท่านั้น กำจัดเจตนาอันเป็นศัตรูของเขาสักหน่อย เพื่อให้ในภายหลังร่วมงานกันได้สะดวกก็เท่านั้นเอง
พอบอกลาวั่งเหยียน เยี่ยเว่ยหมิงก็หันตัวเดินไปทางโรงเตี๊ยมเย่ว์ไหลทันที ตอนนี้เขาอดทนรอไม่ไหวแล้ว อยากจะรู้ว่าในกระบองไผ่เขียวซ่อนความลับอะไรเอาไว้กันแน่
ส่วนปัญหาด้านความปลอดภัย ขอเพียงเช่าห้องสักห้องบนโรงเตี๊ยมก็จะแก้ไขปัญหานี้ได้แล้ว
บางทีอาจเป็นเพราะเรื่องดีมักเต็มไปด้วยอุปสรรค เขายังเดินได้ไม่กี่ก้าว แผนการเดิมก็ต้องหยุดชะงักเพราะจู่ๆ ก็มีพิราบสื่อสารตัวหนึ่งบินมา
[อาหมิง หลังจากเข้าไปตรวจสอบเยี่ยมเยียนมาหลายวัน ในที่สุดก็บรรลุข้อตกลงการร่วมงานกับร้านประมูลวั่นซานที่เมืองหังโจว อีกฝ่ายยินดีประชาสัมพันธ์ให้การประมูลขาย ‘ประกาศิตสร้างพรรค’ เต็มที่ แต่เถ้าแก่ร้านประมูลร้านนี้ต้องการพบหน้าเจ้าสักครั้ง
เขาบอกว่า โอกาสทางธุรกิจเป็นสิ่งล้ำค่า ยิ่งพบกันเร็วเท่าไรก็ยิ่งดี!]…ซานเย่ว์
ในที่สุดการประมูลขายประกาศิตสร้างพรรคก็ได้บทสรุปแล้วหรือ
หลังจากเห็นข้อความ เยี่ยเว่ยหมิงก็ฮึกเหิมทันที ล้มเลิกความคิดที่จะทดสอบความลับของกระบองไผ่เขียวไปก่อน
ลางสังหรณ์บอกเขาว่าความลับของกระบองไผ่เขียวแท่งนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน ต้องอยู่ในสภาวะที่จิตใจไม่วอกแวกถึงจะรับผลประโยชน์สูงสุดได้ และเรื่องการประมูลขายประกาศิตสร้างพรรคที่ค้างคามาตลอดก็มีความคืบหน้าสำคัญ เป็นเรื่องยากจริงๆ ที่จะให้เขาละเลย
เขาตอบข้อความซานเย่ว์ทันที บอกว่าตัวเองจะไปหาเดี๋ยวนี้ แล้วก็เลี้ยวไปทางจุดพักม้า
เงียบงันตลอดการเดินทาง ใช้เวลาไม่นานนัก เยี่ยเว่ยหมิงก็เจอเถ้าแก่ของร้านร้านประมูลร้านนี้แล้ว
เศรษฐีอันดับหนึ่งแห่งเจียงหนาน…เสิ่นวั่นซาน!
เสิ่นวั่นซาน ฉายาเศรษฐีอันดับหนึ่งแห่งเจียงหนาน มองจากภายนอกกลับเหมือนอาจารย์สอนหนังสือธรรมดาคนหนึ่ง รูปร่างค่อนข้างผอม บนร่างกายสวมใส่ชุดสามัญชนธรรมดา ตั้งแต่หัวจดเท้าหาของหรูหราไม่เจอสักชิ้น
ถ้าไม่ใช่เพราะเจออีกฝ่ายที่โถงหลักของร้านประมูลวั่นซาน ไม่ว่าใครก็นึกเชื่อมโยงได้ยากว่าชายที่ดูธรรมดาสามัญตรงหน้านี้มีฉายาว่าเศรษฐีอันดับหนึ่งแห่งเจียงหนาน
“ใต้เท้าเยี่ยเป็นผู้ที่มีทัศนคติต่อเวลาดีมากอย่างที่คาดไว้ จุดนี้คล้ายคลึงกับข้าพอสมควร เสิ่นวั่นซานนับถือ” หลังจากกล่าวตามมารยาท เสิ่นวั่นซานที่นั่งอยู่ตรงตำแหน่งหลักฝั่งตรงข้ามก็ผายมือเชิญทั้งสอง “สิ่งที่วางอยู่บนโต๊ะชาข้างๆ ทั้งสองท่านคือชาเขียวเหมาเจียน เป็นชาคุณภาพสูงสุดของฤดูใบไม้ผลิปีนี้ มีเพียงตอนต้อนรับแขกคนสำคัญเท่านั้น ผู้แซ่เสิ่นถึงจะตัดใจนำมันออกมาดื่มสักครั้ง ใต้เท้าทั้งสองรีบชิมตอนยังร้อนๆ เถอะ เย็นแล้วจะไม่อร่อยขอรับ”
เมื่อได้ยินดังนั้น เยี่ยเว่ยหมิงก็ยกถ้วยน้ำชาที่อยู่ข้างกายตัวเองขึ้นมา แต่พอเห็นน้ำชาแล้วกลับใจสั่น
[ชาเขียวเหมาเจียน: คุณภาพ 97 ภายในหนึ่งชั่วโมงเพิ่มความว่องไว 291 แต้ม!]
สมกับเป็นสินค้าคุณภาพสูงสุด หากเยี่ยเว่ยหมิงได้ไป จะต้องนำมาใช้ในการต่อสู้ครั้งสำคัญแน่นอน เพียงแต่ตอนนี้ เพื่อไม่ให้เสียหน้า เขากับซานเย่ว์ก็ยังยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบเบาๆ คำหนึ่งเท่านั้น
เมื่อน้ำชาหอมเข้าปาก กลิ่นหอมสดชื่นก็แทรกซึมทั่วทั้งหัวใจในชั่วพริบตาเดียว ทำให้เยี่ยเว่ยหมิงรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นไม่น้อย
“ชาดี!” เขาอดกล่าวชมไม่ได้
เสิ่นวั่นซานยิ้มบางๆ แล้วเปลี่ยนประเด็นสนทนาทันที “ในเมื่อใต้เท้าเยี่ยมีทัศนคติเรื่องเวลาเหมือนข้า เช่นนั้นข้าจะไม่อ้อมค้อมแล้ว เรามาคุยถึงปัญหาเรื่องการประมูลขาย ‘ประกาศิตสร้างพรรค’ ที่อยู่ในมือใต้เท้าเยี่ยกันเถอะ”
เสิ่นวั่นซานชะงักไปครู่เดียว แล้วพูดต่อว่า “สำหรับประกาศิตสร้างพรรคแผ่นแรก ผู้แซ่เสิ่นยินดีประชาสัมพันธ์ให้อย่างเต็มที่ที่สุด ข้ารับประกันว่าภายในเจ็ดวันจะทำให้ผู้เล่นทุกคนรู้ว่าป้ายคำสั่งแผ่นนี้จะปรากฏอยู่ในงานประมูลขายรอบหน้าของร้านประมูลวั่นซาน แน่นอนว่าไม่นับรวมพวกผู้เล่นที่เก็บตัวฝึกวิชา หรือกำลังทำภารกิจอยู่ในฉากพิเศษช่วงนี้”
หรือกล่าวได้อีกอย่างว่า ขอเพียงอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ในสถานะตัดขาดกับโลกภายนอก ก็จะได้ยินข่าวว่าป้ายคำสั่งแผ่นนี้จะถูกประมูลขายแน่นอน
คำพูดคำจาของเสิ่นวั่นซานฟังดูเกินจริงไปมากทีเดียว!
ตอนนี้เอง ซานเย่ว์ก็ยืนยันในช่องทีมแล้วว่าคำพูดของอีกฝ่ายเป็นความจริง อย่างน้อยก็อธิบายได้ว่าเสิ่นวั่นซานไม่ได้พูดโกหก
เยี่ยเว่ยหมิงพยักหน้าอย่างพึงพอใจแล้วถามว่า “ไม่ทราบว่าข้าต้องจ่ายเท่าไรเพื่อสิ่งนี้”
“ราคาประมูลขายห้าเปอร์เซ็นต์”
เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วอึ้ง ไม่ใช่เพราะมีคำถามมากเกินไป แต่เป็นเพราะคิดว่าราคาประมูลขายห้าเปอร์เซ็นต์นี้เป็นเพียงค่าใช้จ่ายปกติเท่านั้น จึงอดถามยืนยันอีกครั้งไม่ได้ว่า “ง่ายๆ อย่างนี้เลยหรือ”
“ก็ง่ายๆ เช่นนี้ขอรับ!” เสิ่นวั่นซานตอบอย่างตรงไปตรงมา
เยี่ยเว่ยหมิงที่กำลังตกตะลึงพยักหน้ากล่าวทันทีว่า “เช่นนั้นก็ขอบคุณท่านเฉินที่ช่วยเหลือ”
“ทำธุรกิจร่วมกัน ก็ต้องยื่นหมูยื่นแมวเท่านั้นเอง”
การสื่อสารพูดคุยของทั้งสองเรียบง่ายมาก ถึงขนาดว่าขั้นตอนที่เยี่ยเว่ยหมิงนำประกาศิตสร้างพรรคออกมาทำเรื่องส่งของประมูลขาย ก็ไม่มีสะดุดเลยแม้แต่น้อย
กระทั่งทำเรื่องส่งของประมูลขายเรียบร้อยแล้ว เสิ่นวั่นซานถึงได้พลันเปลี่ยนประเด็นสนทนา “ในเมื่อใต้เท้าเยี่ยได้รับประกาศิตสร้างพรรคแผ่นนี้มาแล้ว ไม่ทราบว่ารู้กฎการรับประกาศิตสร้างพรรคแผ่นนี้หรือยัง”
มาแล้ว!
เยี่ยเว่ยหมิงรู้อยู่แล้วว่านี่คือการฝากขายตามปกติเท่านั้น อีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องคุยกับตนแบบต่อหน้าเลย จึงถามกลับทันที “ท่านเสิ่นหมายความว่า?”
[ติ๊ง! เสิ่นวั่นซานแจกภารกิจ ‘อ่างชุมนุมมหาสมบัติ’ ให้คุณ จะรับหรือไม่]