ตอนที่ 295 เขตลับไผ่เขียว
[แปดก้าวไล่ทันคางคก (ระดับต้น)]
เป็นวิชาตัวเบาเฉพาะสำนักที่แพร่หลายในยุทธภพ ใช้เพิ่มความเร็วในการเคลื่อนย้ายร่างกายได้เยอะมาก
เลเวล: 10 (+1)
ค่าประสบการณ์: …
ท่าร่าง +250 (+40)
เอฟเฟ็กต์พิเศษ: บินบนหญ้า
บินบนหญ้า: เอฟเฟ็กต์ท่าร่างเพิ่มขึ้น 10% อาศัยแรงบนวัตถุที่อ่อนแอเพื่อวิ่ง ต่อให้เป็นหญ้าต้นเดียวก็ทำเป็นจุดรองรับแรงได้!
……
ไม่รู้เหมือนกันว่าเอฟเฟ็กต์บินบนหญ้านี้ ตัวเองเพิ่งเปิดใช้งานมันเป็นครั้งแรกหรือเปล่า แต่ในเมื่อหวงโส่วจุนตั้งใจเตือนแบบนี้แล้ว คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าคงต่างกันไม่เท่าไร
แต่สำหรับเอฟเฟ็กต์พิเศษที่เปิดใช้งานครั้งแรกเหมือนกัน เมื่อเทียบบินบนหญ้ากับเงาของเทพกระบี่แล้ว มันต่างกันเกินไปหน่อยหรือเปล่า
ไม่ใช่แค่ค่าสเตตัส แม้แต่ชื่อก็ตั้งแบบไม่มีสง่าราศี
แต่ยังดีที่สองคุณสมบัติของเอฟเฟ็กต์พิเศษนี้นับว่าใช้งานได้จริง คุณสมบัติแรกคือเพิ่มความเร็วในการวิ่งได้โดยตรง ส่วนคุณสมบัติที่สองที่อาศัยแรงบนวัตถุอ่อนแอได้ เมื่ออยู่ในสถานการณ์พิเศษบางอย่างก็จะแสดงประสิทธิภาพที่คาดไม่ถึงออกมาได้เช่นกัน
แม้สิ่งที่เพิ่มขึ้นจะไม่ทำให้พึงพอใจเป็นพิเศษ แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรเลย
ใช้แก้ขัดไปก่อนแล้วกัน ยังจะทำอะไรได้อีก
หลังจากเพิ่มเลเวล ‘แปดก้าวไล่ทันคางคก’ จนถึงระดับสมบูรณ์แล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็นำ ‘ตระหนักรู้เคล็ดฝ่ามือ’ สองเล่มที่ก่อนหน้านี้วางไว้เฉยๆ ขึ้นมาใช้งานทีละเล่ม
เล่มแรกคือตำราลับที่ได้ตอนเก็บศพหลี่เปียวตัวปลอม หลังจากอ่านศึกษาแล้ว สิ่งได้ที่ก็คือค่าประสบการณ์เคล็ดฝ่ามือห้าหมื่นแปดพันห้าร้อยแต้ม เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ยังไม่เจอเคล็ดฝ่ามือที่เหมาะสมสำหรับเพิ่มค่าประบบการณ์ หลังจากผ่านไปสิบวินาทีมันก็เข้าสู่โหมดเรียนรู้ผ่านเรื่องทำนองเดียวกันโดยอัตโนมัติ สุดท้าย ‘ดรรชนีศักดิ์สิทธิ์’ ก็ได้รับค่าประสบการณ์หนึ่งหมื่นสี่พันหกร้อยยี่สิบห้าแต้ม
ส่วน ‘ตระหนักรู้เคล็ดฝ่ามือ’ ที่ได้จากหลี่เปียวตัวจริง กลับสร้างความตื่นตาตื่นใจให้เยี่ยเว่ยหมิงเยอะมาก!
เมื่ออยู่ภายใต้การเรียนรู้ผ่านเรื่องทำนองเดียวกัน ไม่น่าเชื่อว่าค่าประสบการณ์เคล็ดฝ่ามือเก้าหมื่นเจ็ดพันห้าร้อยแต้มนี้จะถูกเพิ่มไปที่ ‘ไท้ซัวเป็นไฉน’ แม้จะรักษาค่าประสบการณ์ไว้ได้หนึ่งในสี่ส่วน แต่กลับทำให้ ‘ไท้ซัวเป็นไฉน’ ของเขาเพิ่มขึ้นหนึ่งเลเวลแล้ว!
[ไท้ซัวเป็นไฉน (สุดยอดวิชา)]
เคล็ดจิตระดับสูงของสำนักไท่ซาน อาศัยความสามารถในการอ่านใจคนที่ทรงพลังเพื่อรู้แผนการของศัตรูล่วงหน้า โจมตีครั้งเดียวศัตรูแตกพ่าย!
เลเวล: 6
ค่าประสบการณ์: 6627/50000
โจมตี +60%
แม่นยำ +60%
คริติคอลดาเมจ +60%
โจมตีจุดสำคัญมีโอกาสปลิดชีพ 10%!
……
โบนัสแต่ละรายการของ ‘ไท้ซัวเป็นไฉน’ แม้จะดูเหมือนไม่สูงมาก แต่ในฐานะเคล็ดจิตวิชาหนึ่ง ค่าสเตตัสของมันกลับซ้อนกับทักษะยุทธ์ใดๆ ก็ได้
ยกตัวอย่างเช่นหลังจาก ‘มังกรซ่อนกบดาน’ ถึงระดับสมบูรณ์แล้ว พลังโจมตีที่เพิ่มขึ้นก็คือหกร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เมื่อมี ‘ไท้ซัวเป็นไฉน’ คอยเสริม ดาเมจกลับเพิ่มขึ้นแล้วหกร้อยหกสิบเปอร์เซ็นต์!
พอตบหนึ่งฝ่ามือ ประสิทธิภาพของการโจมตีทั่วไปก็เพิ่มขึ้นจากดาเมจพื้นฐานของเขาเจ็ดจุดหกเท่าแล้ว บวกกับสิบเปอร์เซ็นต์การการคำนวณอีก ก็กลายเป็นดาเมจที่น่ากลัวเจ็ดจุดเจ็ดเท่าแล้ว!
ถ้าเป็นคริติคอลดาเมจ เช่นนั้นก็ต้องเพิ่มคริติคอลดาเมจอีกหกสิบเปอร์เซ็นต์
นี่ต่างหากคือจุดแข็งที่แท้จริงของ ‘ไท้ซัวเป็นไฉน’ ในฐานะสุดยอดวิชา
ส่วนเคล็ดจิตอื่นๆ เช่น ‘เคล็ดจิตจักรวาล’ ที่พ่วงมากับ ‘เคล็ดวิชาจักรวาล’ แม้จะเพิ่มประสิทธิภาพให้ความสามารถของผู้เล่นได้ในระดับหนึ่ง แต่ต่อให้เป็นเคล็ดจิตจักรวาลเลเวลสิบ ก็ไม่มีทางเทียบกับไท้ซัวเป็นไฉนเลเวลห้าได้อยู่ดี
หากเป็นไปได้ เยี่ยเว่ยหมิงก็หวังว่าจะใช้วิธีสะสมค่าตบะเพื่อรีบทำให้เคล็ดจิตถึงระดับสมบูรณ์โดยเร็วที่สุด
แต่น่าเสียดายที่วิธีการแบบนั้นอยู่ในจินตนาการเท่านั้น ถ้าอยากจะดันเลเวล ‘ไท้ซัวเป็นไฉน’ นอกจากทำโจทย์คณิตคิดในใจแล้ว ก็เหลือแค่ฝากความหวังไว้กับการเรียนรู้ผ่านเรื่องทำนองเดียวกัน
นี่ก็คือสาเหตุหลักว่าทำไมเขาจึงไม่รีบเรียนทักษะยุทธ์ใหม่ๆ หลังจากวิทยายุทธ์นี้ของเขาถึงระดับสมบูรณ์แล้ว
อย่างไรเสีย การที่บนตัวยิ่งมีทักษะยุทธ์น้อย ก็ยิ่งมีโอกาสใช้เรียนรู้ผ่านเรื่องทำนองเดียวกันแล้วค่าประสบการณ์เพิ่มไปที่ ‘ไท้ซัวเป็นไฉน’ มากขึ้น!
เมื่อมองค่าสเตตัสทักษะของตัวเองอย่างพึงพอใจแวบหนึ่ง เยี่ยเว่ยหมิงถึงได้จิตใจสงบลง หลังจากปรับสภาพร่างกายให้ดีที่สุดแล้ว เขาถึงได้เอนกายลงบนเตียง นำกระบองไผ่เขียวที่เฝ้ารอมานานออกมา แล้วถ่ายกำลังภายในของตัวเองเข้าไปในนั้น
เปิดใช้งาน!
ใช่!
ยืนยัน!
หลังจากเลือกยืนยันสามครั้งต่อเนื่องกัน จู่ๆ เยี่ยเว่ยหมิงก็รู้สึกว่าฉากที่อยู่รอบกายตัวเองเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฟ้าพลิกดิน แม้แต่ท่าทางของเขาก็เปลี่ยนจากนอนเอนกายเป็นยืนตรงแล้ว
ภาพที่ปรากฏสู่สายตาก็คือป่าไผ่เขียวขจีผืนหนึ่ง
ดูเหมือนป่าไผ่ผืนนี้เพิ่งถูกน้ำฝนชะล้างมาหมาดๆ รอบหนึ่ง บนไผ่ทุกต้นเป็นสีเขียวมรกตงดงามและชุ่มฉ่ำราวกับจะมีน้ำหยดออกมา เป็นภาพที่งดงามมาก
ระหว่างป่าไผ่มีทางเดินเล็กๆ ที่ปูด้วยหินกรวดรูปไข่ห่าน ทางทอดยาวไปจนถึงจุดที่เยี่ยเว่ยหมิงมองไม่เห็น
[ติ๊ง! คุณเข้าสู่เขตลับไผ่เขียว ระหว่างทางที่เดินไปข้างหน้าหากโจมตีชนะวานรก้นแดง จะได้รับรางวัลผ่านด่านแรก]
ที่แท้กระบองไผ่เขียวแท่งนี้ก็เป็นตัวแทนของเขตลับดันเจี้ยน หลังจากผ่านด่านแล้วก็จะได้รับรางวัลพิเศษอะไรประมาณนั้น?
พอนึกถึงแจ้งเตือนระบบก่อนหน้านี้ ที่บอกว่าผู้บุกดันเจี้ยนในเขตลับจะถูกแยกความรู้สึกตัวออกจากร่างกาย เยี่ยเว่ยหมิงก็รีบขยับเท้า หลังจากพบว่าไม่มีจุดไหนที่รู้สึกไม่สบาย ก็เปิดหน้าอินเตอร์เฟสระบบขึ้นมาอ่านให้ละเอียดอีกรอบ ตอนที่แน่ใจแล้วว่าตอนนี้ค่าสเตตัส เคล็ดวิชาหรืออุปกรณ์ไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ เมื่อเทียบกับตอนอยู่ในร่างกายปกติ เขาถึงได้ถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วก้าวไปข้างหน้าต่อ
“เจี๊ยกๆๆ!…เจี๊ยกๆ!…”
ตอนที่เยี่ยเว่ยหมิงก้าวออกมาข้างหน้าก้าวเล็กๆ ก็มีลิงน้อยตัวหนึ่งทั้งวิ่งทั้งกระโดดออกมาจากป่าไผ่ทันที ในมือของมันมีกระบี่ไม้ไผ่เล่มหนึ่งด้วย
แม้ลิงน้อยจะเคลื่อนไหวรวดเร็วมาก แต่กลับทำให้คนไม่รู้สึกถึงภัยคุกคามใดๆ ทำให้เยี่ยเว่ยหมิงรู้สึกอึ้งกับสิ่งนี้
อย่าบอกนะว่าคู่ต่อสู้ด่านแรกของตนเป็นแค่ลิงน้อยตัวหนึ่ง
ตอนที่เยี่ยเว่ยหมิงกำลังสงสัย ลิงน้อยตัวนั้นกลับกระโดดขึ้นมาจากพื้น แล้วฟันกระบี่ไม้ไผ่ในมือมาตรงหน้าเยี่ยเว่ยหมิง
ดูจากท่านี้ เยี่ยเว่ยหมิงก็ยังมองไม่ออกอยู่ดีว่าเคล็ดกระบี่ของมันมีจุดที่ยอดเยี่ยมตรงไหน
แต่พอนึกได้ว่านี่คือดันเจี้ยนที่ปลดล็อกได้หลังจากต้องเพิ่มเลเวล ‘เคล็ดกระบี่วีรสตรี’ ให้ถึงสิบก่อน เขาก็ไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย ก้าวขึ้นมาข้างหน้าก้าวหนึ่งทันที เยี่ยเว่ยหมิงใช้กระบี่แสงทองกวาดออกมาในแนวขวาง เขาใช้หนึ่งในกระบวนท่าที่มีทั้งโจมตีและป้องกันของ ‘เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน’ …ท่ากวาดหิมะต้มชา
แกร๊ง! พอกระบี่แสงทองในมือเยี่ยเว่ยหมิงกับกระบี่ไม้ไผ่ในมือลิงน้อยชนกัน เขาก็รู้สึกได้ทันทีว่าบนกระบี่ของอีกฝ่ายไร้พลัง ยังไม่ทันรอให้เขาไหวตัว ลิงน้อยตัวนั้นก็ถูกกระบี่ของเขากวาดจนกระเด็นถอยหลังออกไปแล้ว ตอนที่ตัวลอยอยู่กลางอากาศ มันก็กลายเป็นความว่างเปล่า หายตัวไปอีกครั้งแล้ว
กะทันหันเหมือนตอนที่มันปรากฏตัว ทำให้คนป้องกันไม่ทัน
แบบนี้ก็นับเป็นบททดสอบได้ด้วยหรือ
เยี่ยเว่ยหมิงยืนอึ้งอยู่ที่เดิมสิบวินาที เมื่อเห็นลิงน้อยตัวนั้นไม่โผล่ออกมาอีก แต่ก็ไม่มีแจ้งเตือนจากระบบว่าการลุยดันเจี้ยนสำเร็จ สุดท้ายเขาถึงได้แน่ใจว่าลิงน้อยตัวนั้นเป็นแค่มอนสเตอร์เล็กๆ ธรรมดาที่อยู่ไหนดันเจี้ยนนี้เท่านั้น
ดูท่าแล้ว ตนคงให้ความสำคัญกับการทดสอบที่เกี่ยวข้องกับ ‘เคล็ดกระบี่วีรสตรี’ มากเกินไป ด้วยความที่เครียดจนเกินเหตุ ทำให้เขาหวาดกลัวเกินไปจนเห็นต้นไม้ใบหญ้าเป็นข้าศึกไปหมด
เยี่ยเว่ยหมิงส่ายหน้าแล้วเดินไปข้างหน้าต่อ
ตอนที่เขาเดินไปถึงก้าวที่สิบ ได้ยินเสียงร้อง “เจี๊ยกๆๆ…” ดังมาอีกพักหนึ่ง พอแหงนหน้ามอง ก็เห็นลิงน้อยที่หน้าตาเหมือนตัวก่อนหน้านี้พุ่งเข้ามาอีก
ครั้งนี้เยี่ยเว่ยหมิงต้องการทดสอบความสามารถของอีกฝ่าย จึงตั้งใจเลือกใช้ ‘มังกรร่อนล่อหงส์’ ที่ไม่มีโบนัสพลังโจมตีมารับมือกับกระบี่แรกของอีกฝ่าย แต่ผลที่ได้กลับเหมือนเดิม…ปลิดชีพ!
คู่ต่อสู้อ่อนแอเกินไป!
เยี่ยเว่ยหมิงส่ายหน้าอีกครั้ง แล้วเดินไปข้างหน้าต่อ
หลังจากเดินไปได้สิบก้าว ปลิดชีพ!
หลังจากเดินไปอีกสิบก้าว ปลิดชีพอีกแล้ว!
แบบนี้นับเป็นอะไร สิบก้าวฆ่าลิงหนึ่งตัว?
กระทั่งถึงลิงน้อยตัวที่ห้า หลังจากเยี่ยเว่ยหมิงใช้ ‘มังกรร่อนล่อหงส์’ รับมือกับอีกฝ่ายหนึ่งกระบี่ ถึงได้เห็นเลเวลของอีกฝ่ายชัดเจน
เลเวลยี่สิบ!
เพียงแต่ลิงน้อยเลเวลยี่สิบตัวนี้ หลังจากสู้กับเขาหนึ่งกระบี่ก็เหลือเลือดแค่ขีดเดียวเช่นกัน
ทว่าพอถึงตัวที่หก มันก็กลายเป็นเลเวลยี่สิบสี่!
ตัวที่เจ็ด เลเวลยี่สิบแปด!
จนกระทั่งตอนนี้ เยี่ยเว่ยหมิงถึงได้เจอกฎการปรากฏตัวของศัตรูในดันเจี้ยนนี้แล้ว
ตั้งแต่ก้าวแรกที่เขาเดินอยู่ในดันเจี้ยนนี้ ทุกสิบก้าวจะมีลิงน้อยโผล่มาโจมตีเขาหนึ่งตัว และทุกครั้งที่มีศัตรูปรากฏตัว ก็จะเลเวลสูงกว่าตัวก่อนหน้านี้สี่เลเวล
ดังนั้น ตอนที่สู้กับไม่กี่ตัวก่อนหน้านี้ถึงได้ผ่อนคลายมาก
และยิ่งเขาเดินลึกเข้ามาในป่าไผ่เรื่อยๆ เลเวลของศัตรูก็เพิ่มขึ้นเหมือนขั้นบันไดไม่หยุดเช่นกัน
ตอนแรกใช้ ‘มังกรร่อนล่อหงส์’ ก็ยังปลิดชีพศัตรูได้ ตอนหลังต้องปะทะกับศัตรูหนึ่งถึงสองกระบวนท่า เรื่องนี้ทำให้เยี่ยเว่ยหมิงตื่นตาตื่นใจมาก
ในบรรดามอนสเตอร์เลเวลเดียวกัน ศักยภาพของลิงพวกนี้ถือว่าโดดเด่นจริงๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากจะบอกว่าลิงพวกนี้เป็นเพียงมอนสเตอร์ทั่วไป ไม่สู้บอกว่าเป็นมอนสเตอร์อีลิทเลเวลเดียวกันจะเหมาะสมกว่า ถึงขนาดว่าแม้แต่อยู่ท่ามกลางมอนสเตอร์อีลิท มันก็ถือเป็นประเภทที่รับมือได้ยากสุดๆ อยู่ดี
ส่วนเคล็ดกระบี่ที่ฝ่ายใช้ ดูเผินๆ เหมือนเป็นเงาของ ‘เคล็ดกระบี่วีรสตรี’ จริงๆ เหมือนจะใช่แต่ก็ไม่ใช่
เพียงแต่ลิงน้อยฝึกเคล็ดกระบี่ได้ไม่ชำนาญ มีช่องโหว่ชัดเจนระหว่างที่เปลี่ยนกระบวนท่า เวลารับมือจึงง่ายมาก
แต่สิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ก็คือ ‘เคล็ดกระบี่วีรสตรี’ ที่ลิงน้อยพวกนี้ใช้ หากเทียบกันที่กระบวนท่าอย่างเดียว ก็ยอดเยี่ยมกว่า ‘เคล็ดกระบี่วีรสตรี’ ไม่เข้าขั้นที่เยี่ยเว่ยหมิงเรียนมาก่อนหน้านี้จริงๆ
ฟันสังหารไปอย่างนี้ตลอดทาง หลังจากโจมตีลิงน้อยเก้าตัวจนแพ้พ่ายต่อเนื่องกัน ในที่สุดเยี่ยเว่ยหมิงก็เห็นเงาของ BOSS เฝ้าด่านที่ระบบพูดถึงตอนแรกที่เขาเข้ามาในเขตลับ
[วานรก้นแดง]
หนึ่งในสี่พญาวานรของป่าไผ่เขียว เชี่ยวชาญเคล็ดกระบี่
เลเวล: 40
พลังชีวิต: 35000/35000
กำลังภายใน: 15000/15000
……
ค่าสเตตัสของพญาวานรตัวนี้ไม่ได้แข็งแกร่งมาก ถ้าดูแค่ตัวเลขค่าสเตตัสอย่างเดียว ก็คงพอๆ กับอวี๋ชางไห่เวอร์ชั่นถูกตอนในโหมดภารกิจเนื้อเรื่องที่เขาเจอที่เมืองฝูโจวช่วงแรก
สำหรับเยี่ยเว่ยหมิงในตอนนี้ อีกฝ่ายเป็นศัตรูที่แทบจะกำจัดได้อย่างสบายมือ!
ตอนที่เยี่ยเว่ยหมิงอยากจะกำจัด BOSS กระจอกที่อยู่ตรงหน้าเร็วๆ เพื่อดูว่าเขตลับมายานี้จะให้รางวัลผ่านด่านอะไรกับเขา วานรก้นแดงกลับไม่ได้ลงมือทันที แต่แตะกระบี่ไม้ไผ่ในมือต่อเนื่องสามครั้งแทน
สรรพสิ่งเติบโต!
ตั้งแต่เรียน ‘เคล็ดกระบี่วีรสตรี’ มา เยี่ยเว่ยหมิงก็ไม่เคยใช้ท่านี้เลย
เพราะท่านี้ไม่มีประสิทธิภาพใดๆ เลย
ถ้าจะบอกว่าเป็นกระบวนท่าของกระบี่ ไม่สู้บอกว่าเป็นพิธีลอดกระบี่ดีกว่า
เหมือนกับการชกมวยบนสังเวียน ก่อนที่นักมวยสองคนจะชกกัน ก็จะชนหมัดแสดงมิตรภาพกันก่อน
ไม่น่าเชื่อว่าวานรก้นแดงจะใช้กระบวนท่านี้ อย่างน้อยก็อธิบายได้ว่าอีกฝ่ายมีสติปัญญาและสง่างามพอสมควร จะมองพวกมันเป็นประเภทเดียวกับสัตว์ป่าไม่ได้เด็ดขาด
เยี่ยเว่ยหมิงเห็นแล้วอึ้ง จากนั้นตอบกลับอีกฝ่ายด้วยท่าสรรพสิ่งเติบโต
วานรก้นแดงส่งเสียงร้องก่อนจะพุ่งมาข้างหน้า ใช้กระบี่ไม้ไผ่ในมือโจมตีมาที่หน้าอกของเยี่ยเว่ยหมิง
พอได้ประมือกัน เยี่ยเว่ยหมิงกลับค้นพบอย่างตกใจว่า มันดูเผินๆ เหมือนเป็นลิงใหญ่ธรรมดาตัวหนึ่ง แต่รับมือยากกว่าอวี๋ชางไห่แน่นอน!