ตอนที่ 300 เจ้าเด็กนั่นหล่อจริง
ไม่มีอะไรต้องพูดแล้ว พวกเขาสามคนนั่งรถม้าตรงไปยังอำเภอชิงฉวี่ เจอกับผู้ให้ข้อมูลที่มารออยู่นานแล้ว เป็นผู้เล่นสำนักคงต้งคนหนึ่งที่ใช้ชื่อว่า ‘เจ้าเด็กนั่นหล่อจริง’
ดูจากชื่อก็รู้แล้วว่าเขาเป็นผู้ชาย
เพียงแต่สีหน้าของเจ้าหมอนี่ดูกลัดกลุ้มและคับแค้นใจ เหมือนเพิ่งอกหักมาหมาดๆ แล้วยังเดินออกจากเงามืดไม่ได้ อาจจะคิดไม่ตกแล้วปลิดชีพตัวเองได้ทุกเมื่อ
เยี่ยเว่ยหมิงไม่มีกะจิตกะใจไปสนใจเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของผู้ชายคนนี้ หลังจากยืนยันตัวตนต่อกันและกันแล้ว ก็ถามคำถามที่เขาสนใจที่สุดออกมาทันที “เจ้ายืนยันได้หรือเปล่าว่าข่าวของเจ้าเป็นความจริง”
พอได้ยินคำถาม เจ้าเด็กนั่นหล่อจริงก็ยิ้มอย่างขื่นขม ในรอยยิ้มเจือด้วยความสนใจและอ้างว้าง ราวกับกำลังยิ้มเย้ยความไม่ยุติธรรมในโลกและนิสัยชั่วร้ายของมนุษย์ “ข้าไม่เพียงแค่เห็นกับตาตัวเอง ทั้งยังเคยสู้กับเถียนปั๋วกวงนั่นด้วย…
…ของอย่างอื่นหลอกกันได้ แต่ชื่อที่อยู่เหนือศีรษะ BOSS กับข้อมูลค่าสเตตัสกลับหลอกไม่ได้”
เยี่ยเว่ยหมิงอยากบอกเขามากกว่า ชื่อของ BOSS พวกนั้นหลอกกันได้จริงๆ ยกตัวอย่างเช่นฟ่านเหยาที่ปลอมตัวเป็นหลวงจีนไว้ผม แล้วก็เฉิงคุนที่ปลอมตัวเป็นหยวนเจิน ไหนจะหลี่เปี่ยวที่ปลอมตัวเป็นหลี่คูโหลวอีก…
แต่เมื่อเห็นสีหน้าคับแค้นของอีกฝ่าย เขาก็ไม่คิดจะโต้เถียงแล้ว
ส่วนเฟยอวี๋ก็สนใจอีกคำถามหนึ่งมากกว่า “ในเมื่อเจ้าเคยสู้กับเขาแล้ว บอกพวกเราได้หรือไม่ว่าเถียนปั๋วกวงนั่นร้ายกาจหรือเปล่า”
“BOSS เลเวลห้าสิบห้า พวกเจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ” เจ้าเด็กนั่นหล่อจริงส่ายหน้ายิ้มเจื่อน “ข้าบอกพวกเจ้าอย่างนี้ก็แล้วกัน ก่อนที่ข้าจะเจอเขา ‘หมัดเจ็ดทำร้าย’ ของข้าอยู่ที่เลเวลห้าและมีมีค่าประสบการณ์หกส่วน ตอนนี้ตกลงมาเหลือเลเวลสี่แล้ว”
“ที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องแย่เหมือนกัน” อินปู้คุยเป็นคนเป็นคนมีน้ำใจ เมื่อเห็นเจ้าเด็กนั่นหล่อจริงมีท่าทางหมดอาลัยตายอยากขนาดนี้ก็กล่าวปลอบใจทันที “พลังปราณของเบญจธาตุกำลังปรับสมดุลหยินหยาง ทำลายหัวใจ ปออด ตับ ‘หมัดเจ็ดทำร้าย’ นั่นเป็นวิชาหมัดอันธพาลที่ทำร้ายตัวเองก่อนทำร้ายศัตรู ฝึกเร็วเกินไปจะส่งผลเสียต่อตัวเองมาก ไม่สู้รอให้เคล็ดวิชาแน่นกว่านี้แล้วค่อยฝึก ถึงตอนนั้นจะมีแต่ข้อดี ไม่มีข้อเสียแล้ว”
พอได้ยินดังนั้น เจ้าเด็กนั่นหล่อจริงก็มองอินปู้คุยด้วยสายตาตกตะลึงอยู่หลายส่วน เห็นได้ชัดว่าตกตะลึงที่ศิษย์อู่ตังรู้เรื่องวิชาหมัดระดับสูงของสำนักคุนหลุนดีมากเหมือนเป็นสมบัติในบ้านตัวเอง
แต่เป็นเพราะนิสัยส่วนตัว เขาจึงไม่ได้ถามสิ่งที่ตัวเองสงสัยอยู่ในใจออกมา แต่เข้าประเด็นโดยตรง “ในเมื่อพวกเจ้ามาหาเถียนปั๋วกวง ข้าก็จะพาพวกเจ้าไปดูสถานที่เกิดเหตุสักหน่อยแล้วกัน ตามข้ามา”
เจ้าเด็กนั่นหล่อจริงเป็นคนนำทาง ทั้งสี่เดินไปถึงนอกบ้านหลังหนึ่งในอำเภอ แต่กลับพบว่าบ้านหลังนั้นถูกทางการปิดล้อมไว้แล้ว
เมื่อเห็นเครื่องแบบขุนนางบนตัวเยี่ยเว่ยหมิงกับเฟยอวี๋ มือปราบที่เฝ้าอยู่ตรงประตูก็ไม่กล้าโอ้อวด ถามอย่างระมัดระวังว่า “พวกเราได้รับคำสั่งให้มาสืบคดี ไม่ทราบว่าพวกท่านคือผู้ใด”
เยี่ยเว่ยหมิงเองก็ขี้คร้านจะเปลืองคำพูดกับอีกฝ่าย จึงบอกตรงๆ ว่า “เรียกหัวหน้าของพวกเจ้าออกมาคุย”
“ขอรับ!”
หนึ่งในเจ้าหน้าที่ที่ค่อนข้างหัวไววิ่งเข้าไปทันที หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ชายวัยกลางคนที่สวมเครื่องแบบหัวหน้ามือปราบคนหนึ่งก็เดินออกมา แล้วถามเยี่ยเว่ยหมิงว่า “ไม่ทราบว่าพวกท่านคือ?”
ครั้งนี้ เยี่ยเว่ยหมิงกับเฟยอวี๋นำป้ายแขวนเอวออกมาอย่างพร้อมเพรียงเข้าขากันเป็นพิเศษ
“เยี่ยเว่ยหมิง มือปราบขั้นหกของสำนักมือปราบเทพจากเมืองหลวง”
“เฟยอวี๋ มือปราบขั้นหกของสำนักมือปราบเทพจากเมืองหลวง”
เมื่อทั้งสองเปิดเผยชื่อตัวเอง หัวหน้ามือปราบคนนั้นก็เหมือนตัวเล็กลงทันที เขาถามอย่างระมัดระวังว่า “ไม่ทราบว่านายท่านทั้งสองมาที่นี่ ผู้น้อยขออภัยที่ไม่ได้ไปต้อนรับ ไม่ทราบว่านายท่านทั้งสองมีอะไรจะกำชับหรือขอรับ”
ไม่ระวังตัวไม่ได้หรอก!
เยี่ยเว่ยหมิงกับเฟยอวี๋คือขุนนางที่เป็นผู้เล่น แม้จะเทียบกับพวก NPC พี่ใหญ่ของสำนักมือปราบเทพไม่ติด แต่เมื่ออยู่ข้างนอก พวกเขาก็ถือเป็นขุนนางใหญ่ยศขั้นหกของราชสำนักเช่นกัน!
ขุนนางยศขั้นหกใหญ่ขนาดไหนกัน
คำถามนี้ หัวหน้ามือปราบของอำเภอก็ตอบได้ไม่ชัดเจนเช่นกัน
เขารู้เพียงว่าผู้พิพากษาประจำอำเภอของพวกเขามียศขั้นเจ็ด
ส่วนเพื่อนร่วมงานสองคนที่อยู่ตรงหน้ายศใหญ่กว่าผู้พิพากษาประจำอำเภอของพวกเขาอยู่หนึ่งขั้น!
สำหรับคนใหญ่คนโตเช่นนี้ พวกเขาล่วงเกินไม่ไหวและหลบไม่พ้นเช่นกัน ต้องปรนนิบัติอย่างระมัดระวัง!
เยี่ยเว่ยหมิงย่อมรู้อยู่แล้วว่ายศขุนนางของตัวเองยังไม่มากพอที่จะสั่งให้มือปราบพวกนี้ไปสู้สุดชีวิต แต่เดิมทีเขาก็ไม่ได้หวังเช่นกันว่า NPC มือปราบทั่วไปพวกนี้จะมีประโยชน์อะไรกับการรับมือเถียนปั๋วกวง
เยี่ยเว่ยหมิงเก็บป้ายแขวนเอวแล้วถามตามตรงว่า “ที่นี่เกิดคดีฆาตกรรมอะไร”
ขณะที่เอ่ยถาม เขาก็ก้าวเข้าไปในลานบ้านแล้ว
“ไม่น่าจะนับว่าเป็นคดีฆาตกรรมขอรับ” หัวหน้ามือปราบตามติดอยู่ข้างหลังเยี่ยเว่ยหมิง พร้อมตอบอย่างระมัดระวัง “หลักฐานแต่ละอย่างล้วนชี้ให้เห็นชัดเจนว่า ผู้ตายสองคนในบ้านหลังนี้ล้วนตายเพราะปลิดชีพตัวเอง สาเหตุการตายก็คือแขวนคอตัวเอง”
ขณะที่พูด พวกเขาก็เดินเข้าไปในบ้านแล้ว พบร่างของหญิงสาวสองคนแขวนอยู่คานในบ้านจริงๆ อาจเพราะต้องรักษาที่เกิดเหตุเอาไว้ ตอนนี้จึงยังไม่ถูกนำร่างลงมา
พอเงยหน้ามอง กลับเห็นว่าใบหน้าของผู้หญิงสองคนนี้ขาวซีด แต่ยังมองออกว่าตอนยังมีชีวิตอยู่พวกนางอ่อนเยาว์และงดงาม
เพียงแต่บุปผาดอกน้อยที่งดงามตระการตาสองดอกนี้ ยังไม่ทันได้แบ่งบานก็เหี่ยวเฉาเสียแล้ว
ตอนนี้เอง กลับได้ยินเจ้าเด็กนั่นหล่อจริงเอ่ยว่า “สตรีสองคนนี้คือศิษย์ของ ‘สำนักหมัดเทวะ’ ซึ่งเป็นสำนักเล็กๆ ในยุทธภพ ถือเป็นชาวยุทธ์ที่มีทักษะยุทธ์สองมือเช่นกัน คนที่ฟันยื่นเล็กน้อยทางซ้ายชื่อเหมียวฟู่ คนทางขวาที่หน้าผากกว้างชื่อหวังเซิง เดิมทีทั้งสองเป็นจอมยุทธ์หญิงในยุทธภพที่มีความฝัน แต่น่าเสียดายที่ถูกเถียนปั๋วกวงเล่นงานแล้ว…
“พวกนางรู้ตัวว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเถียนปั๋วกวง เพื่อที่จะปกป้องตัวเอง พวกนางจึงแจกภารกิจคุ้มกันให้ผู้เล่น รางวัลภารกิจก็คือนวมระดับทองคำคู่หนึ่ง”
ขณะที่พูด เจ้าเด็กนั่นหล่อจริงกำหมัดสองข้างเสียงดังกร๊อบแกร๊บแล้ว “น่าแค้นนักที่ตอนนั้นข้าเหมือนถูกผีเข้าสิง ไม่น่าเชื่อว่าจะถูกอุปกรณ์ทองคำชิ้นหนึ่งบังตา รับภารกิจนั่นคนเดียวโดยไม่ประเมินกำลังตัวเอง…
…หากไม่ใช่เพราะตอนนั้นข้าโลภเกินไป หาผู้ช่วยสักสองสามคนไปรับภารกิจนี้ด้วยกัน หรือไม่ก็ให้คนที่มีความสามารถมากกว่านี้และภารกิจ พวกนางสองคนก็คงไม่มีจุดจบแบบนี้…”
ที่แท้สาเหตุที่เจ้าหมอนี่ดูกลัดกลุ้มอยู่ตลอด ก็เพราะแบบนี้นี่เอง
สำหรับสหายที่อินกับบทบาทเกินไปคนนี้ เยี่ยเว่ยหมิงก็ไม่รู้ว่าจะแสดงความเห็นอย่างไรดี จึงไม่ออกความเห็นเสียเลย
เยี่ยเว่ยหมิงได้แต่ตบบ่าให้กำลังใจเขาแล้วก็เดินไปข้างหน้า เดินวนศพทั้งสองเพื่อตรวจดูรอบหนึ่ง แต่ก็ไม่พบหลักฐานที่น่าสงสัยอย่างอื่น ถึงได้พยักหน้าบอกว่า “ทั้งสองปลิดชีพตัวเองจริงๆ แต่เรื่องนี้กลับเกี่ยวข้องกับโจรชั่วคนหนึ่งในยุทธภพ”
พอได้เยี่ยเว่ยหมิงพูดแบบนี้ หัวหน้ามือปราบคนนั้นก็ตกใจทันที สายตาล่อกแล่ก เริ่มคิดถึงคำแก้ตัวที่ตัวเองทำงานไม่ได้เรื่องแล้ว
เยี่ยเว่ยหมิงกลับชิงพูดก่อนเขา “เรื่องนี้ศาลาว่าการอำเภอของพวกเจ้าจัดการไม่ไหวหรอก ตอนนี้สำนักมือปราบเทพรับช่วงต่ออย่างเป็นทางการ พวกเจ้าถอนกำลังได้”
หัวหน้ามือปราบคนนั้นได้ยินแล้วดีใจมาก หลังจากกล่าวอำลา ก็นำมือปราบสี่คนที่เป็นลูกน้องของเขาออกไปทันที
ไม่สนใจอีกฝ่ายที่มีท่าทางขี้ขลาดเพราะกลัวว่าเขาจะกลับคำพูด เยี่ยเว่ยหมิงหันไปมองเฟยอวี๋ เจ้าตัวพยักหน้าแล้วบอกว่า “ข้าค้นพบร่องรอยที่ยอดฝีมือวิชาตัวเบาทิ้งไว้ในบ้านหลังนี้ คงจะเป็นเถียนปั๋วกวงไม่ผิดแน่”
ในเมื่อข่าวได้รับการยืนยันแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็ส่งคำขอซื้อขายให้เจ้าเด็กนั่นหล่อจริงทันที แต่อีกฝ่ายกลับปฏิเสธ
“ถ้าพวกเจ้าสังหารเถียนปั๋วกวงนั่นได้ ต่อให้เป็นแค่ร่างแยกในโหมดภารกิจก็ไม่เป็นไร คิดเสียว่าเป็นค่าตอบแทนให้ข้าก็แล้วกัน” พอพูดจบก็ส่ายหน้า ถอนหายใจเฮือกหนึ่งแล้วเดินออกไป
แต่หลังจากเห็นศพของสาวน้อยทั้งสองคน แม้แต่พวกเยี่ยเว่ยหมิงก็เกิดความโกรธแค้นและเจตนาสังหารอันเข้มข้นเช่นกัน
ท่ามกลางสายตาจับจ้องของทั้งสอง เฟยอวี๋กล่าวอย่างใจเย็น “ตอนนี้เถียนปั๋วกวงอยู่ที่ผาสำนึกตนที่หัวซาน”
พอได้ยินว่าเจ้าหมอนี่บอกตำแหน่งได้แม่นยำขนาดนี้ เยี่ยเว่ยหมิงก็ถามอย่างตกใจว่า “ทักษะประจำสำนักของเจ้าได้เพิ่มเลเวลแล้วหรือ”
“เปล่า! ข้าแค่เปิดใช้งานฟังก์ชั่นการค้นหาให้ถึงขีดจำกัดสูงสุด” เฟยอวี๋กล่าวด้วยสีหน้าดุร้าย “ครั้งนี้ไม่ต้องเสียอะไรชดเชย หลังจากเห็นศพของผู้หญิงสองคนนี้แล้ว ต่อให้รู้อยู่แก่ใจว่าพวกนางเป็น NPC ที่ระบบตั้งขึ้นมา แต่ข้าก็อยากจะสังหารเถียนปั๋วกวงนั่นไวๆ อยู่ดี!”
พอได้ยินดังนั้น เยี่ยเว่ยหมิงก็แสดงออกว่าชื่นชมจิตใจแห่งวีรบุรุษของเขา จากนั้นก็ปฏิเสธคำแนะนำของเขาที่ให้ไปสังหารคนที่หัวซานโดยตรง “ที่จริงหากต้องการสังหารเขาก็ไม่ต้องรีบร้อนทำตอนนี้หรอก พวกเรากลับไปที่สำนักมือปราบเทพสักรอบก่อนดีกว่า”
เฟยอวี๋ได้ยินแล้วงง “กลับไปทำอะไร”
“โจรราคะอย่างเถียนปั๋วกวงต้องมีคดีอีกเยอะมากแน่นอน ก่อนจะลงมือ พวกเราก็ควรรับภารกิจที่เกี่ยวข้องกับเขาให้หมดเลยไม่ใช่หรอกหรือ”