ตอนที่ 419 วิธีการของผู้ช่ำชองแนวทางกระบี่
ลงนามสัญญากัน?
พอได้ยินเงื่อนไขที่เยี่ยเว่ยหมิงเสนอกับจั่วจื่อมู่ แม้แต่ซานเย่ว์ที่เชื่อฟังเขามาตลอด ไม่เคยสงสัยในการตัดสินใจของเขา ก็ยังอดแสดงความคิดเห็นของตัวเองในช่องทีมไม่ได้ [อาหมิง เจ้าคิดจะปล่อยจั่วจื่อมู่ไปอย่างนี้จริงหรือ ทั้งยังให้เขาลงนามติดหนี้ไว้ก่อนอีก]
[ถ้าไม่อย่างนั้นล่ะ?] เยี่ยเว่ยหมิงตอบกลับในช่องทีมเช่นกัน [ขยะเลเวลห้าสิบเก้าคนหนึ่ง เทียบอวิ๋นจงเฮ่อไม่ติดด้วยซ้ำ เจ้าคิดจริงหรือว่าฆ่าเขาตายแล้วจะดรอปได้ของดี]
ซานเย่ว์ได้ยินแล้วเงียบ แม้จะไม่พูดอะไรอีก แต่สำหรับพฤติกรรมชั่วร้ายของจั่วจื่อมู่ เห็นได้ชัดว่านางหวังจะทำให้อีกฝ่ายตายมากกว่า ต่อให้เป็นเพียงการระบายความแค้นก็ตาม!
ตอนนี้กลับเห็นเยี่ยเว่ยหมิงส่งข้อความในช่องทีมต่อ [ที่จริงแล้ว ถ้ากำจัดจั่วจื่อมู่ทิ้งตอนนี้ นอกจากจะไม่ได้ประโยชน์อะไรแล้ว ยังจะนำความยุ่งยากมากมายมาสู่พวกเราอีก แล้วควรจะจัดการจั่วซานซานคนนี้อย่างไรล่ะ]
ซานเย่ว์ได้ยินแล้วอึ้งไป เหมือนเรื่องราวจะเป็นอย่างที่เขาพูดจริงๆ
จั่วจื่อมู่นั่นแม้จะน่ารังเกียจ แต่จั่วซานซานเป็นเพียงเด็กทารกที่ยังไม่หย่านม ถ้าฆ่าเขาตายนอกจากจะเสียค่าวีรบุรุษจำนวนมากแล้ว วิธีการแบบนี้ยังข้ามเส้นคุณธรรมของเยี่ยเว่ยหมิงกับซานเย่ว์ด้วย อย่าว่าแต่ต้องหักค่าวีรบุรุษเลย ต่อให้มีผลประโยชน์มหาศาล แต่พวกเขาก็ทำเรื่องแบบนี้ไม่ลงอยู่ดี
หากพวกเขาทำอย่างนั้นจริง อีกหน่อยเวลาเยี่ยเว่ยหมิงไปคุยโอ้อวดกับคนอื่น ยังจะมีหน้าพูดได้อย่างไรว่าตัวเองไม่เคยฆ่าคนดีมาก่อน
แต่ถ้าไม่ฆ่าทิ้ง อย่าบอกนะว่าจะเลี้ยงไว้ข้างกาย
เรื่องแบบนี้ แค่คิดก็รู้สึกยุ่งยากแล้ว
อย่างไรเสีย พวกเขาก็ไม่ได้มีงานอดิเรกแปลกๆ เหมือนเยี่ยเอ้อร์เหนียง ทั้งสองเป็นชายหนุ่มหญิงสาวที่อายุยังไม่ถึงยี่สิบปี ใครจะไปรู้ว่าจะเลี้ยงเด็กอย่างไร
ในเมื่อฆ่าไม่ได้ ทั้งยังไม่อยากเลี้ยงไว้ข้างกาย เช่นนั้นวิธีการที่ดีที่สุดก็คือส่งคืนให้จั่วจื่อมู่เสียเลย ประหยัดแรงและเวลาที่สุด แต่พอนึกขึ้นได้ว่าจะให้เขาได้ผลประโยชน์ไปอย่างนี้ ซานเย่ว์ก็ยังไม่ยอมอยู่ดี [แต่ให้เขาลงนามติดหนี้แบบนี้ เจ้าไม่กลัวเขาหนีเหรอ]
[อยากจะเบี้ยวหนี้ข้าไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก] เยี่ยเว่ยหมิงตอบอย่างมั่นใจ [ข้าอุ้มเด็กเขียนไม่สะดวก เจ้าเขียนเอกสารสักหน่อย เขียนตามเนื้อหาที่ข้าส่งไปก็พอ]
ขณะที่พูด เยี่ยเว่ยหมิงก็ส่งเอกสารที่ตัวเองร่างไว้ให้ซานเย่ว์ผ่านช่องทีม
หลังจากซานเย่ว์อ่านแล้ว ดวงตางามก็เป็นประกายทันที นางไม่พูดพร่ำทำเพลง หยิบกระดาษกับพู่กันออกมาทันที แล้วใช้มือข้างหนึ่งรองกระดาษ ใช้มืออีกข้างเขียนอย่างรวดเร็ว
อีกด้านหนึ่ง เมื่อได้ยินข้อเสนอของเยี่ยเว่ยหมิง ในดวงตาจั่วจื่อมู่ก็ฉายแววดูถูกแวบหนึ่ง
ลงนามสัญญาอะไรนั่น สำหรับเขาแล้วไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย
ถึงอย่างไรสองคนที่อยู่ตรงหน้าก็เป็นขุนนางปราชญ์จอมยุทธ์ ต่อให้เขาลงนามสัญญาแล้ว หลังจากกลับไปก็ถ่วงเวลาได้ไม่จำกัดอยู่ดี ด้วยฐานะของขุนนางปราชญ์จอมยุทธ์ทั้งสอง อย่าบอกนะว่าจะลงมือฆ่าคนเพียงเพราะเขาไม่จ่ายเงินได้จริงๆ
ดังนั้น เจ้าสำนักที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองจะเผชิญชะตากรรมอะไรจึงตบอกรับประกันอย่างใจกว้างว่าเขายินดีลงนามสัญญา หลังจากกลับไปแล้วจะพยายามรวบรวมเงินทุนเพื่อมาขอบคุณผู้มีพระคุณใหญ่หลวงทั้งสองโดยเร็วที่สุด
สำหรับคำพูดที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าขายผ้าเอาหน้ารอด เยี่ยเว่ยหมิงกลับไม่แสดงออกถึงความไม่พอใจใดๆ กลับพยักหน้าให้อีกฝ่ายอย่างอ่อนโยนมาก จากนั้นถามซานเย่ว์ที่อยู่ข้างๆ ว่า “เป็นอย่างไร เขียนหลักฐานเสร็จหรือยัง”
ตอนนี้เอง จั่วจื่อมู่ถึงได้พบว่าที่แท้ตอนที่เขากับเยี่ยเว่ยหมิงกำลังต่อรองกัน ซานเย่ว์ก็กำลังรีบเขียนสัญญา
“รอสักครู่ กำลังจะเสร็จแล้ว!”
ในชีวิตจริงซานเย่ว์ต้องเคยเรียนเขียนพู่กันจีนมาก่อนแน่นอน แต่เพราะมีทักษะในเกมช่วยเสริม ตัวอักษรของนางจึงไม่ถือว่าขี้เหร่ เนื่องจากเนื้อหาในสัญญาทั้งหมด เยี่ยเว่ยหมิงเป็นเป็นคนส่งให้นางผ่านช่องทีม ดังนั้นนางจึงเขียนเร็วมาก ใช้เวลาเพียงสามนาที ก็เขียน ‘เอกสารหลักฐาน’ อย่างเรียบง่ายเสร็จแล้วหนึ่งฉบับ
พอเป่าหมึกบนกระดาษให้แห้งแล้ว ซานเย่ว์ก็ตรวจทานกับเนื้อหาที่เยี่ยเว่ยหมิงส่งมาในช่องทีมอีกรอบ หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีข้อมูลตกหล่น นางก็ส่งให้จั่วจื่อมู่โดยตรงตามคำชี้แนะของเยี่ยเว่ยหมิง “เจ้าสำนักจั่ว ขอเพียงเจ้าเขียนชื่อตัวเองลงบนนี้ แล้วทาบรอยมือด้านล่าง พวกเราก็จะคืนเด็กให้เจ้าทันที ปราชญ์จอมยุทธ์แห่งสำนักมือปราบเทพพูดจริงทำจริง เจ้าวางใจได้เลย”
สำหรับเรื่องนี้ จั่วจื่อมู่ที่เตรียมตัวจะผิดสัญญาตั้งแต่แรกแล้วกลับแสร้งรับสัญญาอย่างเอาจริงเอาจัง แต่พออ่านแล้วกลับสีหน้าเปลี่ยนไปมาก!
เนื่องจากเนื้อหาในสัญญานี้ แตกต่างกับที่เขาคิดไว้โดยสิ้นเชิง!
อิงตามความคิดของจั่วจื่อมู่ สัญญาที่เยี่ยเว่ยหมิงให้เขาลงนามไว้ เป็นเพียงเนื้อหาว่าจั่วจื่อมู่ติดเงินหรืออุุปกรณ์พวกเขาสองคนอยู่เท่าไร อย่างมากก็เพิ่มเวลาจำกัดว่าต้องคืนให้หมดภายในเมื่อไร
สำหรับเอกสารประเภทนี้ เขาอาศัยวิธีการร้องทุกข์ว่าจนมายืดเวลาไม่จำกัดได้เลย อย่างไรเสียในเมื่ออีกฝ่ายเป็นขุนนางปราชญ์จอมยุทธ์ ก็จะต้องรักชื่อเสียงตัวเองแน่นอน ไม่ถึงขั้นบีบเขาจนตายเพื่อเงินและอุปกรณ์เล็กน้อยแค่นี้
เพราะหากทำอย่างนั้น ก็จะต้องถูกหักค่าวีรบุรุษจำนวนมาก!
ทว่าบนเอกสารที่เยี่ยเว่ยหมิงให้มา กลับไม่เอ่ยถึงเงินทองหรืออุปกรณ์แม้แต่ตัวเดียว แต่เป็นจั่วซานซานที่เขาคิดว่าไม่มีทางปรากฏอยู่บนเอกสารฉบับนี้แน่นอน จั่วซานซานถูกเอ่ยชื่อออกมาแล้ว
เนื้อหาคร่าวๆ ในเอกสารก็คือ จั่วซานซาน บุตรชายของจั่วจื่อมู่ถูกน้องรองของสี่คนโฉด ‘จอมโฉดบาปหนา’ เยี่ยเอ้อร์เหนียงลักพาตัวไป เยี่ยเอ้อร์เหนียงประพฤติตัวเช่นไร ชาวยุทธ์ทุกคนต่างรู้ดี ดังนั้น ด้วยความที่จั่วจื่อมู่รักลูกมาก จึงเป็นฝ่ายเสนอเงื่อนไขว่าจะนำตัวเด็กบริสุทธิ์สี่ห้าคนมาแลกกับจั่วซานซานซึ่งเป็นลูกชาย จากนั้นก็ถูกเยี่ยเอ้อร์เหนียงข่มขู่อีก หมายจะควักดวงตาสาวน้อยผู้บริสุทธิ์คนหนึ่งเพื่อแลกกับความปลอดภัยของลูกชายตัวเอง!
สุดท้าย ก็เป็นส่วนที่เว้นไว้ให้จั่วจื่อมู่ลงนาม
เมื่อเห็นเอกสารที่เทียบเท่ากับหลักฐานในชั้นศาล จั่วจื่อมู่ก็รู้สึกแย่ไปทั้งตัวแล้ว “ปราชญ์จอมยุทธ์ทั้งสอง พวกท่านสองคนหมายความว่าอย่างไร”
“ก็หมายความตามตัวอักษรบนนั้นน่ะสิ” ตอนนี้เยี่ยเว่ยหมิงสีหน้าสุขุมเยือกเย็นที่สุด มองไม่ออกถึงคลื่นทางอารมณ์ใดๆ “จนกระทั่งตอนนี้ เยี่ยเอ้อร์เหนียงก็ยังก่อคดีที่ต้าหลี่เป็นชุด ใครจะไปรู้ว่านางจะลงมือกับลูกชายเจ้าอีกหรือไม่ ถ้านางลงมืออีก เจ้าจะเสนอเงื่อนไขแบบเดิมที่จะใช้เด็กบริสุทธิ์คนอื่นมาแลกกับลูกชายตัวเองอีกหรือไม่…
…ที่ข้าทำอย่างนี้ก็เพื่อทิ้งหลักฐานเอาไว้เท่านั้น ถ้าเกิดคดีเด็กหายตัวไปจำนวนมาก จะได้ไปหาเจ้าสำนักจั่วเพื่อขอความร่วมมือในการสืบสวนทันทีก็เท่านั้นเอง…
…แต่เจ้าสำนักจั่วก็วางใจได้เลย ว่ากันว่าคนเราหากไม่ทำเรื่องผิดมโนธรรม ก็ไม่ต้องกลัวผีมาเคาะประตูบ้าน ตราบใดที่เจ้าสำนักจั่วไม่ได้ทำเรื่องที่โหดร้ายเป็นภัยต่อฟ้าดินจริงๆ ข้าเชื่อว่าขุนนางที่ต้าหลี่จะต้องคืนความบริสุทธิ์ให้เจ้าสำนักจั่วแน่นอน”
เมื่อได้ยินเยี่ยเว่ยหมิงระบุว่าเขาเป็นผู้ต้องสงสัย จั่วจื่อมู่ก็รู้สึกปวดประสาทอยู่พักหนึ่ง “ต้าหลี่ไม่ได้อยู่ในการควบคุมจากสำนักมือปราบเทพของจงหยวน ทั้งสองท่านจัดการคดีเกินอำนาจเช่นนี้ ไม่ค่อยเหมาะสมกระมัง”
“ไม่มีปัญหา” เยี่ยเว่ยหมิงตอบอย่างร่าเริงมาก “พวกเรามาที่หุบเขาว่านเจี๋ยครั้งนี้ ก็เพราะจักรพรรดิแคว้นต้าหลี่ต้วนเจิ้งหมิงฝากฝังให้มาสืบเรื่องบางอย่าง ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างพวกเรากับต้าหลี่ เจ้าสำนักจั่วไม่ต้องเป็นห่วงเลย”