ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ – ตอนที่ 451 ข้าคือปรมาจารย์ฝึกสัตว์

ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 451 ข้าคือปรมาจารย์ฝึกสัตว์

ตอนที่ 451 ข้าคือปรมาจารย์ฝึกสัตว์

ในหุบเขาว่านเจี๋ย บนพื้นที่ว่างนอกคุกห้องหิน

กลุ่มยอดฝีมือฝั่งสกุลต้วนต้าหลี่ รวมทั้งสามคนโฉดและผู้เล่นหกคนมากันครบแล้ว ตั้งท่าเตรียมทำศึกตัดสินแล้ว

พอรู้สึกได้ว่ามีคนมา จิวหมัวจื้อที่นั่งอยู่บนเบาะกลมก็ลืมตาขึ้น แต่กลับเห็นพอดีว่าในบรรดาคนของสกุลต้วนต้าหลี่ มีสี่คนที่ยืนแตกแถวออกมา พวกเขาก็คือสี่ยอดฝีมือที่นัดกันไว้แล้วว่าจะเตรียมท้าสู้พระธรรมจักรใหญ่

จักรพรรดิต้าหลี่-ต้วนเจิ้งหมิง โฉดชั่วบาปหนัก-ต้วนเหยียนชิ่ง เจ้าอาวาสวัดเด็ดบุปผา-หลวงจีนคิ้วเหลือง…

มือปราบขั้นห้าแห่งสำนักมือปราบจากภาคกลาง ขุนนางปราชญ์จอมยุทธ์ มีฉายาว่าผู้ยอดเยี่ยมในแนวทางกระบี่…เยี่ยเว่ยหมิง!

หลังจากยืนยันตัวตนของทั้งสี่คนได้แล้ว บนใบหน้าจิวหมัวจื้อก็เผยรอยยิ้มโอนอ่อน ลุกขึ้นจากเบาะกลมแล้วบอกว่า “ทั้งสี่คือผู้ที่จะมาท้าสู้กับอาตมาหรือ ดูมีราศีไม่ธรรมดา ก่อนอื่นขอแนะนำตัวสักหน่อย อาตมาคือพระธรรมจักรใหญ่แห่งภูเขาต้าเสวี่ยซาน ราชครูถู่ปัว จิวหมัวจื้อ ทั้งสี่กรุณาแจ้งชื่อแซ่ของตัวเองเช่นกัน พวกเราเจรจากันก่อนแล้วค่อยใช้กำลัง แจ้งชื่อแล้วค่อยลงมือก็ยังไม่สาย”

มองออกเลยว่าจิวหมัวจื้อผู้นี้ชอบโอ้อวดพอสมควร

อย่างน้อยเมื่ออยู่ในการต่อสู้ที่รู้ตัวว่าตัวเองจะชนะแน่นอน เขาก็ยังค่อนข้างให้ความสำคัญกับธรรมเนียม ‘รายงานชื่อก่อนฆ่า’

สำหรับเรื่องนี้ ต้วนเจิ้งหมิงพูดเปิดคนแรก “ผู้น้อยคือจักรพรรดิต้วนเจิ้งหมิงแห่งต้าหลี่ ข้างกายคือไต้ซือคิ้วเหลือง เจ้าอาวาสวัดเด็ดบุปผา”

หลวงจีนคิ้วเหลืองถูกต้วนเจิ้งหมิงแย่งบทพูดแล้วแต่ก็ไม่ได้ถือสา เพียงพยักหน้าอมยิ้มให้จิวหมัวจื้อ กล่าวนามพระพุทธเจ้าเพื่อยืนยันว่าตัวเองไม่ได้เป็นใบ้

ส่วนต้วนเหยียนชิ่งก็กล่าวเสียงเย็นจากช่องท้อง “ก่อนหน้านี้เจ้ากับข้าเคยประมือกันมาแล้ว คงจะไม่ต้องรายงานชื่อทุกครั้งกระมัง”

จิวหมัวจื้อยิ้มบางๆ สื่อว่าไม่ถือสา

ตอนนี้เอง เยี่ยเว่ยหมิงก็ก้าวขึ้นมาข้างหน้าหนึ่งก้าว หัวเราะแห้งๆ พร้อมกล่าวว่า “ผู้น้อยเยี่ยเว่ยหมิงจากสำนักมือปราบเทพภาคกลาง ก่อนหน้านี้เคยทักทายผู้อาวุโสแล้ว ที่จริงราชครูเคยบอกไว้ว่าในหนึ่งครั้งถูกท้าสู้จากยอดฝีมือได้สี่คน แต่ฝั่งพวกเราหายอดฝีมือที่มีคุณสมบัติที่จะสู้กับผู้อาวุโสไม่เจอจริงๆ ทำได้เพียงให้คนรุ่นหลังฝีมือตื้นเขินอย่างผู้น้อยมาแก้ขัดให้ครบจำนวนไปก่อน”

ขณะที่พูด รอยยิ้มบนใบหน้าเยี่ยเว่ยหมิงก็ชัดเจนยิ่งกว่าเดิม “ที่จริงผู้น้อยก็รู้จักข้อบกพร่องของตัวเองอยู่บ้าง ยอมรับว่าตัวเองยังห่างไกลกับคุณสมบัติที่จะลงมือกับผู้อาวุโส ต่อให้ดันทุรังแล้ว แต่อย่างมากก็นับเป็นยอดฝีมือเล็กๆ ครึ่งเดียวผู้หนึ่งเท่านั้น…

…หรือไม่อย่างนั้น ผู้อาวุโสยืดหยุ่นเงื่อนไขของคู่ต่อสู้สี่คนดีไหม ให้สหายอีกคนของข้ามาเข้าร่วมด้วย ถือว่ารวมกับยอดฝีมือครึ่งเดียวอีกคนพอดี ทำอย่างนี้ชื่อเสียงบารมีของท่านถึงจะไม่ตกต่ำลง…

…ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสมีความคิดเห็นอย่างไร”

พอได้ยินข้อเสนอหน้าด้านไร้ยางอายของเยี่ยเว่ยหมิง จิวหมัวจื้อไม่แสดงอาการทางสีหน้าเลยสักนิด กลับประนมมือกล่าวอย่างอ่อนโยนมากว่า “จอมยุทธ์น้อยเยี่ยถ่อมตัวเกินไปแล้ว เจ้าไม่รู้จักคำว่าคนรุ่นหลังฝีมือตื้นเขิน เจ้าคือขุนนางปราชญ์จอมยุทธ์ผู้โด่งดังจากภาคกลาง ทั้งยังได้ฉายาว่าเป็นผู้ยอดเยี่ยมในแนวทางกระบี่ คนกระบี่เยี่ยเว่ยหมิง!…

…จอมยุทธ์น้อยเยี่ยมีคุณสมบัติที่จะเป็นหนึ่งในสี่คู่ต่อสู้ของอาตมาแน่นอน ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องเพิ่มจำนวนคนท้าสู้อีกแล้ว”

มารดาเจ้าเถอะ!

เยี่ยเว่ยหมิงแม้จะคาดไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าจิวหมัวจื้อจะปฏิเสธข้อเสนอของตน แต่กลับนึกไม่ถึงว่าตอนที่อีกฝ่ายปฏิเสธยังไม่ลืมจะด่าตนทางอ้อมด้วย

สิ่งนี้ทำให้เขาปวดไข่มาก

หลังจากเคยศึกษาการกระทำของจิวหมัวจื้อในเนื้อเรื่องอย่างละเอียด เยี่ยเว่ยหมิงก็พบว่านิสัยของจิวหมัวจื้อก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น แต่สันดานนี่ไม่ไหวเลยจริงๆ ถึงขนาดว่าดีกว่าเยี่ยเว่ยหมิงไม่เท่าไร…แค่กๆ

เอาเป็นว่าจิวหมัวจื้อคนนี้แม้จะเป็นยอดฝีมือ แต่ไม่ถือว่าเป็นวิญญูชนแน่นอน

วิธี ‘หาช่องโหว่จากความจริงใจรังแกวิญญูชน’ ใช้ไม่ได้ผลกับเขาเลย ขอเพียงเป็นเงื่อนไขที่สอดคล้องกับผลประโยชน์ เจ้าหมอนี่ก็ไม่ถือสาที่จะทำเรื่องที่ลดเกียรติตัวเอง

ดังนั้นคำขอที่ฟังดูไร้เหตุผลของเยี่ยเว่ยหมิงก่อนหน้านี้ก่อนหน้านี้ ที่จริงแล้วเป็นเพียงการปูหนทางเท่านั้น หลังจากถูกอีกฝ่ายปฏิเสธ เขากลับกวักมือเรียกเจ้าแดงออกมาจากกำไลสัตว์เลี้ยงตามอำเภอใจ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้น้อยในฐานะที่เป็นปรมาจารย์ฝึกสัตว์ หากจะนำสัตว์เลี้ยงของตัวเองออกรบด้วย ผู้อาวุโสคงไม่ปฏิเสธอีกใช่หรือไม่”

ปรมาจารย์ฝึกสัตว์มารดาเจ้าสิ!

จิวหมัวจื้อย่อมมองออกอยู่แล้ว ที่เยี่ยเว่ยหมิงเรียกตัวเองว่าเป็นปรมาจารย์ฝึกสัตว์เป็นคำพูดเหลวไหลทั้งนั้น

แต่ในเมื่อสัตว์เลี้ยงตัวนี้ถูกเรียกออกมาจากอุปกรณ์ที่พกติดตัวของเยี่ยเว่ยหมิง ย่อมถือว่าเป็นส่วนหนึ่งในความสามารถของเขา ประกอบกับก่อนหน้านี้เขาเพิ่งปฏิเสธคำขอที่เหลวไหลสุดๆ ของเยี่ยเว่ยหมิง ตอนนี้เปลี่ยนเป็นคำขอที่สมเหตุสมผลด้วยประการทั้งปวงแล้ว เขาจึงไม่สะดวกจะปฏิเสธอีก

ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ สัตว์ปีกตัวนี้ถือเป็นกำลังหนุนที่เข็มแข็งสำหรับผู้เล่นในปัจจุบัน แต่สำหรับ BOSS อย่างจิวหมัวจื้อ สัตว์เลี้ยงตัวนี้ไม่ได้อยู่ในสายตาเขาลย

นกน้อยตัวหนึ่งที่ดีดนิ้วเดียวก็กำจัดได้แล้ว ไม่มีค่าพอให้เขาเปลืองคำพูด

ดังนั้น จิวหมัวจื้อจึงพยักหน้าเบาๆ “แล้วแต่เจ้า!”

“ได้!”

เยี่ยเว่ยหมิงรอแค่ประโยคนี้จากเขา

ตอนที่จิวหมัวจื้อรู้สึกไม่ชอบมาพากล กลับเห็นเขาพลันโบกมือหนึ่งที เก็บเจ้าแดงที่เพิ่งเรียกออกมาเข้าในกำไลสัตว์เลี้ยงอีกครั้ง จากนั้นพลิกข้อมือ เรียกแผ่นเหล็กสีดำออกมาอีกแผ่น

มันคือประกาศิตเหล็กนิล!

เป็นเจ้านี่แหละ ออกมาเถอะ เซี่ยเยียนเค่อ!

เมื่อกรอกกำลังภายในเข้าไปข้างใน บนประกาศิตเหล็กนิลก็เปล่งแสงสีขาวแสบตาออกมาทันที จากนั้นนั้นร่างของเซี่ยเยียนเค่อก็ปรากฏขึ้นมากลางอากาศตรงหน้าเยี่ยเว่ยหมิง

หลังจากขมวดคิ้วมองเยี่ยเว่ยหมิงแวบหนึ่ง ในดวงตาเซี่ยเยียนเค่อก็ฉายแววปลาบปลื้ม

ปมในใจของประกาศิตเหล็กนิลแผ่นสุดท้าย ในที่สุดก็จึงเวลายุติแล้ว!

“เจ้าเด็กนี่เรียกข้าออกมาหรือ”

หลังจากมองเยี่ยเว่ยหมิงอย่างพึงพอใจแวบหนึ่ง เซี่ยเยียนเค่อก็กล่าวอย่างใจกว้างมากว่า “ว่ามาเถอะ เจ้าใช้ประกาศิตเหล็กนิลเรียกตาแก่ผู้นี้ออกมา มีเรื่องอะไรจะขอร้อง”

เยี่ยเว่ยหมิงกุมหมัดคารวะเซี่ยเยียนเค่อด้วยความเคารพ พร้อมกล่าวส่งที่ทำให้ฆราวาสหน้าผาหมัวเทียนท่านนี้แทบจะเสียสติอยู่ตรงนั้น “ผู้น้อยอยากขอให้ผู้อาวุโสร่วมมือกับผู้อาวุโสเหล่านั้น เพื่อไปท้าสู้กับพระธรรมจักรใหญ่แห่งภูเขาต้าเสวี่ยซาน ราชครูถู่ปัวจิวหมัวจื้อ ไปในนามสัตว์เลี้ยงของผู้น้อย!”

สัตว์เลี้ยง?

เซี่ยเยียนเค่อได้ยินแล้วโมโหทันที “เจ้าเด็กเปรต นี่เจ้ากำลังเหยียดหยามข้าหรือ”

“ผู้อาวุโสเซี่ยโปรดระงับโทสะ” เยี่ยเว่ยหมิงกล่าวด้วยสีหน้าทะเล้น “รายชื่อผู้เข้าร่วมท้าสู้มีจำกัด เพื่อรับประกันชัยชนะ ผู้น้อยทำได้เพียงวางแผนระดับต่ำเช่นนี้…

…แน่นอนว่าคำขอนี้ของผู้น้อยทำลายชื่อเสียงของผู้อาวุโสจริงๆ หากผู้อาวุโสจะปฏิเสธ ผู้น้อยก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ตรงนี้มีผู้อาวุโสมากมายเป็นพยาน คิดเสียว่าผู้น้อยไม่เคยขอร้องมาก่อนก็แล้วกัน”

เจ้าเวรนี่ ตอนนั้นที่อยู่เมืองเจิ้นเจียง เจ้าบอกว่าจะสังหารข้าจนเลเวลเหลือศูนย์ไม่ใช่หรือ

ตอนเจ้าพูดประโยคนี้คงคิดไม่ถึงแน่ๆ ว่าชั่วพริบตาเดียว อาจ่งจะมอบประกาศิตเหล็กนิลที่ตัดสินชะตาเจ้าได้มาให้ข้า

ภายนอกเยี่ยเว่ยหมิงดูนอบน้อมถ่อมตน แต่ความจริงลำพองใจมาก เซี่ยเยียนเค่ออยากจะตบเจ้าเด็กน่ารังเกียจนี่ให้ตายคาที่จริงๆ

แต่เพื่อรับประกันบทบาทจอมยุทธ์ผู้รักษาสัจจะอันดับหนึ่งในใต้หล้า ในที่สุดเซี่ยเยียนเค่อก็ข่มความโกรธในใจเอาไว้ “ก็ได้ ข้าเซี่ยเยียนเค่อพูดจริงทำจริง เรื่องนี้ยกประโยชน์ให้เจ้าแล้วกัน”

อาจจะรู้สึกว่าร่วมรบในนามสัตว์เลี้ยงเสียหน้าเกินไป หลังจากเซี่ยเยียนเค่อรับปากเยี่ยเว่ยหมิงแล้วก็ไม่ถามจิวหมัวจื้อเลยว่ายินยอมหรือไม่ ยกมือขึ้นดีดหินไปทางจิวหมัวจื้อทันที

วิชาดรรชนีศักดิ์สิทธิ์!

ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ

ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ

Status: Ongoing
ไหนๆ ก็โดน NPC หลอกมาเข้าสำนักมือปราบที่ไม่มีวิทยายุทธ์ให้ฝึกแล้ว อย่างน้อยก็ขอสกิลดีๆ หน่อยแล้วกัน!นิยายแฟนตาซีแนวเกมออนไลน์ที่จะพาคุณไปท่องยุทธภพและไขคดีสไตล์มือปราบขั้นเทพ!เยี่ยเว่ยหมิง หนึ่งในเด็กหนุ่มที่ลงทะเบียนสมัครใจอพยพไปต่างโลกเพื่อป้องกันสมองตายระหว่างหลับจำศีลตอนเดินทางในอวกาศเขาจึงต้องร่วมเล่นเกมออนไลน์ที่มีฉากหลังเป็นยุทธภพก่อนจะโดน NPC ลึกลับหลอกเข้าสำนักมือปราบที่ไม่มีวิทยายุทธ์ให้ฝึกแต่ถึงกระนั้นก็ใช่ว่าสำนักมือปราบจะไม่มีอะไรเลยเพราะหลังจากที่เยี่ยเว่ยหมิงทำแบบทดสอบของใต้เท้าซ่งผ่านเขาก็ได้รับสกิลตัดสินคดีที่พ่วงมาด้วยเวทชันสูตรศพและเวทบรรจุศพซึ่งเวทบรรจุศพนี้เองทำให้เขาสามารถรับของที่ซ่อนไว้บนตัวผู้ตายได้รวมถึงดูดเอาค่าประสบการณ์ทักษะยุทธ์ของผู้ตายได้อีกด้วยเยี่ยมเลย! ตอนนี้เขาพร้อมที่จะออกไปไขคดีทั่วยุทธภพแล้ว!…[ติ๊ง! เปิดใช้พาสซีฟสกิล ‘เวทชันสูตรศพ’ คุณพบ…][ติ๊ง! สกิลพิเศษ ‘เวทบรรจุศพ’ : สามารถดูดเอาค่าประสบการณ์ทักษะยุทธ์ของผู้ตายโดยการจัดการศพ BOSS][ติ๊ง! จัดการศพผู้อาวุโสสำนักไท่ซาน ได้รับ ‘ตระหนักรู้เคล็ดกระบี่’ เพิ่มค่าประสบการณ์เคล็ดกระบี่ 5000 แต้ม]

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท