รักนะจุ๊บๆ คุณสามีพันล้าน บทที่ 563 พิรัตน์
หนึ่งชั่วโมงต่อมา
ร้องไห้จนเสียงแหบ ดวงตาก็บวมเหมือนลูกท้อ เมื่อเห็นเทวิกาเดินเข้ามา รีบยื่นมือทั้งสองข้างไปให้เทวิกาอุ้มทันที
เทวิกาเดินไปข้างหน้า แล้วรับเด็กน้อยมาจากมือตำรวจหญิง หลังจากนั้นเด็กน้อยได้เอามือทั้งสองข้างกอดคอเทวิกาแน่นไม่ยอมปล่อย และสะอื้นไม่ยอมหยุด
“ลูกคนที่สองของฉันตัวโตเท่าเขาเลย ประสบการณ์การเลี้ยงดูเด็กฉันมีแน่นอนอยู่แล้ว แต่ก็ไม่สามารถดูแลเขาได้ เกลี้ยกล่อมไม่ได้ ชงนมให้แล้วก็ไม่ยอมดื่ม ให้ของเล่นก็ไม่ยอมเล่น อุ้มเขาเดินเล่นไปมา ก็ยังร้องไห้ไม่หยุดอีก ฉันยังไม่เคยเห็นเด็กที่ร้องไห้เก่งขนาดนี้มาก่อนเลย”
ตำรวจหญิงคนนั้นพูดบ่นกับเทวิกาออกมา
“นับตั้งแต่พวกคุณส่งเขามาถึงที่นี่ ยังไม่เคยหยุดร้องไห้เลย แถมร้องไห้จนอ๊วกไปสองครั้งอีกด้วย”
เทวิกากล่อมเด็กน้อยอย่างน่าสงสาร
“หลังจากที่พวกเราเก็บเขาได้ ได้เลี้ยงดูเขาไปแค่ชั่วโมงกว่าเอง”
ตำรวจหญิงยื่นิทิชชู่ไปให้เทวิกา เธอรับทิชชู่มาแล้วช่วยเด็กน้อยเช็ดน้ำตา จากนั้นกล่อมไปสักพัก เด็กน้อยถึงหยุดร้องไห้
“อาจเป็นเพราะเขากับพวกคุณมีวาสนาต่อกัน คิดว่าพวกคุณเป็นพ่อแม่ของเขา แล้วพวกคุณส่งเขามาที่นี่แล้วกลับไป เขาคงคิดว่าพ่อแม่ไม่เอาเขาแล้ว เลยร้องไห้อย่างเอาเป็นเอาตาย”
ทุกคนได้แต่คาดเดาแบบนี้
“ใช่แล้ว นี่คือกระดาษที่ค้นเจอมาจากตัวเด็ก ถูกฉีกมาจากทะเบียนบ้าน ข้างบนเขียนวันเดือนปีเกิดของเขาอยู่ และมีเลขประจำตัวเด็กกับชื่อของเด็ก แต่ที่อยู่ภูมิลำเนาและหมายเลขประจำตัวข้างหน้าหลายตัวถูกฉีดขาดไป”
กระดาษใบนั้นที่ค้นพบในตัวเด็ก ตำรวจหญิงได้ยื่นให้กับเทวิกา
ตอนที่เทวิกาเก็บเด็กคนนี้ได้นั้น ไม่ได้ค้นดูเสื้อผ้าบนตัวเด็กว่ามีของอะไรซ่อนไว้บ้าง
หลังจากรับกระดาษมาดูแล้ว มีชื่อว่าพิรัตน์ ตอนนี้เพิ่งอายุครบหนึ่งขวบ
“หม่าม้า”
มือทั้งสองข้างของพิรัตน์ดึงเสื้อผ้าของเทวิกาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย แล้วร้องแรกหม่าม้าออกมาด้วยเสียงแหบพร่า
เทวิกา: “……ฉันไม่ใช่หม่าม้าของเธอนะ”
“หม่าม้า”
เด็กน้อยดึงดันจะเรียกเทวิกาหม่าม้า
เทวิกาหันไปมองหน้าสามีอย่างทำอะไรไม่ได้
ญาณินมองไปที่พิรัตน์ รู้สึกว่าเด็กคนนี้กับพวกเขามีวาสนาต่อกัน เหมือนวิกาในตอนนั้น เธอจึงลองถามออกมาว่า: “หรือว่า เด็กคนนี้พวกเราเอาไปเลี้ยงไว้ก่อน พวกคุณช่วยเขาตามหาพ่อแม่ต่อ ถ้าตามหาเจอ หรือมีคนมาแจ้งว่าทำเด็กหาย พวกคุณค่อยแจ้งพวกเราอีกที แล้วพวกเราค่อยส่งเด็กคืนกลับมา ”
“ฉันเป็นคุณผู้หญิงของตระกูลสาระทา”
เพื่อให้ทุกคนในสถานีตำรวจไว้วางใจ ญาณินจึงพูดฐานะของตัวเองออกมาก่อน
“นี่คือลูกสาวและลูกเขยของฉัน”
หลังจากที่ญาณินเปิดเผยฐานะของตัวเองออกมาแล้ว ทุกคนในสถานีตำรวจถึงได้รู้ว่าพวกเขาคือเทวิกากับยศพัฒน์นั่นเอง เรื่องที่คุณหนูใหญ่ของตระกูลสาระทากลับมา ทุกคนในเมืองซูเพร่ารู้หมด
มีแต่คุณผู้หญิงของตระกูลสาระทาไม่ค่อยปรากฏตัวให้เห็นเท่าไหร่ และได้ยินมากลายเป็นบ้าแล้ว ตอนนี้มองญาณินที่สง่าผ่าเผย ไม่เหมือนคนบ้าเลยสักนิด คิดว่าน่าจะเป็นเพราะตามหาลูกสาวเจอ คุณผู้หญิงเลยหายดีเป็นปรกติแล้ว
“ได้”
หลังจากที่ทุกคนพูดคุยกันแล้ว พิจารณาดูแล้วว่าพิรัตน์กล่อมยาก เอาแต่เทวิกาคนเดียว และเพื่อเห็นแก่เด็กแล้ว จึงตกลงข้อเสนอแนะของญาณิน
เมื่อออกมาจากสถานีตำรวจ เทวิกาและสามีได้มีลูกเพิ่มมาอีกคน
ที่พิรัตน์ชอบเรียกคนอื่นหม่าม้าไปเรื่อย เป็นเพราะว่าตอนนี้เขาเรียกเป็นแต่หม่าม้า แต่สิ่งที่น่าแปลกคือ เขาไม่ได้เรียกบรรดาตำรวจหญิงว่าแม่เลย แต่เมื่อถูกเทวิกาอุ้ม ก็จะเรียกหม่าม้าไม่หยุด และเมื่อเปลี่ยนไปอยู่ในอ้อมกอดของญาณิน ก็จะเรียกญาณินหม่าม้าเหมือนกัน
ทำให้สองแม่ลูกพูดไม่ออกบอกไม่ถูก
บางที นี่อาจเป็นโชคชะตาก็ได้
ระหว่างทางกลับบ้าน เทวิกาปรึกษากับสามีว่า: “ถ้าหากตามหาพ่อแม่ของพิรัตน์ไม่เจอเลย ยศพัฒน์ หรือว่า พวกเรารับเลี้ยงเขาดี”
ยศพัฒน์ยังไม่ทันได้ตอบ ญาณินก็ได้พูดขึ้นว่า: “วิกา ในอนาคตหนูกับยศพัฒน์จะมีลูกของตัวเอง ไม่ต้องรับเลี้ยงพิรัตน์เป็นลูกหรอก แม่ไม่คลอดลูกอีกแล้ว และแม่ก็เหงาอยู่คนเดียว ให้แม่รับเลี้ยงพิรัตน์เถอะ แล้วให้หนูเป็นพี่สาว”
เทวิกา: “……แม่ พ่อหนูจะตอบตกลงไหม?”
ถึงแม้พ่อแม่จะอายุมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เธอรู้สึกว่าพ่อของเธอน่าจะไม่อยากรับเลี้ยงเด็ก
“อีกอย่างสถานการณ์ของครอบครัวเราเป็นแบบนี้ รับเลี้ยงเขา อาจไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเขาก็ได้”
เทวิกากลัวว่าพิรัตน์อยู่ที่บ้านของตระกูลสาระทาจะถูกรังแก
“ให้หนูกับยศพัฒน์รับเลี้ยงดีกว่า เลี้ยงไว้ข้างกายพวกเรา หนูจะเลี้ยงดูเขาเหมือนลูกแท้ๆ เลยค่ะ”
สาเหตุที่แม่ห้ามเธอรับเลี้ยงพิรัตน์เป็นเพราะกลัวครอบครัวของฝั่งสามีจะไม่พอใจ และกลัวจะกระทบชีวิตการแต่งงานของเธอกับยศพัฒน์อีกด้วย
สองแม่ลูกหันไปมองยศพัฒน์พร้อมกัน เพื่อให้เขาแสดงท่าทีออกมา
ยศพัฒน์หยิกที่แก้มของพิรัตน์เบาๆ เด็กน้อยยกมือขึ้นแล้วปัดมือเขาออกทันที แถมแสดงท่าทางจะตีคนออกมาอีก ทำให้ยศพัฒน์รู้สึกตลกแล้วพูดออกมาว่า: “เด็กคนนี้ไม่ชอบผมเลยนะ”
“แม่ วิกา พวกคุณไม่ต้องแย่งกันหรอก ในเมื่อเด็กคนนี้กับพวกเรามีวาสนาต่อกัน ก็ให้ผมกับวิการับเลี้ยงดูไว้ข้างกายก่อน ยังไม่ต้องทำเรื่องรับเลี้ยงอย่างเป็นทางการ รอให้ทางตำรวจตรวจสอบเลขประจำตัวประชาชนได้ครบถ้วนก่อน ถ้าได้เลขประจำตัวมาแล้วก็จะรู้ว่าเขามาจากไหนเอง”
“แบบนี้ขอบเขตในการตามหาญาติของเขาก็จะแคบลง ถ้าเขาไม่เหลือญาติแล้ว ก็ใช้หมายเลขบัตรประจำตัวประชาชนของเขาไปเปิดทะเบียนบ้านเล่มใหม่ แบบนี้ก็จะไม่กระทบต่อการเรียนหนังสือ การแต่งงานมีลูกในอนาคตของเขา ”
เด็กคนนี้เคยเข้าทะเบียนบ้านอยู่ เพียงแต่ว่าที่อยู่และหมายเลขบัตรประจำตัวประชาชนข้างหน้าถูกฉีดทิ้งไปเท่านั้นเอง
เชื่อว่าทางตำรวจน่าจะตรวจสอบเจอตัวตนที่แท้จริงของพิรัตน์ได้
หลังจากที่สองแม่ลูกฟังคำพูดของยศพัฒน์แล้ว ต่างรู้สึกว่ามีเหตุผล จึงตัดสินใจตามนั้น
พิรัตน์ให้เทวิกากับยศพัฒน์เลี้ยงไว้ข้างกายเป็นการชั่วคราว รอให้หาพ่อแม่ของเขาเจอก่อน ค่อยส่งเขากลับไปอยู่กับครอบครัว แต่ถ้าพ่อแม่ไม่อยู่แล้ว หลังจากตรวจเจอตัวตนที่แท้จริงของเขาแล้ว ค่อยช่วยเขาทำเรื่องขอทะเบียนบ้านใหม่ จะได้ไม่กระทบเรื่องการเรียน และแต่งงานมีลูกในอนาคตได้
แต่ว่า ตอนที่เทวิกาอุ้มเด็กน้อยกลับไปถึงคฤหาสน์ตระกูลสาระทานั้น ก่อให้เกิดความกลโหลไม่น้อย
คุณหญิงย่าคือคนแรกที่ไม่เห็นด้วยที่เทวิกาจะรับเลี้ยงเด็กที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าไว้ข้างกาย
ส่วนคนอื่นๆ เมื่อได้ยินข่าว ก็รีบวิ่งมาดูความคึกคักทันที
“คุณย่า คุณย่าดูเขาสิว่าเขาน่ารักแค่ไหน แถมมีวาสนากับเราอีกด้วย พ่อแม่ของเขายังตามหาไม่เจอ ส่งเขาไปที่สถานีตำรวจ ก็ร้องไห้ไม่หยุด ตอนนี้หนูเลี้ยงดูไว้เป็นการชั่วคราวเท่านั้นเอง ไม่ได้ทำเรื่องรับเลี้ยงอย่างเป็นทางการ เขาไม่กระทบต่อผลประโยชน์ของใครทั้งนั้น”
เทวิกาลูบหัวพิรัตน์ที่นอนหลับแล้วเบาๆ สายตาเต็มไปด้วยความแน่วแน่: “คุณย่า ที่หนูพาเขากลับมาก็หมายความว่าหนูตัดสินใจแล้วว่าจะเลี้ยงดูเขา พวกท่านใครจะคัดค้านก็ไม่มีประโยชน์ แต่ถ้ากลัวว่าเด็กน้อยจะกินจะดื่มของพวกท่านไปแล้วหล่ะก็ ต่อไปนี้ เรื่องการกินของเขา หนูจะไม่ใช่เงินของตระกูลสาระทาแม้แต่บาทเดียว”
เธอกับยศพัฒน์มีปัญญาเลี้ยงดูเด็กคนนี้ได้
“วิกา เด็กคนนี้ไม่รู้หัวนอนปลายเท้า เธอกับยศพัฒน์ยังไม่มีลูกด้วยกัน เธอเลี้ยงเขาไว้ข้างกาย คนอื่นจะพูดเธอยังไง?ถึงแม้เธอจะไม่สนใจว่าคนอื่นจะพูดยังไง แต่เด็กคนนี้ถูกทิ้งไว้ข้างถนนน ก็แสดงว่าไม่ใช่เรื่องปรกติ ไม่แน่อาจมีโรคประจำตัวที่รักษาไม่ได้ หรืออาจถูกศัตรูตามฆ่าก็ได้”
“หนูเลี้ยงเขาไว้ ก็เท่ากับว่าเลี้ยงตัวปัญหาไว้ข้างกาย”
คุณหญิงย่ายังคงเกลี้ยกล่อมเทวิกาอยู่ จากนั้นหันไปจ้องญาณินด้วยความโกรธ แล้วด่าญาณินออกมาว่า: “เธอเป็นแม่ประเภทไหนกันแน่?วิกายังเด็กรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่เธอก็ยังรู้เท่าไม่ถึงการณ์เหมือนกันเหรอ?”