รักนะจุ๊บๆ คุณสามีพันล้าน บทที่ 568 ลูกเขยพึ่งพาได้ดีกว่าลูกชายเสียอีก
“แม่กับวิกาชอบเด็กคนนั้นมาก วิกาพูดว่า ตอนนั้นเธอก็ถูกทิ้งไว้ข้างถนนแล้วถูกลุงสิรภพเก็บไปที่บ้าน เห็นพิรัตน์ก็เหมือนเห็นตัวเองในตอนนั้น เธอบอกว่าอย่างสร้างมิตรไมตรีที่ดี”
เมื่อได้ยินลูกชายพูดแบบนี้ ไซม่อนยังสามารถพูดอะไรได้อีก?
อีกอย่างภรรยาและลูกสาวชอบพิรัตน์มากขนาดนั้น ถ้าหากเขาดึงดันจะส่งพิรัตน์ออกไป ก็ต้องถูกภรรยาด่าแน่
“ยศพัฒน์ นายกับวิกรีบมีลูกกันเลย พ่อจะได้อุ้มหลานสักที”
ไซม่อนหันไปมองลูกชายตัวเองด้วยสายตารังเกียจ แล้วพูดประชดออกมาว่า: “ถ้ารอประยสย์หล่ะก็ คงต้องรอจนพ่อตายก็ยังไม่ได้เป็นปู่หรอก ขอหลานของลูกสาวมาเรียกปู่ก่อนดีกว่า”
เมื่อถูกพ่อตัวเองรังเกียจ ประยสย์ก็ไม่รู้สึกโกรธ
นี่คือปัญหาของการเร่งให้มีลูก
สองสามปีนี้เขาไม่สามารถทำให้คุณพ่อได้เป็นคุณปู่ได้จริงๆ
“พ่อ ผมก็พูดกับยศพัฒน์ไปแล้วหลายครั้ง ไม่เพียงแต่พ่ออยากเป็นปู่ ผมเองก็อยากเป็นน้าเหมือนกัน”
“แกมีปัญญาก็เป็นพ่อเองสิ”
เมื่อประยสย์ถูกด่าสวนกลับ ลูบจมูกเบาๆ ในขณะที่ลุกขึ้นมานั้นได้พูดออกมาว่า: “ผมไม่มีปัญญาจริงๆ พ่อ ผมกลับไปพักผ่อนก่อนนะ พ่อก็รีบพักผ่อนเถอะ”
“พ่อนอนไม่หลับ”
“ถ้านอนไม่หลับก็เอาหมอนไปนอนหน้าห้องแม่ผมสิ”
ไซม่อน: “……”
หลังจากที่ประยสย์ออกไปแล้ว ยศพัฒน์ถึงมีโอกาสได้ตอบคำถามพ่อตา เขาพูดขึ้นว่า: “ผมกับวิกาสองคนยังอยากใช้ชีวิตสองต่อสองกันอีกสักสองสามปี เพราะถ้ามีลูกแล้ว เวลาไปไหนก็จะมีเด็กน้อยตามติดไปด้วย ซึ่งไม่สามารถทำอะไรได้ตามใจชอบ”
ไซม่อนยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า: “มันก็ใช่ หลังจากมีลูกแล้ว เวลาออกไปไหนไกลๆ ก็จะคอยเป็นห่วง หรืออยากติดปีกบินกลับมาทันทีเลย แต่ว่าพวกนายไม่ต้องเป็นห่วง มีพวกเราคอยช่วยเหลืออยู่ อย่าคิดว่าพ่อเลี้ยงลูกไม่เป็นนะ ตอนประยสย์กับวิกายังเด็กคนที่ดูแลพวกเขาส่วนใหญ่คือพ่อเป็นคนดูแล”
เขาย้อนนึกถึงอดีต ดวงตาเต็มไปด้วยความสุข แล้วพูดขึ้นว่า: “ตอนนั้น พ่อไม่ได้มีแรงกดดันเหมือนตอนนี้ คงต้องพูดว่าตอนนั้นยังไม่รู้ว่าหลังจากรับตำแหน่งนี้แล้วต้องสูญเสียเยอะขนาดนี้ เนื่องจากพ่อกับญาณินรักกันมาก หลังจากที่พวกเราแต่งงานกันก็มีประยสย์กับวิกาสองพี่น้องเลย เห็นลูกเป็นเหมือนดั่งแก้วตาดวงใจ”
“ทุกวันก่อนออกจากบ้าน ต้องอุ้มสองพี่น้องก่อนสักพัก ตอนเที่ยงขอแค่มีเวลาว่างก็จะกลับมองดูพวกเขาสักแป๊บ ตอนกลางคืนยิ่งไม่ต้องพูดถึง อุ้มพวกเขาไว้แทบไม่อยากวางตัวลงเลย จนญาณินต้องพูดว่าเขาเกิดมาเพื่อเป็นพ่อคนจริงๆ เลย”
จนทำให้พ่อแม่เขาได้เขาไม่เอาไหน วันๆ ตัวติดกับลูกและเมียตลอด
ตอนเขายังเด็ก พ่อแม่เย็นชาต่อพวกเขามาก จะพูดว่าพ่อแม่ไม่สนใจพวกเขาพี่น้องก็ไม่ใช่ เพียงแต่ว่าพ่อแม่เห็นงานสำคัญกว่า เห็นธุรกิจสำคัญกว่า ปีหนึ่งสามร้อยหกสิบห้าวัน เวลาที่อยู่กับพวกเขา ฝ่ามือหนึ่งข้างก็นับไม่หมด
ไม่เคยไปเข้าร่วมประชุมผู้ปกครองเลย แต่ถ้าผลสอบของพวกเขาแย่ลงหน่อย พ่อแม่ก็จำตำหนิพวกเขาอย่างเข้มงวด คุณพ่อยิ่งแล้วใหญ่ ใช้หวายลงมือทันที……
พ่อแม่ยิ่งเข้มงวดต่อลูกชายคนโตอย่างเขา เพราะเขาเป็นทายาทสืบทอด น้องชายสองคนโชคดีกว่าเขาเยอะเลย
ความสัมพันธ์ของไซม่อนก็ไม่ลึกซึ้งกันเท่าไหร่
คงเป็นเพราะเขาเห็นสำคัญของครอบครัวมากเกินไป แม่ของเขาถึงหาเรื่องญาณินตลอดเวลา รู้สึกว่าเป็นเพราะญาณินถึงทำให้เขาเป็นหัวหน้าครอบครัวได้ไม่ผ่านเกณฑ์
“เฮ้อ ไม่พูดเรื่องพวกนี้แล้ว ถ้านายกับวิกากังวลเรื่องที่จะไม่มีคนช่วยพวกนายดูและลูกแล้วหล่ะก็ เรื่องนี้วางใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าอยากใช้ชีวิตกันสองคนก่อน ก็รออีกสองปีก็ได้ พ่อไม่เร่งรัดพวกนายหรอก”
ไซม่อนอยากอุ้มหลายจริง ถึงแม้จะไม่ใช่หลานที่นามสกุลของเขาแต่ก็เป็นหลานเหมือนกัน แต่ก็ไม่อยากสร้างแรงกดดันให้ลูกสาวกับลูกเขยมากเกินไป
อีกอย่าง เขายังไม่ได้กำจัดตระกูลเลิศธนโยธาสำเร็จ ลูกสาวก็ยังมีอันตรายอยู่ เวลานี้จะมีลูกก็ไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่
“พ่อ ผมรู้แล้วครับ”
ยศพัฒน์ไม่ได้กังวลเรื่องที่จะไม่มีคนช่วยเลี้ยงดูลูก ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องจ้างแม่นม แค่ผู้ใหญ่ที่ว่างอยู่ทางฝั่งครอบครัวของเขา ทุกคนต่างก็ยืดคอยาวรอรุ่นลูกอย่างพวกเขามีเด็กน้อยให้พวกเขาเล่นสักสองสามคนอยู่แล้ว
“ดึกมากแล้ว กลับไปพักผ่อนเถอะ”
“พ่อ พ่อนอนไม่หลับเป็นประจำแบบนี้ จะลองไปหาหมอดูไหม”
ยศพัฒน์พูดออกมาอย่างเป็นห่วง “ช่วงนี้ สีหน้าของพ่อแย่ลงเยอะเลย ไม่ว่าจะเป็นตอนไหน พ่อก็ต้องรักตัวเองและดูแลสุขภาพ ขอแค่มีชีวิตอยู่ ถึงจะมีโอกาสเริ่มต้นใหม่ได้”
เขารู้ว่าพ่อตามีความคิดยอมตายไปพร้อมกันกับตระกูลเลิศธนโยธา
และรู้ว่าคนที่พ่อตายังปล่อยวางไม่ได้ ก็คือแม่ยาย
วิกาและพี่ชาย ไซม่อนไม่เป็นห่วงอะไรเลย
ที่เขายังไม่อยากตาย เพราะรู้สึกว่าเขากับญาณินเป็นสามีภรรยาที่รักกันมาก แต่กลับไม่ได้ใช้ชีวิตที่มีความสุขเหมือนสามีภรรยาทั่วไปกันเลย เขารู้สึกเสียดาย ถ้าต้องตายไปแบบนี้
“พ่อรู้ดี”
ไซม่อนรู้สึกอบอุ่นในใจ ลูกเขยละเอียดรอบคอบกว่าลูกชายเยอะเลย
ยศพัฒน์พูดเตือนสติพ่อตาไปอีกหลายคำ ถึงได้ออกไปจากห้องหนังสือ
เป็นเวลาหลังเที่ยงคืนแล้ว บริเวณรอบๆ เงียบสงบมาก
เขาเหมือนวิญญาณปรากฏตัวตอนกลางคืน เดินผ่านเกือบครึ่งคฤหาสน์ ถึงกลับไปถึงห้องของเขากับวิกา
วิกานอนตะแคง มือข้างหนึ่งวางไว้บนร่างกายของพิรัตน์ ทั้งผู้ใหญ่และเด็กนอนหลับกันอย่างสนิท และเหมือนแม่ลูกกันมาก
ยศพัฒน์เดินไปถึงขอบเตียงเบาๆ ก้มตัวลง แล้วเอามือของเทวิกาที่วางไว้บนร่างกายของพิรัตน์ออกเบาๆ จากนั้นอุ้มพิรัตน์ขึ้นมา ส่วนเขานอนลงไปข้างเทวิกา แล้วย้ายพิรัตน์มานอนอยู่ข้างเขา
วิกาเป็นภรรยาของเขา!
เมื่อทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ยศพัฒน์ได้จูบไปที่แก้มของเทวิกา แล้วนอนกอดภรรยานอนหลับไปด้วยความพึงพอใจ
ส่วนพิรัตน์ กลับนอนโดดเดี่ยวเดียวดายอยู่อีกข้าง เมื่อยศพัฒน์พลิกตัว เขาก็ได้ม้วนผ้าห่มไปหมด ทำให้พิรัตน์ไม่ได้ห่มผ้าห่มเลย
เมื่อเทวิกาตื่นขึ้นมา ถึงรู้ว่าเด็กน้อยถูกสามีเคลื่อนย้ายไปอีกฝั่งแล้ว แถมไม่ได้ห่มผ้าห่มอีกด้วย เธอจึงรีบโผตัวเข้าไป แล้วอุ้มเด็กน้อยขึ้นมา มือและเท้าของเด็กน้อยเย็นมาก โชคดีที่คุณแม่คนสวยของเธอเป็นห่วงกลัวเด็กจะถีบผ้าห่ม แล้วเธอกับสามีไม่รู้จักตื่นขึ้นมาช่วยเด็กห่มผ้าห่ม จึงยืนยันตัดสินใจให้พิรัตน์ใส่เสื้อผ้าสองตัวเวลานอน
ถึงแม้จะเป็นแบบนี้ แต่วิกาก็ยังเป็นห่วงกลัวเด็กน้อยจะเป็นหวัด
เธอจึงรีบยัดตัวเด็กใส่เข้าไปในผ้าห่ม การกระทำนี้ของเธอทำให้ยศพัฒน์ตกใจตื่น
“ที่รัก คุณตื่นแล้วเหรอ”
ยศพัฒน์โถมตัวไปกอดเธอเหมือนเมื่อก่อน แต่ถูกเทวิกาผลักออก แล้วรีบพูดเตือนเขาขึ้นมาว่า: “คุณอย่าไปทับตัวพิรัตน์”
ยศพัฒน์ก้มหน้าลง เห็นเด็กน้อยที่ขั้นอยู่ตรงกลางระหว่างเขากับวิกา ยิ้มแล้วหยิกไปที่แก้มของพิรัตน์เบาๆ “ผมลืมไปเลยว่าบนเตียงของเรามีก้านขวางคอตัวน้อยนี้อยู่ด้วย”
“คุณยังกล้ามาพูดอีก ตอนฉันตื่น พิรัตน์ไม่ได้ห่มผ้าห่มเลย ถูกคุณม้วนไปห่มหมด”
เป็นผู้ใหญ่แล้ว เวลานอนยังชอบม้วนผ้าห่มอีก
หลังจากกลับมาที่บ้านของตัวเอง ถึงรู้ว่ายศพัฒน์ชอบม้วนผ้าห่มไปห่มคนเดียว ตอนอยู่เมืองแอคเซสซ์ เนื่องจากอากาศร้อน เธอจึงไม่ค่อยชอบห่มผ้าห่มเท่าไหร่ จึงไม่รู้ว่ายศพัฒน์มีพฤติกรรมจุดนี้ด้วย
ยศพัฒน์: “……ผมลืมก้านขวางคอตัวนี้ไปเลย ถ้างั้นเขาก็หนาวไปตั้งหลายชั่วโมงเลยสิ?”
ตอนที่กลับเข้ามาในห้อง เขาได้มองเวลาด้วย ซึ่งตอนนั้นเป็นเวลาตีสามกว่า
ตอนนี้เป็นเวลาหกโมงกว่าแล้ว นั่นหมายความว่าหนาวไปกว่าสามชั่วโมง
“ถ้าเด็กน้อยเป็นหวัด คุณต้องรับผิดชอบเลบ”