รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 10 บุตรสวรรค์

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 10 บุตรสวรรค์

หลงเยว่หงคิดว่าซางเจี้ยนเย่าจะพูดปลอบใจเขาซักสองสามคำ แต่กลายเป็นว่าอีกฝ่ายเดินดุ่มๆ ไม่พูดอะไรสักคำ ราวกับไม่ได้ยินสิ่งที่ตนพูดไปเลย

หลงเยว่หงอ้าปากจะพูดซ้ำ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ทำเพียงถอนหายใจเงียบๆ

หลังจากเดินอย่างเงียบงันไปชั่วระยะหนึ่ง พวกเขาก็มาถึงเขตพื้นที่ลิฟต์ที่ 4 ที่หัวมุมเขต C

ในระหว่างที่รอลิฟต์มาถึง หลงเยว่หงรู้สึกว่าเวลาผ่านไปช้ามาก เป็นทุกวินาทีอันสุดแสนทรมาน หายใจอึดอัด

ในที่สุดประตูลิฟต์ด้านซ้ายมือก็เปิดออก

เมื่อเข้าไปแล้วซางเจี้ยนเย่าก็รูดบัตรอิเล็กทรอนิกส์แล้วกดที่ปุ่ม ‘647’

ประตูเลื่อนปิด ลิฟต์เริ่มเคลื่อนตัวขึ้นด้านบน

ขณะที่มองดูการเปลี่ยนแปลงของหมายเลขชั้น ซางเจี้ยนเย่าก็พูดด้วยเสียงทุ้ม

“แต่ละคนล้วนมีภาระหน้าที่ของตน”

หลงเยว่หงมึนไปสองวินาทีแล้วยิ้มอย่างขมขื่น

“ฉันแค่อยากอยู่ในบริษัท หาภรรยาดีๆ สักคน มีลูกที่น่ารักสักสองคน เป็นชายคนหญิงคน ดิ้นรนขวนขวายให้เขาได้กินเนื้ออาทิตย์ละสามครั้ง…”

เสียงเขาอ่อนลงทุกขณะราวกับตระหนักว่าตนคงไม่อาจไปถึงเป้าหมายนี้ได้อีกแล้ว

ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้พูดอะไร หลงเยว่หงเองก็เลยไม่รู้จะพูดอะไรเช่นกัน ทั้งคู่ล้วนยืนนิ่งปิดปากเงียบ ทำให้เวลาในลิฟต์เหมือนจะหยุดนิ่งอยู่กับที่

หลังจากผ่านไปไม่รู้ว่านานแค่ไหน ลิฟต์ก็หยุดลงที่ชั้น 647

ในตอนที่หลงเยว่หลงเดินออกมา เขาก้มหน้าแล้วถามขึ้น

“ซางเจี้ยนเย่า เมื่อกี้นายคิดอะไรอยู่เหรอถึงได้เงียบไป ฉันกำลังคิดว่ายังดีที่ฉันยังมีน้องชายน้องสาวอยู่ เผื่อว่าอีกหน่อยฉันจะไม่อยู่แล้ว”

“ใจลอยอยู่น่ะ” ซางเจี้ยนเย่าจ้องมองไปข้างหน้า

“…นายนี่คิดบวกจริงๆ สถานการณ์แบบนี้ยังใจเย็นอยู่อีก” หลงเยว่หงอดทอดถอนใจไม่ได้

“ฉันยื่นใบสมัครเข้ามาทำงานที่นี่เอง” ซางเจี้ยนเย่ามองไปด้านขวาเพื่อตรวจดูหมายเลขห้อง

“…” หลงเยว่หงหมดคำพูด เลยกวาดตามองหาห้องหมายเลข 14 ด้วย

ชั้นที่ 647 ไม่เหมือนกับชั้น 495 มันไม่ได้แบ่งเป็นถนนหลายเส้น แต่ละห้องก็ไม่ได้กั้นด้วยถนนที่กว้างสองสามเมตร

ที่นี่มี ‘สนามฝึกซ้อม’ แต่ละสนามเป็นศูนย์กลาง แล้วมีห้องขนาดใหญ่หลายห้องรายล้อมสนามฝึกเอาไว้

เพียงไม่นานซางเจี้ยนเย่าและหลงเยว่หงก็มาถึงด้านนอกของห้องหมายเลข 14

ไม่มีป้ายชื่อติดบนประตู ดังนั้นทั้งคู่จึงเดาไม่ถูกว่าห้องไหนเป็นของหน่วยไหน ทีมไหน หรือกองกำลังไหนในแผนกความมั่นคง

หลงเยว่หงอ้าปากสูดหายใจลึกเพื่อปรับความคิดและเตรียมเผชิญกับชะตากรรมของตน

ในเวลานี้ ซางเจี้ยนเย่าไม่มีความลังเล เขางอนิ้วแล้วเคาะประตูทันที

ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

เสียงที่ดังขึ้นกระทันหันนี้ขัดจังหวะการสูดหายใจของหลงเยว่หง

เขากำลังจะบ่นซางเจี้ยนเย่า ก็พลันมีเสียงแหบเล็กน้อยของหญิงสาวดังออกมาจากข้างใน

“เชิญเข้ามาได้”

ซางเจี้ยนเย่าบิดด้ามจับแล้วผลักประตูเปิดออก

ห้องหลังนี้ใหญ่กว่าบ้านเขาอย่างน้อยก็สามเท่า ด้านในสุดของห้องมีโต๊ะทำงานที่ทาสีน้ำตาลอมแดง และตู้หนังสือขนาดใหญ่มากสองตู้

ผนังทางซ้ายมือด้านนอก มีโต๊ะอยู่สามตัว เป็นสีดำ และค่อนข้างเก่า

กลางห้องและผนังด้านขวาทำหน้าที่เป็น ‘ห้องนั่งเล่น’ มีชุดโซฟาผ้าที่มีร่องรอยสมบุกสมบัน โต๊ะวางถ้วยน้ำชา เก้าอี้มีพนักพิงสี่ตัว ม้านั่งสองตัว และตั่งเตี้ยอีกสี่ตัว

แล้วตอนนี้ หญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังนั่งบนโซฟาเดี่ยวก็ลุกขึ้นยืนแล้วมองมาทางประตู

เธออายุยี่สิบปี สูงเกือบ 180 เซนติเมตร สัดส่วนร่างกายตั้งแต่หัวจรดเท้าล้วนสมส่วน สีผิวขาวราวข้าวสาลี ผมดำสลวยมัดเป็นหางม้าไว้ที่ท้ายทอย

ดูแล้วต่างไปจากหญิงสาวทั่วไปใน ‘เขตที่พักอาศัย’ เธอสวมเครื่องแบบของ ‘แผนกความมั่นคง’ ซึ่งเป็นสีเทามีลายพราง ทำให้ดูองอาจ

รูปร่างหน้าตาเธอนั้นเข้ากันได้ดีกับการแต่งกายลักษณะนี้ คิ้วหนาตาโต มีราศีวีรชนเต็มร้อย

“พวกนายเป็นสมาชิกใหม่ของทีมงั้นเหรอ” หญิงสาวยิ้มสดใส แต่เสียงพูดนั้นออกจะดังไปสักหน่อย

“ใช่ ใช่ครับ” หลงเยว่หงรู้สึกประหม่าเล็กน้อยเมื่อเผชิญกับหญิงสาวที่งามระดับน่าตื่นตา

หญิงสาวขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วพูด

“พูดดังๆ หน่อย”

น้ำเสียงที่ดังชัดเจนอย่างบอกไม่ถูก แสดงว่าเธอไม่ใช่คนที่พูดว่า ‘เชิญเข้ามาได้’ เมื่อก่อนหน้า

หลงเยว่หงผงะ คิดว่าตัวเองไปทำให้หัวหน้าขุ่นเคืองตั้งแต่ตอนไหน

ซางเจี้ยนเย่าก้าวเดินออกไปข้างหน้า แล้วพูดด้วยเสียงอันดัง

“ใช่ครับ!”

เสียงของเขาดังก้องไปทั่วห้อง และดังออกไปถึงทางเดินข้างนอก

หญิงสาวยิ้มอีกครั้งแล้วชี้ที่หูตัวเอง

“ไม่ต้องดังขนาดนั้นหรอก ฉันแค่ฟังไม่ค่อยชัด ไม่ได้หูหนวกซักหน่อย”

หลงเยว่หงมองตามนิ้วเธอ แล้วก็เห็นวัตถุโลหะสีเงินอยู่ในหูของเธอ

“เครื่องช่วยฟังน่ะ” หญิงสาวคนนั้นพูดเรียบๆ

เธอหุบยิ้มลงแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ดังกว่าคนปกติพอสมควร

“แนะนำตัวก่อนนะ ฉันคือหัวหน้าทีมของพวกนาย เจี่ยงไป๋เหมียน”

“ถึงจะบอกว่าเป็นหัวหน้าทีม แต่ฉันยังไม่ใช่ระดับ D7 หรอก ตอนนี้เพิ่งแค่ D6”

“ครับ หัวหน้า” หลงเยว่หงตอบเสียงดัง

“สวัสดีครับหัวหน้า!” ซางเจี้ยนเย่ารู้สึกยินดีมาก

เจี่ยงไป๋เหมียนชี้ไปที่โซฟาตัวยาว

“เธอเป็นสมาชิกอีกคนของทีม ชื่อไป๋เฉิน”

ไป๋เฉินสูงเพียง 160 เซนติเมตร เธอก็สวมชุดสีเทาลายพรางเช่นกัน แต่เมื่อเทียบกับเจี่ยงไป๋เหมียนแล้วเธอนั้นตัวเล็กกว่ามากอย่างเห็นได้ชัด

เธอพันผ้าพันคอรุ่นเก่าล้าสมัยสีเทาไว้รอบคอ ผมสีดำระใบหู ใบหน้าจัดได้ว่างดงาม ผิวค่อนข้างหยาบกร้านราวกับว่าต้องเผชิญลมพัดฝนกระหน่ำอยู่เป็นประจำ

เธอมีดวงตาสีน้ำตาลอ่อน ต่างไปจากดวงตาสีน้ำตาลเข้มของเจี่ยงไป๋เหมียน

“สวัสดี” ไป๋เฉินทักทายด้วยเสียงแหบเล็กน้อย

“สวัสดี” หลงเยว่หงยังรู้สึกระแวดระวังอยู่บ้าง

“สวัสดี!” เสียงของซางเจี้ยนเย่ายังค่อนข้างดัง

เจี่ยงไป๋เหมียนชี้โต๊ะวางถ้วยชา แล้วพูดเสียงดัง

“หาที่นั่งตามสะดวก อ้อ ใช่ แนะนำตัวก่อนด้วย”

“ซางเจี้ยนเย่าครับ!” เจี่ยงไป๋เหมียนเพิ่งพูดขาดคำ ซางเจี้ยนเย่าก็ตะโกนชื่อตัวเองออกมา จากนั้นก็ใช้มือข้างที่ว่างอยู่ค่อยๆ ปิดประตู อีกมือหนึ่งถือกล่องอาหาร แล้วเดินมานั่งที่เก้าอี้มีพนัก

“ผมชื่อหลงเยว่หง พ่อแซ่หลง ชื่อแม่มีคำว่าหง ครับ” หลงเยว่หงอธิบายที่มาของชื่อออกมาอย่างไม่รู้ตัว จากนั้นก็เดินไปนั่งเก้าอี้มีพนักด้านข้างซางเจี้ยนเย่า

เจี่ยงไป๋เหมียนนั่งลงแล้วมองไปรอบๆ ก่อนพูดด้วยรอยยิ้ม

“ในเมื่อมากันครบทุกคนแล้ว งั้นฉันก็จะอธิบายสถานการณ์ของทีมเราให้ฟังคร่าวๆ ละนะ”

“มาครบแล้วเหรอ” หลงเยว่หงโพล่งออกมา

มีแค่สี่คน?

ในหนึ่งทีมของ ‘แผนกความมั่นคง’ ไม่ใช่ว่าต้องมีอย่างน้อย 20 คนหรอกเหรอ

เจี่ยงไป๋เหมียนชะงักไป

“นายว่าอะไรนะ”

“เขาบอกว่ามีคนน้อยไปครับ!” ซางเจี้ยนเย่าช่วยอธิบายความหมาย

เจี่ยงไป๋เหมียนเลิกคิ้วเล็กน้อยแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม

“พวกเราไม่ใช่ทีมรบ”

ไม่ใช่ทีมรบงั้นเหรอ หลงเยว่หงรู้สึกใจพองโต

เจี่ยงไป๋เหมียนเหลือบมองซางเจี้ยนเย่าแล้วพูดต่อ

“ชื่อเต็มของทีมเราก็คือ ‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือเรียกสั้นๆ ว่า ‘ทีมสำรวจเก่า’[1]

“และนอกจากนั้นแล้ว พวกเราไม่ได้เป็นทีมสำรวจเก่าแค่เพียงทีมเดียว ไม่ว่าจะเป็นแผนกความมั่นคงหรือคณะกรรมการบริหาร ต่างก็มีทีมสำรวจเก่าด้วยเหมือนกัน เพียงแต่ว่าต่างก็ไม่ทราบข้อมูลซึ่งกันและกัน

“จำไว้ให้ดี! นี่คือเรื่องสำคัญ มาตรการรักษาความลับ!

“อ้อ แล้วก็ไม่ต้องกังวลว่าจะไปสำรวจซ้ำกันหรือเปล่า แม้ว่าเราจะไม่รู้จักทีมสำรวจเก่าทีมอื่นและไม่รู้ความคืบหน้าของพวกเขา แต่เบื้องบนจะแจ้งเบาะแสล่าสุดและมีค่ามากสุดให้เรารู้”

มาถึงจุดนี้เจี่ยงไป๋เหมียนก็หยุดชั่วคราว สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมจริงจัง

“เมื่อเทียบกับทีมรบทั่วไปแล้ว ‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ อาจต้องเผชิญอันตรายยิ่งกว่า

“ทำไมในภารกิจเดียวกันถึงต้องแบ่งเป็นทีมย่อยหลายๆ ทีม นั่นเป็นเพราะว่าในอดีตที่ผ่านมาทีมสำรวจเก่ามีเพียงแค่ทีมเดียวแต่มีจำนวนสมาชิกหลายคน แล้วในระหว่างการสำรวจครั้งหนึ่ง พวกเขาทั้งหมดกลับสูญหายไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่มีใครรอดกลับมา ครั้งนั้นเป็นความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงจนยากที่จะหาสิ่งใดมาทดแทนได้”

เมื่อได้ฟังแบบนั้น สีหน้าหลงเยว่หงก็ซีดเผือด

“อันตรายขนาดนั้นเลย…”

“ว่าไงนะ” เจี่ยงไป๋เหมียนเห็นเพียงแค่ปากหลงเยว่หงอ้าๆ หุบๆ แต่แทบจะไม่ได้ยินเสียงอะไร

หลงเยว่หงมองซางเจี้ยนเย่าโดยไม่รู้ตัว เห็นสีหน้าเขาเคร่งขรึมจริงจัง นิ่งเงียบไม่พูดจา ไม่ได้คิดจะช่วยอธิบายความหมายให้ตน

หลงเยว่หงจึงสูดหายใจลึกแล้วพูดเสียงดัง

“อันตรายขนาดนั้นเลยเหรอครับ”

หลังจากตะโกนออกมาแล้วเขาก็พบว่าอารมณ์ตัวเองผ่อนคลายขึ้นมาก

เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะ

“ทีมสำรวจเก่าอาจจะต้องลุยลึกเข้าไปในแดนร้างเพื่อสำรวจซากเมือง หรืออาจต้องมุ่งหน้าไปยังอาณาเขตของกองกำลังอื่นเพื่อหาเบาะแส อาจต้องประสบกับสถานการณ์สารพัดรูปแบบ หรือเผชิญหน้ากับศัตรูหลากหลาย

“หรือจะพูดตรงๆ ก็คือแม้แต่พนักงานมากประสบการณ์ของแผนกความมั่นคงเองก็ยังไม่อยากเข้าร่วมทีมสำรวจเก่าเลย”

ใบหน้าหลงเยว่หงซีดยิ่งกว่าเดิม

“พวกเราโชคร้ายกันถึงขนาดนั้นเลยเหรอ”

หลังจากพึมพำกับตัวเองแล้วก็ตะโกนขึ้น

“พวกเราโชคร้ายกันถึงขนาดนั้นเลยเหรอ”

เจี่ยงไป๋เหมียนเหลียวซ้ายแลขวาอย่างงงๆ

“ฉันไม่ได้โชคร้ายซักหน่อย ฉันไม่ได้ถูกจัดสรรบรรจุมาที่นี่ ทีมสำรวจเก่าของพวกเรานั้นถูกจัดตั้งขึ้นมาเพราะฉันยื่นความประสงค์ไป”

เธอยิ้มและกล่าวเสริม

“ฉันเชื่อมั่นมาตลอดว่าเราจำเป็นต้องค้นหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าให้ได้ มีวิธีนี้เท่านั้นที่จะทำให้เราหลีกเลี่ยงไม่กระทำสิ่งผิดซ้ำเดิม เป็นเพียงทางเดียวที่เราจะหาสาเหตุต้นตอของโรคไร้ใจและปลดปล่อยความกลัวนี้ออกไปจากมนุษย์

“นอกจากนั้นแล้วพวกนายก็น่าจะเคยได้ยินข่าวลือว่ามีประตูสู่โลกใหม่ซ่อนอยู่ลึกลงไปในซากเมืองที่ไหนซักแห่งบนแดนธุลี ถ้าเราไม่ไปสำรวจ เราคงไม่มีวันเข้าไปสู่โลกใหม่ได้ พวกเราต้องอยู่กับความอดอยาก การติดเชื้อ การกลายพันธุ์ และสัตว์ร้ายทั้งหลาย

“นี่คือความฝันของฉัน ดังนั้นฉันจึงยื่นความประสงค์ต่อผู้บริหารระดับสูงของแผนกความมั่นคงว่าอยากจัดตั้งทีมสำรวจเก่าทีมใหม่ขึ้น

“เหอ เหอ ฉันเองก็ชอบขุดคุ้ยประวัติศาสตร์จากซากเมือง ชอบสำรวจสภาพสังคมของกองกำลังอื่น และสัมผัสกับสถานที่ที่แตกต่างกัน สถานภาพของผู้คนและสิ่งอื่นที่แตกต่างกัน

ไป๋เฉินที่นั่งเงียบอยู่บนโซฟายาว จู่ๆ ก็พูดขึ้น

“ฉันเคยได้ยินคนพูดถึงคุณว่าคุณเป็น ‘นักสังคมวิทยา’ และเทพธิดาของเขา”

เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะคิกคัก

“เอ๊ะ ว่าไงนะ ประโยคสุดท้ายได้ยินไม่ถนัด ช่างมันเถอะ เล่าเรื่องของเธอดีกว่า”

ไป๋เฉินมองดูซางเจี้ยนเย่าและหลงเยว่หง แล้วเล่าด้วยเสียงที่แหบเล็กน้อย

“ฉันสมัครมาน่ะ อย่างที่พวกคุณเห็นนั่นแหละ ฉันไม่ได้เป็นสมาชิกของบริษัท ฉันเคยเป็นคนเร่ร่อนในแดนร้าง จากนั้นก็ถูกบริษัทดูดซับมา

“ในตอนนี้ฉันยังไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้เป็นพนักงานอย่างเป็นทางการ ทีมสำรวจเก่าสามารถช่วยให้ฉันไปถึงเป้าหมายได้เร็วที่สุด และยกระดับให้ฉันเป็นพนักงานได้โดยเร็ว เมื่อถึงตอนนั้นฉันก็จะมีสิทธิ์ยื่นขอดัดแปลงพันธุกรรมได้”

เจี่ยงไป๋เหมียนเอียงศีรษะราวกับว่าเธอได้ยินไป๋เฉินไม่ชัด

เธอยิ้มแล้วถามขึ้น

“นี่เธอนินทาฉันอยู่หรือเปล่าเนี่ย

“ฮ่า ฮ่า เราต้องออกไปทำภารกิจในแดนร้างบ่อยๆ เลยจำเป็นต้องมีคนนำทางที่คุ้นเคยกับสถานที่และเคยมีปฏิสัมพันธ์กับพวกกองกำลังและนิคมอื่นๆ นี่อย่าเห็นว่าเธอยังอายุน้อยนะ ประสบการณ์ของเธอมีไม่น้อยเลยล่ะ”

พูดจบ เจี่ยงไป๋เหมียนก็มองซางเจี้ยนเย่า

“ฉันอ่านข้อมูลของนายแล้ว ก็พอจะเดาได้อยู่ว่าทำไมนายถึงสมัครเข้าทีมสำรวจเก่า

“นอกจากเรื่องนี้แล้ว ยังมีเหตุผลอื่นอีกไหม”

“เพื่อช่วยมนุษยชาติครับ!” ซางเจี้ยนเย่าตอบเสียงดังฟังชัด

เจี่ยงไป๋เหมียนอึ้งไปชั่วขณะก่อนแตะที่หูตัวเอง

“เอ่อ… ว่าไงนะ

“ฮ่า ฮ่า ไม่ต้องพูดซ้ำแล้ว หลงเยว่หง ทำไมนายถึงมาเข้าร่วมล่ะ”

“ผมถูกบรรจุมาครับ… ผมเพิ่งจบการศึกษาปีนี้ และก็ยังไม่ได้แต่งงาน…” หลงเยว่หงพูดปนสะอื้น

หลังจากนั้นก็พลันมีปฏิกิริยา จึงพูดซ้ำอีกครั้งด้วยเสียงดัง

เจี่ยงไป๋เหมียนกะพริบตาปริบๆ

“คนตั้งเยอะแยะนั่น นายคือคนคนนั้นที่ไม่ได้ถูกเลือกจับคู่งั้นสินะ

“จากจำนวนคนที่เรียนจบทั้งหมด นายก็ยังเป็นคนเดียวที่ถูกบรรจุมาอยู่แผนกความมั่นคง แถมยังเข้ามาอยู่ในทีมสำรวจเก่าอีกด้วย”

หลงเยว่หงผงกศีรษะอย่างหนักแน่น

เจี่ยงไป๋เหมียนครุ่นคิดชั่วขณะ แล้วยิ้มอย่างอ่อนโยน

“คนอย่างนายนี่ โดยปกติเราจะเรียกว่า… บุตรสวรรค์[2]”

* * * * *

[1] ทีมสำรวจเก่า (旧调小组) หมายถึง ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า

[2] บุตรสวรรค์ (天选之子) หมายถึง ลูกที่ถูกสวรรค์คัดเลือก

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท