รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 17 ระหว่างทาง

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 17 ระหว่างทาง

เจี่ยงไป๋เหมียน หลงเยว่หง และไป๋เฉิน ยืนชะงักอยู่ตรงนั้นครึ่งค่อนวันแต่สติก็ยังไม่กลับเข้าร่าง

ไอ้ที่บอกว่าเข้าร่วมน่ะ หมายถึงจะร่วม ‘ประสานเสียง’ กับพวกสัตว์ป่าพวกนั้นหรอกเหรอ… พอสติกลับเข้าร่าง หลงเยว่หงก็คิดจะพูดออกไปอย่างนั้น แต่ก็พลันรู้สึกว่าในบรรยากาศแบบนี้ ใครขืนตอบซางเจี้ยนเย่า ก็คงได้สติหลุดอีกรอบแหง

จากนั้นไม่กี่วินาที เจี่ยงไป๋เหมียนก็หัวเราะออกมา

“ไป๋เฉิน เธอลืมเฝ้าระวัง!

“ซางเจี้ยนเย่า ถึงจะมีโจรแดนร้างมาเป็นโหลก็ทำอะไรพวกเราไม่ได้ แต่ด้วยพลังของนายเพียงคนเดียวกลับทำลายระบบการป้องกันจากภายในซะราบคาบเลย!”

ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะอย่างเคร่งขรึม

“ดังนั้นผมถึงได้พิจารณาอยู่

“และผมก็เตรียมพร้อมรับเหตุฉุกเฉินไว้แล้ว”

“ฉันแค่แปลกใจนิดเดียวเอง ไม่ได้ลืมเฝ้าระวังซักหน่อย” ไป๋เฉินพยายามบังคับตัวเองให้อธิบายออกมา

เธอรู้สึกอับอายเล็กน้อยที่เมื่อสักครู่เกิดสติหลุดลืมหน้าที่ตัวเองไป

ในฐานะที่เคยเป็นคนเร่ร่อนแดนร้างมานานหลายปี เรื่องที่เคยพบเคยเห็นไม่ใช่ว่าไม่มาก คนเร่ร่อนที่มีอาการทางประสาท จิตใจผิดปกติ ก็ไม่ใช่จะไม่เคยเจอ และยังเจอไม่ใช่น้อยๆ ไม่ว่าจะคำพูดหรือการกระทำก็หลุดโลกยิ่งกว่าซางเจี้ยนเย่าเสียอีก

แต่ปัญหาก็คือซางเจี้ยนเย่าทำตัวปกติเกือบตลอดเวลา ปกติจนไป๋เฉินคิดว่าเขาเพียงแค่ล้อเล่นหรือแกล้งทำเป็นครั้งคราวเท่านั้น

เธอไม่เคยคิดเลยว่าอีกฝ่ายจะ ‘หลุดโลก’ ขนาดนี้

“ดีแล้ว ตื่นตัวไว้ตลอดเวลานะ” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้เปิดโปงไป๋เฉิน เธอหันหน้ามาเล็กน้อยแล้วยิ้มให้ซางเจี้ยนเย่า “รอไว้ฝึกเสร็จเมื่อไหร่ ทีมเราต้องไปให้หมอประเมินสภาพจิตสมาชิกทุกคนจริงๆ แล้วล่ะ”

ซางเจี้ยนเย่าปรบมือเบาๆ

“ขอให้หัวหน้าประเมินได้คะแนนเต็มครับ!”

ไป๋เฉินคิดไม่ถึงว่าเจี่ยงไป๋เหมียนจะพูดเรื่องการประเมินสภาพจิตออกมาตรงๆ เพราะนั่นเป็นการกระตุ้นซางเจี้ยนเย่าอย่างมาก แม้ว่าเธอจะเคยแนะนำเรื่องนี้ไป แต่ตอนนั้นพฤติกรรมของเขายังไม่ได้แสดงอาการมากนัก แทบจะเรียกได้ว่าเป็นปกติ เหมือนกับว่าเขาแค่ทำตลก ดังนั้นจึงไม่ได้ยืนกรานเรื่องการประเมิน

และเช่นเดียวกัน ไป๋เฉินคาดไม่ถึงว่าซางเจียนเย่าจะไม่ได้ใส่ใจแม้แต่น้อย ราวกับเขากำลังแกล้งทำตลกอยู่

หรือว่าเขารู้อาการตัวเองมานานแล้วและยอมได้รับ ไม่ได้รู้สึกต่ำต้อยหรืออ่อนไหวสักนิด ไป๋เฉินสะบัดศีรษะ เตือนตัวเองว่าอย่ายุ่งเรื่องคนอื่น ต้องทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายของตัวเองให้ดี อย่าให้เกิดความผิดพลาด

เจี่ยงไป๋เหมียนก้มมองดูนาฬิกาที่ข้อมือ

“เอาล่ะ สลับกันพักนะ

“ตามปกติแล้วฉันควรจับคู่กับไป๋เฉิน ส่วนซางเจี้ยนเย่าอยู่กับหลงเยว่หงเพื่อสลับกันพัก แต่พวกนายทั้งคู่นั้นยังด้อยประสบการณ์ อาจมีอะไรหลงหูหลงตา

“โดยเฉพาะเมื่อเรากำลังปฏิบัติภารกิจ มีอันตรายอยู่รอบด้าน เงื่อนไขก็จำกัด จึงไม่จำเป็นต้องแยกหญิงแยกชาย สิ่งสำคัญสุดคือความซื่อสัตย์และไว้วางใจซึ่งกันและกัน ดังนั้นซางเจี้ยนเย่าจะอยู่กับฉัน ส่วนไป๋เฉินคู่กับหลงเยว่หง”

เมื่อพูดแล้วเจี่ยงไป๋เหมียนก็ยิ้ม

“ที่จริงแล้วคราวนี้ถือว่าเงื่อนไขค่อนข้างดีทีเดียว บนรถจี๊ปนอนเบาะหน้าหนึ่งเบาะหลังหนึ่ง ไม่ไปรบกวนอีกคน”

ไป๋เฉินพยักหน้าแล้วพูดสนับสนุน

“ฉันเคยนอนเต็นท์เดียวกับชายสอง หญิงสอง หมูหนึ่ง และไก่อีกสองตัว”

เจี่ยงไป๋เหมียนลุกขึ้นยืน

“เอาล่ะ พวกนายไปพักเถอะ ซางเจี้ยนเย่ากับฉันจะอยู่กะแรกเอง”

เธอมองนาฬิกาอีกครั้ง

“พวกนายมีเวลา 6 ชั่วโมง”

“หัวหน้า นี่ไม่นานไปเหรอ” ไป๋เฉินรู้สึกกังวลอยู่บ้าง

การอยู่ยามหกชั่วโมงนับจากตอนนี้ เป็นช่วงเวลาที่มนุษย์นั้นอ่อนเพลียและง่วงนอนมากที่สุดเพราะนาฬิกาชีวภาพ ดังนั้นจึงง่ายที่จะไม่รู้สึกถึงความเคลื่อนไหวผิดปกติรอบข้าง

เจี่ยงไป๋เหมียนพูดพร้อมรอยยิ้ม

“พวกเราสามคนนั้นเป็นคนที่ได้รับการปรับปรุงพันธุกรรมมา จุดที่พอจะเหมือนกันอยู่บ้างก็คือกำลังวังชาเหลือล้น

“ในด้านนี้ฉันน่าจะแข็งแกร่งกว่าพวกเขาซะอีก ต่อให้ไม่ได้นอนซักวันสองวันก็ยังมีสมาธิดีอยู่”

“ผมก็ได้เหมือนกัน…” หลงเย่วหงพึมพำ

เจี่ยงไป๋เหมียนหันมามอง

“ว่าไงนะ

“นินทาลับหลังฉันหรือไง”

“เขาเปล่าครับ!” ซางเจี้ยนเย่ารีบตอบ “เขาพูดต่อหน้าเลยครับ!”

หลงเยว่หงถึงกับสำลัก

เจี่ยงไป๋เหมียนโบกมือแล้วพูดกับซางเจี้ยนเย่า

“นายกลับคืนเป็นปกติแล้วสินะ เอาล่ะ พวกเธอรีบไปนอนได้แล้ว”

ตอนท้ายเธอหันไปพูดกับไป๋เฉินและหลงเยว่หง

คืนนั้นไม่เกิดเรื่องอะไร เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นจากขอบฟ้าแล้วย้อมเมฆให้เป็นสีแดงเหลือบทอง สมาชิกทั้งสี่ของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ก็รวมตัวรอบกองไฟ ดื่มน้ำอุ่น กินธัญพืชอัดแท่ง

“สวยจริง งดงามจริง…” หลงเยว่หงมองไปยังทิศที่พระอาทิตย์กำลังขึ้น รู้สึกว่าคลังคำศัพท์ของตนนั้นมีค่อนข้างจำกัด

ฉากอันตระการตาและมีชีวิตชีวามากล้นนี้ ทำให้หลงเยว่หงและซางเจี้ยนเย่าที่เพิ่งเคยออกมาสู่พื้นโลกเป็นครั้งแรก รู้สึกเหมือนว่าทั้งร่างกายและจิตใจได้รับการชำระล้าง รู้สึกถึงความงามและความหวังอันไม่อาจพรรณนาได้

“ตอนเห็นพระอาทิตย์ขึ้นครั้งแรก ฉันทำเรื่องขายหน้ายิ่งกว่าพวกนายซะอีก” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้หัวเราะเยาะสองหนุ่ม

ไป๋เฉินก็มองดวงอาทิตย์ขึ้นเช่นกัน แต่ไม่ได้พูดอะไร

ในฐานะมนุษย์ที่เกิดและเติบโตขึ้นมาในแดนร้าง เธอคุ้นเคยกับพระอาทิตย์ขึ้นมานานแล้ว แต่เธอก็ยังรู้สึกเป็นสุขอย่างบอกไม่ถูกและตื่นตาทุกครั้งที่ได้ดู

“เอาล่ะ เก็บข้าวของเตรียมตัวออกเดินทาง หลงเยว่หง นายกับไป๋เฉินนั่งแถวหลัง นอนพักกันซักงีบ ซางเจี้ยนเย่ากับฉันจะผลัดกันขับ” เจี่ยงไป๋เหมียนเติมน้ำลงถุงเก็บน้ำเสร็จก็ยืนขึ้นแล้วพูดออกมา

“ทราบแล้ว หัวหน้า!” หลงเยว่หงละสายตากลับแล้วตอบรับด้วยเสียงอันดัง

หลังจากจัดการกลบกองไฟ เขาเห็นกระป๋องเปล่าของอาหารที่กินเมื่อคืนวานถูกโยนทิ้งไว้บนพื้น

“หัวหน้า ไม่เก็บกลับไปรีไซเคิลเหรอ”

‘ผานกู่ชีวภาพ’ นั้นตั้งอยู่ใต้ดินและไม่มีเหมือง พวกเขาขาดแคลนโลหะมาแต่ไหนแต่ไร จำเป็นต้องใช้อาหารที่ผลิตได้ น้ำยาปรับปรุงพันธุกรรม ชีวเวชภัณฑ์ น้ำเกลือใต้ดิน และเกลือที่สกัดจากหิน เพื่อแลกเปลี่ยนกับทรัพยากรที่ต้องการจากกองกำลังใหญ่อื่นๆ

เจี่ยงไป๋เหมียนหันกลับไปดู เงียบไปสองวินาทีก่อนจะตอบ

“ไม่ต้องหรอก

“มันเปลืองที่น่ะ”

พอพูดเสร็จก็เปิดประตูขึ้นไปนั่งในตำแหน่งคนขับ

ในเมื่อหัวหน้าพูดแบบนั้น หลงเยว่หงก็พยายามฝืนสะกดความต้องการเก็บของกลับไป คว้าปืนแล้วรีบขึ้นรถ

เสียงจำลองของเครื่องยนต์[1]กระหึ่มขึ้นแล้วรถจี๊ปสี่ประตูสีเขียวอมเทาที่ติดตั้งแผงชาร์จพลังงานแสงอาทิตย์ก็ออกจากพื้นที่ว่าง เคลื่อนตัวออกจากซากปรักเล็กๆ แห่งนี้

หลังจากนั้นไม่กี่นาทีก็มีเงาดำเดินออกมาจากด้านหลังซากอาคารที่พังถล่มลงมาครึ่งหนึ่ง และมุ่งไปยังกองไฟที่มอดดับแล้ว

‘เขา’ หยุดเป็นระยะ ใช้ต้นไม้และซากกำแพงเพื่ออำพรางตัว บางครั้งก็ใช้ข้อศอกคลานไปข้างหน้า

หลังจากแน่ใจว่าคนทั้งสี่ได้จากไปแล้วจริงๆ ‘เขา’ ก็ดีดตัวขึ้นแล้วปรี่เข้าไปที่กองไฟเพื่อเก็บกระป๋องเปล่าพวกนั้น

‘เขา’ สวมผ้าป่านสีดำสะพายปืนไรเฟิลไว้ที่หลัง สูงราว 160 เซนติเมตร ใบหน้าไร้เนื้อหนัง เป็นเพียงโลหะสีดำเงิน

มีรอยแตกมากมายบนผิวโลหะเผยให้เห็นเส้นและส่วนประกอบของสีสันต่างๆ ภายใต้พื้นผิว

ดวงตาข้างหนึ่งของ ‘เขา’ กะพริบสีแดง ส่วนอีกข้างนั้น ‘อับแสง’ สองมือที่ราวกับโครงกระดูกทำจากโลหะสีดำเงินล้วนๆ

นี่คือหุ่นสมองกล

“เก็บขึ้นมา เก็บขึ้นมา…” มันส่งเสียงโมโนโทนที่ไม่มีระดับสูงต่ำ หยิบเอากระป๋องเปล่าแล้ววิ่งกลับไปที่ด้านหลังซากปรักหักพัง

หลังจากลดเลี้ยวไปหลายรอบก็เข้ามาในโพรงที่สร้างจากคอนกรีตและเสาเหล็กที่ตั้งอย่างไม่เป็นระเบียบ

ในโพรงมีเด็กชายคนหนึ่งห่อหุ้มตัวด้วยแจ็คเก็ตบุนวมเก่าๆ ขาดๆ และขนสัตว์

เด็กชายอายุเพียง 12-13 ปี ใบหน้าสกปรกมอมแมม ซอกเล็บสองมือมีแต่โคลน ข้างกายมีรถสามล้อซอมซ่อจอดอยู่ บนรถเต็มไปด้วยสารพัดของกระจุกกระจิกและเศษขยะ

เขาหยิบกระป๋องเปล่าขึ้นมาแล้วยิ้มร่า

จากนั้นก็แบ่งกระป๋องเปล่าออกเป็นสามกอง แยกใส่ไว้ในกองขยะคนละกอง แล้วยิ้มให้กับหุ่นสมองกล

“เสี่ยวชี[2] อันนี้เกือบเต็มแล้ว เกือบจะเอาไปแลกดวงตาใหม่ให้แกได้แล้วล่ะ

“กองนี้ยังต้องเก็บเพิ่มอีกหน่อย ใกล้จะเข้าฤดูหนาวแล้ว ต้องแลกอาหารและถ่านเอาไว้เยอะๆ แล้วก็แบตเตอรี่ของแกด้วย

“ส่วนกองนี้รอฉันกลับมาก่อนแล้วค่อยเอาไปแลก…”

พูดถึงตรงนี้เด็กชายก็เกาหัวพลางยิ้มกระอักกระอ่วน

“แทบไม่เหลืออะไรกินแล้ว

“ช่วงนี้ฉันกินเยอะไปหน่อย…”

เสี่ยวชีพยักหน้าอย่างแรงแล้วพูดเสียงเรียบ

“จัดการได้ดี”

“รีบขึ้นรถเถอะ พวกเราจะกลับนิคมกันเร็วหน่อย” เด็กชายขึ้นนั่งในตำแหน่งคนขับของรถสามล้อ

เสียงดังบี๊บๆ เขาขับรถสามล้อเคลื่อนห่างออกไปยังถนนขรุขระท่ามกลางซากปรักและต้นไม้ที่ปกคลุมจนแทบไม่เป็นทาง

เด็กชายขับรถไปพลางก็พูดคุยกับหุ่นสมองกลข้างหลังไปพลาง

“เสี่ยวชี แกว่าพอหมดฤดูหนาวแล้วพ่อกับแม่จะกลับมาไหม”

* * * * *

รถจี๊ปยังคงรักษาระดับความเร็วเอาไว้ขณะที่เคลื่อนตัวผ่านแดนร้างบึงดำ

ใกล้เที่ยงวันแล้ว ไป๋เฉินที่ขับรถอยู่ก็พลันขมวดคิ้วทันทีหลังจากที่เลี้ยวโค้ง

“ข้างหน้ามีกลุ่มคน…”

ไม่รอให้เจี่ยงไป๋เหมียน ซางเจี้ยนเย่า และหลงเยว่หงตอบกลับ เธอพูดต่อด้วยเสียงต่ำ

“พวกเขาเห็นเราแล้ว”

* * * * *

[1] เสียงจำลองของเครื่องยนต์ (模拟的发动机声音) เนื่องจากรถยนต์พลังไฟฟ้านั้นใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อน จึงไม่มีเสียงเครื่องยนต์ทำงานแบบเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมัน ดังนั้นตามกฎหมายความปลอดภัยจึงกำหนดให้รถยนต์พลังไฟฟ้าต้องติดตั้งระบบจำลองเสียงเครื่องยนต์ เพื่อความปลอดภัยต่อผู้ใช้ถนน

[2] เสี่ยวชี (小七) เป็นชื่อของหุ่นสมองกล

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท