รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 18 การค้าที่ไม่สำเร็จ

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 18 การค้าที่ไม่สำเร็จ

เมื่อได้ยินไป๋เฉินร้องเตือน เจี่ยงไป๋เหมียนที่กำลังเอี้ยวร่างส่วนบนไปคุยกับซางเจี้ยนเย่าและหลงเยว่หงก็หันกลับมามองข้างหน้า

สองฟากฝั่งของถนนดินอ่อนเรียงรายไปด้วยต้นไม้รูปร่างประหลาดขึ้นอยู่ประปราย ด้านซ้ายมือของป่ามีลักษณะของบึงน้ำสีดำมืด โคลนเลน และเต็มไปด้วยฝูงยุง ส่วนทางด้านขวานั้นมีวัชพืชปกคลุมไปทั่วทุกหัวระแหง ตรงพื้นที่โล่งนั้นมีรถยนต์สีดำที่เปื้อนโคลนเป็นหย่อมจอดอยู่

จากประสบการณ์ความรอบรู้ของเจี่ยงไป๋เหมียนจึงไม่ใช่เรื่องยากที่เธอสามารถระบุได้ว่ามันคือรถออฟโรด และถูกดัดแปลงมาหลายครั้งอย่างเห็นได้ชัดไม่ว่าจะด้านโจมตีหรือป้องกัน มีหลายส่วนที่สีสันดูแล้วให้ความรู้สึกว่าไม่กลมกลืนกันเลย

มีคนสามคนยืนอยู่นอกรถ หนึ่งนั้นสวมแจ็คเก็ตผ้าฝ้ายเก่าๆ หนึ่งนั้นห่มด้วยหนังสัตว์ฟอกสี อีกหนึ่งเป็นเสื้อคลุมขนสัตว์สีดำยับย่นที่สั้นเต่อ

ในปากพวกเขาคาบบุหรี่มวนเองห่อใบยาสูบสีน้ำตาลไร้ก้นกรอง ในมือแต่ละคนถืออาวุธแตกต่างกันออกไป มี ‘ยูไนเต็ด 202’ ปืนกลมือที่มีชื่อฉายาว่า ‘พายุฝน’ และปืนไรเฟิลจากโลกเก่า

ด้านข้างของคนทั้งสามเป็นมอเตอร์ไซค์หนัก 2 คัน พวกมันมีสีพื้นเป็นสีดำแล้ววาดลวดลายสีแดง ให้ความรู้สึกดุดันอหังการ

บนมอเตอร์ไซค์หนักแต่ละคันมีผู้ชายนั่งคร่อมอยู่ พวกเขาสวมหมวกนิรภัยไม่ได้ดึงหน้ากากลงมาปิด แต่ละคนถือปืนกลมือขนาดเล็ก

“พวกนายเห็นอะไรกันบ้าง” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้ตกใจ แต่กลับใช้โอกาสนี้ถามซางเจี้ยนเย่าและหลงเยว่หง

ซางเจี้ยนเย่าลดกระจกหน้าต่างลงแล้วมองตรงไปทางหน้ารถ ตอบขึ้นว่า

“มีกินไม่ขาดแคลน”

“…” หลงเยว่หงมองไปนอกกระจกหน้ารถ กำลังจะพูดความคิดตัวเองออกมา แต่ถูกซางเจี้ยนเย่าขัดจังหวะความคิดซะก่อนจนทำให้ลืมไปว่าจะพูดอะไร

เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้วิจารณ์ซางเจี้ยนเย่า แถมยังผงกศีรษะเล็กน้อย

“สายตาไม่เลว”

ทั้งห้าคนนั้นมีหน้าตาผิวหนังที่หยาบกร้าน แต่ไม่ได้ผอมเหลืองอมโรค

แสดงว่าเสื้อผ้าอาหารของพวกเขาต้องไม่ขาดแคลน

นี่ทำให้แตกต่างไปจากพวกคนเร่ร่อนแดนร้างทั่วไป!

ในที่สุดหลงเยว่หงก็นึกสิ่งที่คิดไว้ออก รีบพูดขึ้น

“อุปกรณ์ไม่เลว!”

ไม่ว่าจะเป็นรถออฟโรดดัดแปลง มอเตอร์ไซค์หนัก หรือเสื้อผ้าอาวุธในมือล้วนแตกต่างจากคนเร่ร่อนแดนร้างโดยทั่วไป

เจี่ยงไป๋เหมียนพยักหน้าเบาๆ

“ประเมินเบื้องต้นได้ว่าพวกเขาเป็นกลุ่มนักล่าซากอารยะที่เข้าขากันดี หรือไม่ก็เป็นกลุ่มโจรแดนร้างที่ทำงานเป็นทีม บางทีคนสองจำพวกนี้ก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่”

เมื่อเธอพูดจบ ไป๋เฉินก็เสริมขึ้น

“วิธีดัดแปลงรถออฟโรดนั่นแสดงว่ามันใช้น้ำมัน

“นี่หมายความว่าคนพวกนี้คุ้นเคยกับพื้นที่แถวนี้และรู้ว่าต้องไปเติมน้ำมันที่ไหน หรือไม่ก็มั่นใจว่าสามารถออกจากแดนร้างได้ก่อนน้ำมันหมดถัง”

เมื่อเห็นว่าทั้งสองฝ่ายนั้นเข้าใกล้กันมากขึ้นเรื่อยๆ เจี่ยงไป๋เหมียนก็ไม่ได้พูดต่อ หยิบปืนยิงระเบิดขึ้นมาแล้วพูด

“เอา ‘นักรบคลั่ง’ ออกมาพาดที่หน้าต่างให้พวกเขามองเห็น”

หลงเยว่หงรู้สึกประหม่าเล็กน้อย

“หัวหน้า จะสู้กันหรือเปล่า”

“ใครจะไปรู้ล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะพลางพูด “อ้อ ใช่ จำไว้ด้วยว่าในแดนร้าง การโชว์กำปั้นก็คือการแสดงสัญญาณฉันท์มิตร

“ความถูกต้อง ความเป็นธรรม และการสื่อสารจะบรรลุได้ด้วยปลายปืนเท่านั้น”

ไป๋เฉินพูดสนับสนุน

“พวกเราเรียกสิ่งนี้ว่า ‘ความเคารพมีให้ระหว่างผู้แข็งแกร่งเท่านั้น’

“คนเร่ร่อนแดนร้างหลายคนคาดหวังว่าผู้แข็งแกร่งจะใจดีมีเมตตา เป็นคนดีมีน้ำใจ เห็นอกเห็นใจและยินดีช่วยเหลือคนอ่อนแอ น่าเสียดายที่ความคิดนี้ไม่ต่างไปจากความเพ้อฝัน อาจมีคนประเภทนั้นอยู่ แต่ก็ไม่มาก ยากที่จะได้พบเจอ ช่วยเหลือตัวเองยังจะมีประโยชน์กว่าไปคาดหวังลมๆ แล้งๆ”

“ในสมัยก่อน ‘กองทัพกู้โลก’ ก็นับว่าใช่ แต่ตอนนี้…” น้ำเสียงเจี่ยงไป๋เหมียนค่อยๆ เบาลง

“พวกเขาจะแสดงความเป็นมิตรก็ต่อเมื่อพวกเราใช้ไม้แข็งเท่านั้น…” หลงเยว่หงพยักหน้าครุ่นคิด เข้าใจสิ่งที่หัวหน้าและไป๋เฉินบอก

แล้วก็เกิดข้อสงสัยใหม่ขึ้นในทันที

“ทำไมผมต้องยกปืนด้วยล่ะ พวกเขามองเห็นแค่ฝั่งซางเจี้ยนเย่าเท่านั้น”

ก่อนเจี่ยงไป๋เหมียนจะตอบ ซางเจี้ยนเย่าก็หัวเราะออกมาเสียก่อน

“เคยเล่นซ่อนหาไหม

“การที่ไม่เห็นใคร แปลว่าด้านนั้นไม่มีคนแอบอยู่หรือเปล่า”

เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะตาม

“เปรียบเทียบแบบนี้ไม่เข้ากันซักหน่อย

“หลงเยว่หง นายหยิบ ‘นักรบคลั่ง’ ออกมาเตรียมพร้อมไว้ จะได้เอามาขู่เผื่อมีใครซ่อนอยู่ในบึงน้ำ และเพื่อคุ้มกันไป๋เฉินที่กำลังตั้งสมาธิขับรถด้วย

“และถึงแม้จะไม่มีศัตรูแอบอยู่ในบึงน้ำ แต่ถ้าไม่ทำอย่างนี้ พวกเขาอาจจะคิดว่าคนในรถนั้นอ่อนประสบการณ์ เป็นเหยื่อที่สามารถจัดการได้”

หลงเยว่หงกระจ่างทันที

“เข้าใจแล้ว!”

เขาหยิบปืนและพาดไว้ที่หน้าต่างที่ยังเปิดกระจกลงไม่สุด

ซางเจี้ยนเย่าที่อยู่อีกด้านหนึ่งเตรียม ‘นักรบคลั่ง’ ไว้เรียบร้อย ถามขึ้นอย่างกระตือรือร้น

“หัวหน้า พวกเราสามารถตัดสินใจเปิดฉากยิงเองได้เลยไหม”

เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะ

“ช่างกล้าจริงนะ ขนาดเห็นชัดๆ ว่ากลุ่มคนข้างหน้ารับมือได้ไม่ง่ายแน่

“อืม มีสามสถานการณ์ที่ลงมือยิงได้ทันที หนึ่ง-ฉันสั่ง สอง-ถ้าเขาเข้ามาใกล้เราและไม่ฟังที่เราห้าม สาม-พวกเขาเล็งปืนมา”

ในขณะที่เธอพูด ระยะห่างระหว่างรถจี๊ปสี่ประตูสีเขียวอมเทาของพวกเขาทั้งสี่และรถออฟโรดสีดำกับมอเตอร์ไซค์ก็เหลือไม่ถึงสิบเมตรแล้ว

ทั้งห้าคนนั้น สามคนที่คาบบุหรี่มวนเองไว้ในปาก ยกปืนขึ้นมา อีกสองคนก้มหมอบลงกับมอเตอร์ไซค์ มือหนึ่งจับคันเร่ง ส่วนอีกมือถือปืนกลมือขนาดเล็กไว้

ถ้าไม่ใช่เพราะปืนยิงระเบิดและปืนไรเฟิลที่ยื่นออกมานอกหน้าต่างรถ พวกเขาอาจเปลี่ยนตำแหน่งและเปิดฉากการโจมตีไปแล้วก็ได้

เนื่องจากรถออฟโรดกับมอเตอร์ไซค์ไม่ได้จอดบน ‘ถนนหลัก’ แต่จอดอยู่ข้างทางบนที่โล่งในป่าโปร่ง ดังนั้นถึงแม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะเข้าใกล้กันทุกขณะ แต่ก็ไม่เกิดอันตรายจากการปะทะชนกัน

ในระหว่างนี้ไป๋เฉินลดความเร็วลงและให้รถจี๊ปขยับทีละน้อยเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเกิดปฏิกิริยาเกินควร

ทันใดนั้นเจี่ยงไป๋เหมียนก็ตะโกนขึ้น

“พวกคุณรู้ไหมว่าเมื่อคืนนี้มีอะไรผิดปกติที่ส่วนลึกของบึงน้ำ”

ชายฉกรรจ์วัย 30 ปีที่สวมเสื้อคลุมขนสัตว์สีดำยับย่นและถือปืนกลมือ ‘พายุฝน’ ถ่มบุหรี่มวนเองทิ้งแล้วตอบเสียงดัง

“อยู่ไกลเกิน ไม่แน่ใจ!”

เจี่ยงไป๋เหมียนตะโกนอีกครั้ง

“พวกคุณมาทำอะไรที่นี่”

“ใกล้หน้าหนาวแล้ว เลยมาล่าสัตว์เพิ่ม!” เป็นคำตอบจากชายฉกรรจ์ผู้มีขนคิ้วยุ่ง มีแผลเป็นรอยเก่าที่มุมตาขวา

เขาแผ่รังสีดุร้ายราวกับเป็นหมีควายที่สวมเสื้อผ้ามนุษย์อยู่

ชายฉกรรจ์ผู้นั้นถามต่อโดยไม่รอให้เจี่ยงไป๋เหมียนตะโกนออกมาอีก

“แล้วพวกคุณมาทำอะไรกัน”

เจี่ยงไป๋เหมียนตอบ

“พวกเราเป็นนักล่าซากอารยะ!”

“นักล่าซากอารยะ…” ชายฉกรรจ์พึมพำก่อนยิ้มออกมา “สองสามเดือนก่อนมีข่าวว่าส่วนลึกของบึงน้ำมีการค้นพบซากเมืองที่ยังไม่เคยมีบันทึกมาก่อน อ้อ ไม่แน่ว่าความผิดปกติของส่วนลึกในบึงน้ำเมื่อคืนนี้อาจเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก็ได้! ถึงแม้ว่าจะห่างกันหลายเดือน แต่ใครจะกล้ารับประกัน นักล่า พวกคุณอยากรู้ตำแหน่งคร่าวๆ ของซากเมืองไหมล่ะ เอาอาหารมาแลกได้นะ!”

เสียงตะโกนของเขาดังจนทุกคนในรถจี๊ปได้ยินชัดเต็มแปดหู

ซางเจี้ยนเย่าจ้องมองไปข้างนอกอย่างจดจ่อ พร้อมยิงได้ทุกเมื่อ

แล้วจู่ๆ เขาก็ถามขึ้น

“หัวหน้า เขาตะโกนเสียงดังเกินไป หนวกหูมาก ให้ยิงเลยไหม”

“…ไม่ต้อง” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบซางเจี้ยนเย่าก่อนหันกลับไปตะโกน “เรามีอาหารกระป๋องทหาร ธัญพืชอัดแท่ง บิสกิตอัดแข็ง บอกราคามาเลย!”

ชายฉกรรจ์ผู้นั้นดวงตาวูบไหว

“อาหารกระป๋องทหาร 60 กระป๋อง!”

“งั้นช่างมันเถอะ!” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่สนใจจะต่อรอง เหมือนแค่ถามพอเป็นพิธี

ตอนนี้รถจี๊ปเคลื่อนผ่านตำแหน่งของรถออฟโรดแล้ว ระยะห่างของทั้งสองฝ่ายค่อยๆ เพิ่มขึ้น

ชายฉกรรจ์คนนั้นไม่ได้ตื๊อ ตอบกลับเสียงดัง

“หวังว่าครั้งหน้าคงมีโอกาสทำการค้ากันนะ!”

พูดจบแล้วแต่เขาก็ยังรักษาท่าทีระแวดระวัง มองดูรถจี๊ปเคลื่อนไกลออกไปจนพ้นระยะยิง

“ลูกพี่ ทำไมไม่ยิงล่ะ” ในตอนนี้ชายร่างผอมด้านข้างเขา ที่สวมแจ็คเก็ตผ้าฝ้ายเก่าๆ ในมือคีบบุหรี่มวนเองรีบถามขึ้น

“นั่นน่ะสิ ถึงแม้ปืนเขาจะไม่ด้อย แต่เราก็ยังมีเจ้านั่นอยู่!” ชายหนวดเครารุงรังที่หมอบอยู่บนมอเตอร์ไซค์พลันยืดร่างขึ้นแล้วชี้ไปท้ายรถออฟโรดสีดำ “พวกนั้นต้องมีเสบียงเยอะแน่ๆ!”

ชายฉกรรจ์ผู้นั้นรีบส่ายหน้า

“ถ้าเป็นอย่างนั้น ฝ่ายเราเองก็จะเสียหายไม่น้อย

“ไม่คุ้มค่าหรอก ได้ไม่คุ้มเสีย”

ชายหนุ่มสวมแจ็กเก็ตผ้าฝ้ายเก่าที่ถือปืนพก ‘ยูไนเต็ด 202’ ในมือท้วงอย่างไม่ยินยอม

“ลูกพี่ คนยอมตายเพื่อเงินทอง นกยอมตายเพื่ออาหาร!

“อีกอย่างนะ ในแดนร้างนี่ไม่ใช่ดูว่าใครโหดกว่า ใครเหี้ยมกว่าหรือไง พวกเราจะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ ทำไมไม่เดิมพันกับวันนี้ล่ะ!”

ชายฉกรรจ์เหลือบมองเขาอย่างเย็นชา

“พวกโหดเหี้ยมดุร้ายในแดนร้าง อายุไม่ยืนกันหรอก

“ในแดนร้างนี้มีไม่กี่คนที่เป็นแค่เหยื่อจริงๆ คนส่วนใหญ่เป็นทั้งนักล่าและเหยื่อ ถ้าเราขืนทำห้าวไม่ดูตาม้าตาเรือ เราเองนั่นแหละที่จะกลายเป็นเหยื่อ

“ดูพวกสัตว์ร้ายสิ ถ้ามันอิ่มก็จะไม่โจมตีสัตว์ร้ายที่แข็งแกร่งระดับเดียวกัน เพราะมันรู้ว่าถ้าบาดเจ็บขึ้นมา ตัวมันก็จะกลายเป็นเหยื่อของตัวอื่น ดังนั้นพวกมันถึงได้ไม่ล่าถ้าไม่จำเป็น

“อย่าบอกนะว่าความคิดพวกแกยังสู้พวกสัตว์ร้ายไม่ได้”

ชายอีกคนที่ห่มหนังสัตว์ มือประคองปืนจากโลกเก่าไว้ ในปากคาบบุหรี่ พูดสนับสนุน

“ลูกพี่พูดถูก ยิ่งไปกว่านั้นพวกแกไม่สังเกตหรือไง อาหารของคนพวกนั้นมีแต่อาหารกระป๋องทหาร ธัญพืชอัดแท่ง แล้วก็บิสกิตอัดแข็ง!

“นี่มันหมายถึงอะไร พวกแกดูไม่ออกหรือไง

“พวกนักล่าซากอารยะทั่วไปจะมีสภาพแบบนี้ได้ก็ตอนที่เพิ่งจะเริ่มออกเดินทางจากเมืองใหญ่ไม่ก็เมืองชายแดนของกองกำลังใหญ่ แต่ว่าเท่าที่พวกเรารู้ แถวนี้ไม่มีทั้งเมืองชายแดนของกองกำลังใหญ่หรือเมืองใหญ่เลย”

ชายที่นั่งอยู่บนมอเตอร์ไซค์อีกคันพูดพึมพำ

“บางทีพวกมันอาจจะเพิ่งเจอโกดังทหารของโลกเก่าหรือเปล่า”

ชายฉกรรจ์ที่เป็นหัวหน้ากลุ่มถอนหายใจ

“เอาล่ะ พวกแกเลิกเถียงกันได้แล้ว”

แล้วเขาก็ยิ้มออกมา

“พวกแกไม่ได้สังเกตหรือไง ดูท่าแล้วพวกมันน่าจะต้องผ่านแถวนั้นใช่ไหมล่ะ ในละแวกนี้มีถนนแค่ไม่กี่เส้นที่รถจะวิ่งได้ คนที่รู้อย่างกระจ่างว่าที่นั่นมีอะไรไม่ปกติก็ยิ่งมีแค่ไม่กี่คนเท่านั้น

“ขึ้นรถได้แล้ว ระยะทางไม่ผิดแน่ พวกเราจะแอบตามไป พอพวกมันเกิดเรื่องก็รอให้สู้กันจนหมดแรง แล้วพวกเราจะเก็บกวาดไปพร้อมกันเลย!

คนอื่นๆ ต่างพากันตาลุกวาว

“รู้แล้ว ลูกพี่!”

พวกเขากระวีกระวาดขึ้นรถออฟโรด สตาร์ทมอเตอร์ไซค์

* * * * *

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท