รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 20 “แข่งรถ”

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 20 “แข่งรถ”

ชายหนุ่มสวมเสื้อแจ็คเก็ตผ้าฝ้ายเก่าๆ ที่นั่งเบาะหน้าในรถออฟโรดหันหน้ามา เปิดปากถามอย่างตื่นเด้น

“ลูกพี่ ไปกันเลยไหม”

ชายฉกรรจ์ที่แผ่กลิ่นอายดุร้ายและมีแผลเป็นที่มุมตาขวายิ้มก่อนส่ายหน้า

“ไม่ต้องรีบน่า อานุภาพปืนกับประสบการณ์ที่พวกมันมี ก็น่าจะลากได้นานอีกหน่อย ยิ่งกว่านั้น ด้วยขนาดของเจ้างูเหล็กบึงดำนั่น เลื้อยไปทางตรงมันเร็วสู้รถจี๊ปไม่ได้อยู่แล้ว

“ถ้าเราไปถึงเร็วเกินไป เราอาจจะต้องเผชิญศึกสองด้าน นั่นมันอันตรายเกินไป

“ดังนั้นเราควรฉวยโอกาสนี้เพื่อเตรียมตัวให้พร้อม จี๋ซุ่น จอดรถ!”

“ได้ ลูกพี่!” คนขับรถคือชายสูงวัยที่ห่มหนังสัตว์ฟอกสี

รถออฟโรดสีดำหยุดลงทันที ชายฉกรรจ์ที่สะพายปืนกลมือ ‘พายุฝน’ เปิดประตูก้าวลงจากรถก่อนจะเดินไปท้ายรถ

จากนั้นเขาก็ถอดเสื้อคลุมขนสัตว์สีดำที่ยับย่นรวมถึงอาวุธในมือส่งให้กับพวกพ้องที่อยู่บนมอเตอร์ไซค์ทางซ้ายมือ

หลังจากนั้นแล้วชายฉกรรจ์ก็เปิดกระโปรงท้าย ก้มลงเหยียดแขนไปดึงอะไรสักอย่างออกมา

ใบหน้าแดงก่ำเส้นเลือดหน้าผากปูดโปนขึ้นมาทันที หัวเข่าย่อต่ำลงไปอีก ราวกับว่าเขาทุ่มใช้เรี่ยวแรงกำลังจนสุดตัว

จากนั้นก็ค่อยๆ ถอยหลังไปทีละก้าวพร้อมกับลากลังไม้แตกๆ ที่ใหญ่ขนาดใส่คนได้ออกมาด้วย

เสียงดังตึง ลังไม้ก็วางลงบนพื้น

เมื่อเปิดออกก็เห็นสิ่งที่บรรจุไว้ภายใน

ภายในนั้นเป็นอุปกรณ์โลหะสีดำมีลักษณะเป็นเกราะและมีโครงสร้างคล้ายกระดูกที่ทำจากโลหะอยู่ภายนอก

“อาอวี่ จี๋ซุ่น มาช่วยหน่อย” ชายฉกรรจ์หันหน้าไปบอกชายหนุ่มในเสื้อแจ็คเก็ตผ้าฝ้ายเก่าๆ กับชายวัยกลางคนที่ทำหน้าที่ขับรถ

อาอวี่กับจี๋ซุ่นเดินไปคนละฝั่ง แล้วช่วยกันยกอุปกรณ์ในลังไม้ออกมาโดยไม่ต้องออกแรงมากนัก

ด้วยแรงโน้มถ่วงของโลก อุปกรณ์จึงคลี่ออกอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นรูปร่างลักษณะที่สมบูรณ์

มันลักษณะใกล้เคียงรูปร่างของมนุษย์มาก มีหมวกโลหะ พร้อมแว่นคริสตัล ด้านล่างหมวกเป็นชิ้นส่วนเกราะมากมายที่เชื่อมต่อกันเพื่อปกป้องท่อและสายไฟที่สำคัญ

ข้างใต้เกราะส่วนนี้เป็นกล่องสะพายหลังขนาดใหญ่ที่เป็นเหล็กสีดำดูแข็งแรงเป็นอย่างมาก รอบข้างของกล่องพลังงานสะพายหลังคือชิ้นส่วนโลหะมากมายที่ราวกับเป็นกระดูก ไม่ว่าจะเป็นกระดูกส่วนคอ กระดูกสันหลัง กระดูกแขนด้านนอก กระดูกต้นแขน กระดูกแขนด้านใน กระดูกสะบัก กระดูกต้นขา สะบ้า กระดูกหน้าแข้ง และกระดูกน่อง พวกมันมีจุดเชื่อมต่อเช่นเดียวกัน และก็แถบสายรัดโลหะกับเซ็นเซอร์ตรวจจับที่อัดกันอยู่มากมาย

ท่ามกลางกระดูกเหล่านี้ เกราะที่หนาที่สุดถูกยึดเข้ากับกระดูกสันหลัง แขนทั้งสองข้างติดตั้งเครื่องยิงระเบิดและอาวุธแม่เหล็กไฟฟ้าฝังเอาไว้ด้วย

นี่คือเกราะกระดูกเสริมแรงชนิดใช้ทางการทหาร ซึ่งยังไม่สามารถผลิตออกมาเป็นจำนวนมากได้ ต่อให้เป็นกองกำลังขนาดใหญ่ ก็มีเพียงแค่คนระดับหัวกะทิของหัวกะทิถึงจะมีโอกาสได้ใช้อุปกรณ์ประเภทนี้ มันคือเครื่องจักรสังหารอย่างแท้จริง

มันไม่เพียงแต่จะเคลื่อนไหวร่วมกับมนุษย์ได้อย่างคล่องแคล่วลื่นไหลผ่านระบบเซนเซอร์ที่ซับซ้อนและแม่นยำจนทำให้

ความแข็งแกร่ง ความเร็ว และการรักษาสมดุลของผู้สวมใส่ทะลุเกินกว่าขีดจำกัดของมนุษย์เท่านั้น แต่ยังติดตั้งระบบอาวุธยิงไกล ระบบเล็งเป้าความแม่นยำสูง ระบบผู้ช่วยสู้ประชิด ระบบเตือนภัยรอบทิศ ระบบกรองแก๊สพิษ และเกราะกันกระสุนสำหรับป้องกันส่วนที่สำคัญอีกด้วย

เฉกเช่นเดียวกับการประดิษฐ์อาวุธร้อนที่ทำให้ในการต่อสู้ต้องการความแข็งแกร่งทางกายภาพของมนุษย์น้อยลง อุปกรณ์เกราะกระดูกเสริมแรงก็ช่วยลดการสูญเสียพลังของผู้สวมใส่ลงไปได้มาก ทำให้พวกเขาสามารถต่อสู้แบบยืดเยื้อได้ดีขึ้น

ขอเพียงแค่สวมอุปกรณ์เช่นนี้ไว้ การที่คนเพียงคนเดียวจะตะลุยต่อสู้กับคนทั้งทีมที่ใช้เพียงแค่อาวุธเบาก็ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันอีกต่อไป

ด้วยความเร็วระดับเหนือมนุษย์และระบบเตือนภัยรอบทิศ การที่จะยิงโดนตำแหน่งที่ไม่มีเกราะป้องกันของร่างกายผู้สวมใส่จึงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก

ชายฉกรรจ์เดินเข้ามาแล้วสวมเกราะเสริมแรงโดยอาศัยความช่วยเหลือจากอาอวี่กับจี๋ซุ่น รัดสายโลหะแต่ละชิ้นติดตั้งลงบนร่างทีละส่วน

ขั้นตอนสุดท้าย เขาปรับแว่นคริสตัลบนหมวกเกราะ และเปิดใช้งานอุปกรณ์

หลังจากที่ระบบตรวจสอบตัวเองเสร็จสิ้น ชายฉกรรจ์ก็หัวเราะออกมา

“มีแบตเตอรี่เหลือ 30 เปอร์เซนต์ ใช้งานได้ราวสองชั่วโมง… เหลือเฟือ”

ขณะที่พูด มือของเขาซึ่งตอนนี้ถูกห่อหุ้มด้วยกระดูกเสริมโลหะสีดำ ก็หยิบปืนกลมือ ‘พายุฝน’ ขึ้นมาแบบสบายสบาย ราวกับว่าเป็นปืนของเล่นที่ไม่ได้หนักอะไรแม้แต่น้อย

* * * * *

“ทะ ทำไงกันดี” หลงเยว่หงหายใจไม่ทั่วท้องเมื่อได้ยินคำว่า ‘งูเหล็กบึงดำ’

ในสถานการณ์เช่นนี้ ตัวเขาที่ไม่เคยมีประสบการณ์จึงทำได้เพียงขอคำตอบจากเจี่ยงไป๋เหมียนและไป๋เฉิน

เขาเห็นชัดเจนเต็มตาว่าปืนไรเฟิลจู่โจมที่ซางเจี้ยนเย่ายิงไปเป็นชุดนั้นไม่สามารถทำอะไรงูเหลือมยักษ์ได้ ทำได้เพียงความเสียหายเล็กน้อยบนเกล็ดด้านนอกเท่านั้น

เมื่อรวมเข้ากับสิ่งที่เรียนรู้มาก่อนหน้านี้ เขาคาดว่าปืนพกลำกล้องใหญ่ ‘ยูไนเต็ด 202’ และ ปืนไรเฟิล ‘เจ้าส้ม’ ของไป๋เฉิน ที่สามารถใช้เป็นปืนสไนเปอร์ซุ่มยิงได้ ก็คงไม่สามารถเจาะทะลวงชั้นเกราะหนาของงูเหล็กบึงดำได้เช่นกัน ยกเว้นว่าจะสามารถยิงโดนจุดตายที่ไม่มีเกราะป้องกัน

ส่วนประสิทธิภาพของปืนยิงระเบิดนั้น ถึงแม้ว่าหลงเยว่หงไม่แน่ใจนัก แต่ก็รู้สึกว่าน่าจะไร้ประโยชน์เช่นเดียวกัน เพราะเป้าหมายของระเบิดก็คือการสร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง แต่ไม่ใช่การเจาะทะลวงเกราะ

เจี่ยงไป๋เหมียนเหลือบมองผ่านกระจกหลัง

“ลองซิ่งรถแข่งกับมันดูก่อน

“เจ้านี่มันไม่น่าจะถนัดเรื่องนี้ และนอกจากนั้นก็คือมันเหนื่อยเป็น แต่รถไม่เหนื่อย ตราบเท่าที่แบตเตอรี่พลังสูง เครื่องยนต์ และยางรถ ยังสามารถทนไหว ถึงจะซิ่งแข่งกันจนถึงพรุ่งนี้เช้าก็ไม่มีปัญหา”

ระหว่างที่เจี่ยงไป๋เหมียนพูด ไป๋เฉินไม่ได้ชะลอความเร็วมากนัก เธอเพียงแค่เลิกเหยียบคันเร่งมิดเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้รถทำงานเกินกำลังจนอาจเกิดความเสียหาย

เห็นได้ชัดว่าเธอเลือกที่จะ ‘แข่งรถ’ กับเจ้างูเหล็กบึงดำ เพื่อจะได้ไม่ต้องต่อสู้เผชิญหน้า

รถจี๊ปแล่นด้วยความเร็วสูง ตลอดทางมากระแทกทั้งก้อนหินและตอไม้เป็นระยะ ทำให้คนในรถกระเด้งกระดอนรู้สึกราวกับกำลังเหาะอยู่

หากไม่ใช่เพราะว่าไป๋เฉินมีทักษะการขับรถที่ยอดเยี่ยมและประสบการณ์ขับรถในแดนร้างอันยาวนาน ทำให้เธอตอบสนองทันเวลาและตัดสินใจได้อย่างถูกที่ถูกเวลาแล้วล่ะก็ รถจี๊ปคงพลิกคว่ำหลายตลบจนพังยับเยินไปแล้ว

เจ้างูเหล็กบึงดำตัวยักษ์ดูเหมือนจะหงุดหงิด มันใช้ทั้งต้นไม้ริมทางและวัชพืชรกหนาแน่นเพื่อไล่กวดซางเจี้ยนเย่ากับคนอื่นๆ ทั้งจากบนท้องฟ้าและพื้นดินอย่างไม่ลดละ

ความเร็วของมันนั้นย่อมไม่สามารถเทียบได้กับความเร็ว ‘ปานกระสุน’ ของรถจี๊ป แต่เนื่องจากสภาพภูมิประเทศทำให้ไป๋เฉินไม่สามารถรักษาระดับความเร็วสูงไว้ได้ตลอด เธอต้องลดความเร็วลงเป็นครั้งคราวเพื่อหลบสิ่งกีดขวางหรือหล่ม ดังนั้นแม้ว่าระยะห่างของทั้งสองฝ่ายจะฉีกกว้างขึ้นเรื่อยๆ แต่เจ้างูเหล็กบึงดำก็ยังไม่ถูกสลัดทิ้ง

ในระหว่างนี้ งูยักษ์อ้าปากไปสองครั้งเพื่อพ่นพิษและควันพิษ แต่ด้วยระยะทางที่ห่างกันมันจึงไม่เกิดผลอะไรกับรถจี๊ปสีเขียวอมเทา

ผ่านไปสองครั้งเจ้างูยักษ์เหมือนจะฉลาดขึ้น มันเลิกจู่โจมระยะไกลแล้วไล่กวดรถจี๊ปอย่างเอาเป็นเอาตาย

สองสามนาทีหลังจากนั้น ไป๋เฉินก็ตบเบรคแล้วหักพวงมาลัยทันที

เสียงเล็กแหลมดังขึ้น รถจี๊ปสีเขียวอมเทาหมุนเลี้ยวขวางก่อนจะหยุดลง

หลงเยว่หงกับซางเจี้ยนเย่าไม่ลืมคาดเข็มขัดนิรภัยเมื่อขับรถด้วยความเร็วสูง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ถูกเหวี่ยงกระเด็นออกนอกรถ แต่ถูกดึงด้วยแรงเฉื่อย

ก่อนที่สติจะกลับมา ไป๋เฉินก็พูดเสียงต่ำ

“ภูมิประเทศข้างหน้าเปลี่ยนไป!”

เจี่ยงไป๋เหมียนก็พบเห็นปัญหาแล้วเช่นกัน

เบื้องหน้าพวกเขาเป็นหล่มสีดำไปจนสุดสายตา ต้นไม้ผิดรูปงอกอยู่ประปราย ไม่มีเส้นทางให้ยานพาหนะแล่นผ่านไปได้

ราวกับว่าหนองน้ำขยายออกในบางจุดจนกลืนเส้นทางที่เคยมี

ไม่ว่าจะซ้ายหรือขวาก็มองไม่เห็นขอบเขต ไม่รู้ว่าต้องขับอ้อมไปอีกไกลแค่ไหน และไม่รู้ว่าบึงน้ำนั้นโอบล้อมพื้นที่บริเวณนี้ทั้งหมดเลยหรือไม่ ตอนนี้ทำได้แต่เพียงต้องถอยกลับไปตามทางเส้นเดิมเท่านั้น

ขณะที่ไป๋เฉินกำลังคิดอยู่ว่าจะเสนอไปดีไหมว่าให้ ‘แข่งรถ’ ต่อไปโดย ‘ขับวน’ ไปเรื่อยๆ เจี่ยงไป๋เหมียนก็ตะโกนขึ้นมา

“ซางเจี้ยนเย่า ส่งแท่งโลหะที่ท้ายรถมาให้ฉัน

“ไป๋เฉิน เธอใช้ฝากระโปรงหน้าเป็นจุดค้ำ เตรียมซุ่มยิงที่ตาเจ้างูเหล็กบึงดำ”

ไม่มีใครถามอะไร ในช่วงนาทีวิกฤตนี้ทุกคนเลือกเชื่อมั่นในตัวหัวหน้าทีมและฟังคำสั่งเธอทุกอย่าง

ซางเจี้ยนเย่าปลดเข็มขัดนิรภัย เอนตัวไปด้านหลังหยิบแท่งโลหะแล้วยื่นส่งให้เจี่ยงไป๋เหมียนที่เปิดประตูลงจากรถไปแล้ว

พวกเขาเคยเห็นของสิ่งนี้มาแล้ว และก็ยังคาใจว่าทำไมหัวหน้าไม่เอาเต็นท์มา แต่กลับเอาเจ้าของประหลาดนี้มาแทน

ไป๋เฉินหยิบปืนไรเฟิล ‘เจ้าส้ม’ มาวางบนฝากระโปรงรถจี๊ปที่จอดขวางลำอยู่ เมื่อเข้าประจำตำแหน่งแล้วก็แนบดวงตาเข้ากับกล้องเล็ง

เจี่ยงไป๋เหมียนจับแท่งโลหะด้วยมือซ้ายก่อนจะยืดตัวขึ้น

งูเหลือมยักษ์ที่ปกคลุมด้วยเกล็ดสีดำเป็นชั้นเลื้อยตรงดิ่งมาข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ใกล้เข้ามาทุกขณะ

สายลมรอบข้างราวกับถูกย้อมด้วยกลิ่นเน่าเหม็น

เมื่อเห็นว่าเจ้างูยักษ์บึงดำที่น่าหวาดหวั่นตัวนี้เข้าสู่ระยะที่ปล่อยควันพิษได้ เจี่ยงไป๋เหมียนถือแท่งโลหะในไว้ในมือซ้ายแล้ววิ่งไปข้างหน้าสองก้าว

ทันใดนั้นร่างก็หยุดชะงักแล้วเธอก็อาศัยแรงเหวี่ยงขว้างแท่งโลหะไปที่งูเหล็กบึงดำ

ในเวลาเดียวกัน แสงประกายไฟฟ้าเส้นใหญ่สั่นวูบไหวปรากฏขึ้นระหว่างมือซ้ายเธอกับแท่งโลหะ!

แสงประกายไฟฟ้าขดม้วนรอบแท่งโลหะทำให้เกิดเสียงดังซี่ซี่ซี่

แล้วตอนนั้นแท่งโลหะก็แปรเปลี่ยนกลายเป็นลำแสงสายฟ้าสีเงินยวงลำใหญ่พุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้วตกลงใส่ร่างของเจ้างูยักษ์บึงดำราวกับถูกลงโทษจากทัณฑ์สวรรค์

งูยักษ์สัมผัสได้ถึงอันตรายแต่การจู่โจมนั้นไม่ได้ร้ายแรง ดังนั้นมันจึงเพียงแค่บิดลำตัวเพื่อหลบไม่ให้แท่งโลหะแทงมาที่หัวมัน

เคร้ง!

แท่งโลหะที่มีสายฟ้าสีขาวเงินจำนวนนับไม่ถ้วนม้วนพันไว้โดยรอบปะทะเข้ากับลำตัวที่ทั้งยาวทั้งหนาของงูเหล็กบึงดำ

ไม่ต้องสงสัยเลย ด้วยพละกำลังของเจี่ยงไป๋เหมียนนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ที่แท่งโลหะจะแทงทะลุเกล็ดที่หนาแข็งหลายชั้นนั้นได้ แต่ทว่าแท่งโลหะนั้นมาพร้อมกับสายฟ้าอันน่ากลัว!

เสียงซี่ที่ดังขึ้น สายฟ้าสีเงินยวงส่องสว่างพื้นดินสีดำอมเทารอบข้าง สายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนก็แผ่ลามเลียไปทั่วทุกมุมร่างของงูยักษ์ทันทีด้วยความเร็วที่ไม่อาจหยุดยั้งได้

เจ้างูยักษ์หยุดชะงัก เป็นอัมพาตไปในทันที

แม้จะไม่ได้คาดคิดว่าจะเกิดเหตุเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ แต่ไป๋เฉินที่เตรียมพร้อมไว้แล้วก็ไม่ได้ลังเล หลังจากปรับทิศทางปากกระบอกปืนเล็กน้อย เธอก็เหนี่ยวไกของ ‘เจ้าส้ม’ ด้วยความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่

ปัง!

กระสุนสีเหลืองแวววาวถูกยิงออกไป มุ่งตรงไปยังดวงตาเย็นชาสีเหลืองเข้มของงูเหล็กบึงดำ

เจ้างูยักษ์สัมผัสรับรู้ถึงอันตรายร้ายแรงที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่มันถูกไฟฟ้าช็อตจนเป็นอัมพาต ทำได้เพียงแค่มองดู แต่ไม่อาจหลบหลีกได้

เสียงดังปุ กระสุนเจาะเข้าไปในดวงตาเย็นชาที่มีรูม่านตาแนวตั้ง ทะลุเข้าไปในสมองและหมุนควงอย่างบ้าคลั่ง

แสงสายฟ้าเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว ปากที่อ้ากว้างของเจ้างูยักษ์เปล่งเสียงร้องแบบงูที่อธิบายไม่ถูก

ร่างมันล้มฮวบลงทันทีแล้วดิ้นพล่านอย่างบ้าคลั่งฟาดต้นไม้ที่รายรอบล้มลงไปหลายต้น

เพียงไม่นานอสรพิษยักษ์ก็หยุดนิ่งไม่ขยับเขยื้อน

เจี่ยงไป๋เหมี่ยนหันไปมองดูสีหน้าว่างเปล่าของซางเจี้ยนเย่าและหลงเยว่หง เธอยิ้มพลางใช้มือซ้ายลูบแขนขวา

“แขนชีวภาพพลังไฟฟ้า คุ้มค่าคุ้มราคา น่าเป็นเจ้าของ”

* * * * *

ห่างไปไม่ไกลจากซางเจี้ยนเย่าและคนอื่นๆ ชายฉกรรจ์ในชุดเกราะเสริมแรงกับพวกพ้องได้ยินเสียงปืนและเสียงร้อง จากนั้นก็รู้สึกถึงแรงสะเทือนของพื้นดินกับเสียงต้นไม้ล้มฟาด

สีหน้าชายฉกรรจ์เบิกบานขึ้นมา

“พวกนั้นมาถึงช่วงดุเดือดและลำบากที่สุดแล้ว

“ตอนนี้แหละ ลุย!”

* * * * *

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท