รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 23 สูญเสียสติสัมปชัญญะ

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 23 สูญเสียสติสัมปชัญญะ

ถึงแม้ว่าจะโกรธแค้นอย่างหน้ามืดตามัวจนยอมเสี่ยงเอาตัวเข้าแลก แต่ชายฉกรรจ์ยังคงรักษาความมีเหตุผลขั้นพื้นฐานไว้ได้ เขาไม่ได้คิดที่จะทิ้งชีวิตตนเพื่อแก้แค้นให้ลูกน้องทั้งสองคน

ตามแผนที่ตั้งใจไว้คือจากบนฝากระโปรงรถจี๊ป เขาจะใช้ขาอันทรงพลังของเกราะกระดูกเสริมแรงกระโดดขึ้นอีกครั้งเพื่อหลบเลี่ยงการยิงคุกคามจากศัตรูทั้งทางด้านหน้าและด้านหลัง จากนั้นขณะที่ลอยตัวอยู่ก็จะยิงระเบิดเพื่อสังหารชายหญิงทั้งสามที่หลบอยู่ที่รถ!

ในระหว่างนั้นยังสามารถยิงปืนกลจากกลางอากาศได้อีกรอบ เท่านี้ก็สามารถกำจัดเป้าหมายได้หมดทุกคนในคราเดียวไม่มีใครเหลือรอด

แล้วจากนั้นเปิดใช้งานอุปกรณ์ไอพ่นแบบเรียบง่ายของชุดเกราะเสริมแรงเพื่อเปลี่ยนทิศทางกลางอากาศ ไม่เปิดโอกาสให้ศัตรูที่หลบอยู่ที่ซากงูยักษ์มีโอกาสโจมตีสวนกลับได้

ขณะที่ชายกำยำย่อเข่าลงเล็กน้อยเพื่อจะกระโดดขึ้นนั้น ความคิดอันแรงกล้าก็แวบขึ้นมาในหัวของเขาทันที

ไม่! ไม่ทำแบบนั้น!

เขารู้สึกว่าศัตรูที่ยิงลูกน้องเขาจนพรุนเป็นรังผึ้งนั้น จะต้องสู้กันแบบซึ่งๆ หน้า ทำให้พวกมันหวาดกลัวและสำนึกเสียใจ นี่ถึงจะระบายความโกรธแค้นในใจเขาไปได้ มีเพียงทำแบบนี้ถึงจะล้างแค้นให้ลูกน้องของเขาได้อย่างแท้จริง!

การกระโดดขึ้นไปบนที่สูงแล้วกราดยิงลงมานั้นเป็นการกระทำของคนขี้ขลาด ไร้ซึ่งความจริงใจ!

ลูกผู้ชายตัวจริงจะต้องฟาดฟันกันซึ่งๆ หน้า!

ความคิดนี้กลายเป็นแรงกระตุ้นที่ไม่อาจควบคุมได้ ทำให้ชายฉกรรจ์ยกเลิกแผนเดิมทันที

แน่นอนว่าเขาไม่ได้สูญเสียสติสัมปชัญญะไปจนหมด ด้วยเกราะเสริมแรงที่ใส่อยู่นี้ เขาย่อเอวก้มตัวลงราวกับเป็นยักษ์ เมื่ออยู่ในท่านี้ ชายสองหญิงหนึ่งที่หลบอยู่ทางหน้ารถก็จะเจอกับหมวกโลหะและเกราะหน้าอก รวมถึงจุดอื่นๆ ที่ปกคลุมด้วยเกราะเสริมแรง มีเพียงช่องว่างไม่กี่จุดเท่านั้นที่สามารถยิงถูกร่างกายเขาในจุดที่ไร้เกราะป้องกันได้

วินาทีถัดมาเขาเห็นดวงตาของเป้าหมายดูดำมืดกว่าคนปกติทั่วไป

คราวนี้ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้แสดงความกล้าออกมาอีก เลิกล้มการเล็งปืน รีบกระโดดไปด้านข้างแล้วกลิ้งม้วนตัว

เจี่ยงไป๋เหมียนที่อยู่ด้านหลังของชายฉกรรจ์พบว่าในตอนนี้ท่าทางของฝ่ายตรงข้ามนั้นเปิดโอกาสที่เหมาะสมที่สุด ยังไม่ทันได้คิดอะไรก็เหนี่ยวไกยิงไปตามสัญชาตญาณทันที

ปัง!

ลูกกระสุนสีเหลืองแวววาวพุ่งตัดอากาศเป็นระยะทางยี่สิบสามสิบเมตร ผ่านเกราะเสริมแรงเจาะเข้าไปในบริเวณเยื้องกับจุดเชื่อมต่อระหว่างกระดูกสันหลังและกล่องพลังงานสะพายหลัง

เข้าเป้าตรงตามตำแหน่งที่เจี่ยงไป๋เหมียนเล็งเอาไว้ราวกับจับวาง

สำหรับนักแม่นปืนอย่างเธอแล้วนี่ไม่ใช่เรื่องยากอะไร ถึงแม้ระยะห่างจะเพิ่มอีก 20 เมตรก็ไม่ใช่ปัญหา

เสียงทึบดังขึ้น ด้านหลังของชายฉกรรจ์มีดอกไม้โลหิตผลิบานสาดกระเซ็นออกมา

ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงจนทำให้ร่างกายเขาเกือบเป็นอัมพาตนั้นทำให้เขามีสติแจ่มใสขึ้นมาทันที ไม่อยากเชื่อว่าตัวเองจะสิ้นคิดจนตัดสินใจผิดพลาดในยามหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนั้น และเลือกทางเลือกเลวร้ายที่สุดลงไป

ปัง! ปัง! ปัง!

กระสุนนัดที่สองของเจี่ยงไป๋เหมี่ยนเดินทางมาถึงตามกำหนดการ ไป๋เฉินเองก็ระเบิดกระสุนใส่หน้าท้องของชายฉกรรจ์ ส่วนการระดมยิงของหลงเยว่หงนั้นถูกป้องกันไว้โดยหมวกโลหะและเกราะหน้าอก ไม่สามารถสร้างความเสียหายให้ศัตรูได้

ชายฉกรรจ์รู้ดีว่าเขาไม่มีทางให้หนีได้อีกแล้ว สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นดุร้ายทันที

ในขณะที่ความคิดเริ่มพร่าเลือนเขาก็เตรียมจะยิงระเบิดและสาดกระสุนอย่างบ้าคลั่ง ยอมแลกชีวิตกับศัตรูตรงหน้าให้ตายตกตามกัน

แต่ทว่า… ไม่ว่ายังไงเขาก็ไม่อาจเหนี่ยวไกได้

ต่อให้เป็นคนที่ไม่เคยหัดยิงปืนมาก่อน แต่ตราบใดที่พอจะมีสามัญสำนึกอยู่บ้างก็จะไม่ทำอะไรแบบนี้ออกมาแน่นอน

สองมือของเขาราวกับว่าได้ตายลงไปแล้ว

ตุ๊บ! พลั่ก!

ชายฉกรรจ์ในชุดเกราะเสริมแรงที่มีน้ำหนักถึงเจ็ดแปดสิบกิโลกรัมล้มลงกระแทกฝากระโปรงรถอย่างแรง เลือดสีแดงสดไหลนองเปรอะเปื้อนรอบข้างอย่างรวดเร็ว

ดวงตาของเขาเบิกถลนราวกับว่าในใจเต็มไปด้วยความสงสัยและไม่ยินยอม

รถออฟโรดสีดำที่อยู่ไกลออกไปนั้น หลังจากที่คนขี่มอเตอร์ไซค์กรีดร้องมันก็เร่งเครื่องพุ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่งแล้ว

แต่ทว่ายังคงช้าไปหนึ่งก้าว เมื่อมันแล่นมาถึงระยะยิงของคนในรถ ชายสองคนที่ชื่อจี๋ซุ่นและอาอวี่ก็ได้เห็นดอกไม้โลหิตพุ่งออกมาจากด้านหลังของหัวหน้าแล้ว

อาอวี่ร้องตะโกนลั่น ยื่นร่างส่วนบนออกมานอกหน้าต่างรถเพื่อจะยิงสังหารศัตรู

ในตอนนี้หัวหน้าโจรล้มลงไปกองกับฝากระโปรงแล้ว ด้วยน้ำหนักที่มากผิดปกติจึงทำให้รถจี๊ปสั่นสะเทือน

เสียงเอี๊ยดแหลมดังขึ้น รถออฟโรดสีดำดริฟต์เป็นวงกว้างตัวถังหันข้างหมุนเปลี่ยนทิศ

อาอวี่เกือบโดนเหวี่ยงออกไปนอกรถ แต่เพราะเสื้อผ้ารุ่มร่ามและหาที่ยึดไว้ได้ทันเลยไม่ได้ออกไปเหินฟ้า

เอี๊ยด!

รถออฟโรดสีดำหักเลี้ยวอีกครั้งก่อนจะพุ่งทะยานกลับไปตามเส้นทางที่มันมาอย่างรวดเร็ว

“แกทำอะไรวะ” อาอวี่ผลุบกลับเข้ามาในรถ ตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด

ชายมีอายุที่ชื่อจี๋ซุ่นที่กำลังจับพวงมาลัยอยู่ตอบกลับด้วยเสียงอันดัง

“ก็หนีน่ะสิ!”

“ลูกพี่กับคนอื่นยังอยู่ที่นั่นนะ!” อาอวี่จ่อปืนพก ‘ยูไนเต็ด 202’ ของเขาที่ขมับของจี๋ซุ่นแล้วตะคอก “กลับไปเดี๋ยวนี้!”

ดวงตาเขาแดงก่ำด้วยเส้นเลือดฝอย

จี๋ซุ่นไม่ขยับ เขาตะคอกกลับ

“ลูกพี่ตายแล้ว!

“แกอยากตายไปด้วยหรือไง”

เขาเหยียบคันเร่งจนเกือบมิด

ริมฝีปากอาอวี่สั่นขยับสองสามครั้ง สีหน้าเปลี่ยนไปแปรมา

หลังจากนั่งทื่ออยู่พักหนึ่ง เขาก็เหวี่ยงแขนที่ถือปืนกลับไปแล้วกระแทกตัวลงที่เบาะนั่งข้างคนขับอย่างแรง

“แกมันไอ้ผีตาขาว!” เขาตวาดด้วยความโกรธแค้น

“ฉันก็เป็นผีตาขาวเหมือนกัน…” น้ำเสียงเขาค่อยๆ เบาลง น้ำตานองหน้า

* * * * *

“โห เผ่นแน่บอย่างไว” เจี่ยงไป๋เหมียนถอดเปลี่ยนแม็กกาซีนปืนพก ‘มอสน้ำแข็ง’ ขนาด 9 มม. พลางมองดูรถออฟโรดสีดำควบหายไปจากสายตา แล้วถอนใจด้วยความเสียดาย

น่าเสียดายที่ตอนลงมาจากรถจี๊ปไม่ได้หยิบปืนยิงระเบิดติดมือมาด้วย ไม่งั้นแล้วเธอคงจุดพลุใส่ศัตรูที่กำลังเผ่นไปแล้ว

ที่รถจี๊ปนั้น หลงเยว่หงยิงจนกระสุนหมดเกลี้ยงถึงได้หยุดมือ ก้มตัวหอบหนักหน่วง

ดวงตาเขายังเหม่อ จิตใจล่องลอย ราวกับสติหลุดเข้าสู่โลกส่วนตัว ตัดขาดจากโลกภายนอก

ไป๋เฉินถือปืนไรเฟิล ‘เจ้าส้ม’ มองดูรอบๆ เมื่อพบว่าไม่เหลือศัตรูอยู่อีกแล้วถึงได้ถอนหายใจโล่งอก

สีหน้าของเธอยังค่อนข้างสงบ ราวกับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันที่เจอบ้างเป็นครั้งคราว แต่ไม่ได้มีค่าอะไรให้ใส่ใจ

เธอเห็นปืนยิงระเบิดที่เจี่ยงไป๋เหมียนวางไว้ที่เบาะข้างคนขับก่อนหน้านี้แล้ว แต่หลังจากเธอตรวจจนมั่นใจว่าชายฉกรรจ์ตายสนิทแล้วแน่นอนโดยไม่ต้องยิงซ้ำ ในตอนนั้นรถออฟโรดก็บึ่งไปไกลแล้ว ตัวเธอที่ไม่ค่อยถนัดใช้ปืนยิงระเบิดจึงรู้สึกว่าไม่คุ้มค่าที่จะยิงทิ้งยิงขว้างออกไป

ยิงไปก็เสียของเปล่าๆ… ไป๋เฉินละสายตาหันกลับมามองดูซางเจี้ยนเย่าที่อยู่ห่างออกไปเจ็ดแปดเมตร

เธอไม่เข้าใจการกระทำของชายฉกรรจ์ในครั้งสุดท้ายนั่น

สถานการณ์ก่อนหน้านี้ ศัตรูที่สวมเกราะกระดูกเสริมแรงนั้นมีโอกาสดีมากที่จะสังหารพวกเขาทั้งสามคนโดยแลกกับการบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยหรือแค่รอยฟกช้ำ

เท่านั้น แต่ผิดคาด ราวกับว่าเขาโกรธจนขาดสติ ไม่ได้มีกลยุทธอะไรเลย มีเพียงแค่ความบ้าบิ่น บ้าบิ่น และก็บ้าบิ่นเท่านั้นเอง

และในตอนนั้นมีเพียงซางเจี้ยนเย่าที่มีปฏิกิริยาต่างไปจากคนอื่น เขาพุ่งไปด้านข้างล่วงหน้า

ไป๋เฉินเม้มริมฝีปากและมองไปทางเจียงไป๋เหมียนที่กำลังวิ่งกลับมา

“พวกเธอบาดเจ็บไหม”

ในรถจี๊ปมีชุดปฐมพยาบาลอยู่

เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนั้นก็ทำให้หลงเยว่หงสะดุ้งฟื้นคืนสติกลับคืนสู่โลกแห่งความจริง

ร่างกายเขาสั่นเทิ้มจากความตึงเครียด แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นเขาก็รีบสำรวจสภาพของตัวเองทันที

“ผม… ผมไม่เป็นไร”

ซางเจี้ยนเย่าเองก็ตอบด้วยรอยยิ้ม

“ผมปวดหัวนิดหน่อย”

“อาจเป็นเพราะเสียงระเบิดกับเสียงปืน ทำให้เกิดแรงดันขึ้นในหู” ไป๋เฉินประเมินจากสถานการณ์ก่อนหน้าแล้ววิเคราะห์ออกมา

“ทำได้ดีมาก” เจี่ยงไป๋เหมียนกล่าวชมไป๋เฉินเมื่อเธอวิ่งกลับมาถึงรถจี๊ป “ฉันมีแผลถลอกนิดหน่อย ขอไอโอดีนขวดนึง”

พูดเสร็จเธอก็ถือโอกาสสอนหลงเยว่หงกับซางเจี้ยนเย่า

“ในแดนร้างน่ะ อันตรายร้ายแรงที่เจอกันบ่อยก็คือการติดเชื้อและมลพิษ อย่าประมาทเพราะคิดว่าคนที่ได้รับการปรับปรุงพันธุกรรมมีภูมิคุ้มกันแข็งแรงและฟื้นฟูตัวเองได้เชียวล่ะ”

หลังจากซางเจี้ยนเย่าและหลงเยว่หงผงกศีรษะรับ เจี่ยงไป๋เหมียนก็หยิบเอาขวดไอโอดีนมาฆ่าเชื้อบาดแผลที่มือตนเองแล้วยิ้มขึ้น

“เป็นไงบ้าง วิเศษไหม ตื่นเต้นรึเปล่า”

หลงเยว่หงขมวดคิ้วและพูดด้วยสีหน้าที่ซีดเซียวเล็กน้อย

“หัวหน้า เรื่องแบบนี้เอาคำว่า ‘วิเศษ’ กับ ‘ตื่นเต้น’ มาใช้อธิบายได้ด้วยเหรอ”

เขามีแต่ความกลัว เศร้าใจ และประหม่า ไม่อยากจะต้องเจออะไรแบบนี้อีกแล้ว

ถ้าไม่ใช่เพราะว่าในครั้งนี้สหายร่วมทีมไม่มีใครเสียชีวิตละก็ เขาคงจะทรุดฮวบไปแล้ว

แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังมีความรู้สึกที่ยากอธิบายเมื่อเห็นชายสามคนที่ก่อนหน้านี้เพิ่งสนทนาพาทีด้วย นอนทอดร่างเป็นซากศพอย่างน่าอนาถ

เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้โกรธที่หลงเยว่หงเถียง เธอยิ้มแล้วถอนใจ

“นี่เป็นเรื่องปกติบนแดนธุลี มันแตกต่างอย่างสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับสภาพในบริษัท

“ไว้พอนายมีประสบการณ์ต่อสู้มากขึ้น นายจะรู้เองว่าตัวเองโชคดีและมีความสุขมากขนาดไหนที่ยังรอดมาได้หลังจากการต่อสู้ในแต่ละครั้ง โดยเฉพาะการที่สหายร่วมทีมยังมีชีวิตอยู่

“เมื่อกี้ฉันต้องการให้นายผ่อนคลาย เพื่อจะได้พ้นจาก ‘ภาวะการถูกกระทบกระเทือนทางจิตใจจากเหตุการณ์รุนแรง’ โดยเร็วที่สุด

“อ้อ อย่าไปเทียบกับซางเจี้ยนเย่าล่ะ โรคประจำตัวของเขาเป็นหนักยิ่งกว่านี้ซะอีก แค่เรื่องยิงกันแค่นี้ทำอะไรเขาไม่ได้หรอก”

ซางเจี้ยนเย่าอ้าปากเหมือนต้องการจะแย้งว่าเขาไม่ได้มีอะไรผิดปกติ ก็พอดีกับที่ไป๋เฉินผลักศพที่สวมเกราะกระดูกเสริมแรงให้หล่นจากฝากระโปรงรถ เกิดเสียงกระแทกพื้นอย่างแรง

ไป๋เฉินเปิดฝากระโปรงหน้าเพื่อตรวจสอบสภาพเครื่องยนต์

กระสุนหลายนัดติดคาอยู่ในหน้ารถ

“เป็นไงบ้าง” เจี่ยงไป๋เหมียนถาม

“เสียหายไม่น้อย… ไม่รู้จะซ่อมได้ไหม ฉันจะลองดูก่อนละกัน” ไป๋เฉินดึงขยับผ้าพันคอสีเทาที่พันอยู่รอบคอเธอ แล้วเดินไปที่ท้ายรถหิ้วกล่องพลาสติกที่ใส่เครื่องมือซ่อมแซมออกมา “หวังว่าจะซ่อมได้นะ”

เจี่ยงไป๋เหมียนหันไปทางซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หง

“พวกนายไปเก็บกวาดสนามรบ รวบรวมของมีค่า ฉันจะรับหน้าที่เฝ้าระวังให้เอง เอาล่ะ เริ่มจากตรงนี้ก่อนเลย”

“ครับ” ซางเจี้ยนเย่าและหลงเยว่หงเดินตรงไปที่ซากศพที่สวมเกราะเสริมแรงพร้อมกัน

ถ้าหากพวกเขาถอดเกราะเสริมแรงออกมาได้เร็วและรีบฝึกใช้ให้ชำนาญก็จะเพิ่มโอกาสในการรับมือกับเหตุการณ์ในอนาคตมากขึ้น

* * * * *

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท