ศพถูกโยนออกไปทั้งสูงทั้งไกล แล้วตกลงไปในบึงน้ำเบื้องหน้า โคลนกระเด็นสาดกระจาย
แล้วจมลงในพื้นสีดำอ่อนนุ่ม ค่อยๆ จมลงทีละนิ้ว
ถัดจากนั้นก็เกิดเหตุการณ์ที่คล้ายกันนี้อีกสองครั้ง ต่างเพียงแค่ศพถูกฝังลงไปในโคลนลึกกว่ากันเล็กน้อย
ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงต่างมองหน้ากันอยู่สองสามวินาทีก่อนละสายตาแล้วหมุนกายเดินกลับไปที่รถจี๊ป
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้ถามว่าใครอยากขี่มอเตอร์ไซค์เป็นคนแรก ขณะเดียวกันก็รีบสวมหมวกนิรภัยแล้วขึ้นคร่อมมันทันที
เธอสะพายปืนกลมือขนาดเล็กเอาไว้ที่หลัง หันไปมองซางเจี้ยนเย่ากับคนอื่นๆ ก่อนพูดด้วยรอยยิ้ม
“อยากซิ่งอะไรแบบนี้มาตั้งนานแล้วล่ะ แต่ยังไม่มีโอกาสซักที”
ก่อนจะพูดจบเธอก็บิดเร่งเครื่อง มอเตอร์ไซค์ส่งเสียงคำรามต่ำๆ ดังกระหึ่ม
เจี่ยงไป๋เหมียนก้มตัวลง แม้ว่านี่จะเป็นการขี่มอเตอร์ไซค์ครั้งแรกในชีวิต แต่เธอก็ทำท่าได้ราวกับเป็นมืออาชีพ
เสียงเครื่องยนต์คำรามก้องแล้วรถมอเตอร์ไซค์ก็พุ่งทะยานไปราวกับลูกศร มุ่งตรงไปยังริมบึงแล้วหายลับไปจากสายตา
“ความโรแมนติกของเหล็กและน้ำมัน…” หลงเยว่หงพึมพำอย่างอิจฉา “ล่องลอยอิสระดั่งสายลม”
ในขณะที่เสียงเครื่องยนต์ยังดังอยู่ รถมอเตอร์ไซค์ก็เลี้ยวกลับมาแล้วจอดอยู่ไม่ไกล
เจี่ยงไป๋เหมียนใช้เท้ายันพื้นแล้วดันหน้ากากกันลมของหมวกนิรภัยขึ้น หัวเราะแห้งๆ ออกมาสองคำ
“ไปทางนี้หรือว่าทางนั้นล่ะ ไป๋เฉิน”
ไป๋เฉินก้มหัวมองผ้าพันคอตัวเองก่อนตอบเสียงดัง
“ขี่ตามรถจี๊ปเถอะ”
“หือ ว่าไงนะ” เจี่ยงไป๋เหมียนยกมือขึ้นมาป้องหู แต่ติดหมวกนิรภัย
รอยยิ้มไม่ได้จางหายไป เธอดึงหน้ากากกันลมลงมาปิดแล้วขี่มอเตอร์ไซค์ไปด้านหลังรถจี๊ปราวกับว่านี่เป็นการตัดสินใจของตัวเอง
ซางเจี้ยนเย่าและหลงเยว่หงขึ้นรถจี๊ปไปทีละคน ไป๋เฉินกลับมานั่งในตำแหน่งคนขับแล้วสตาร์ทเครื่องยนต์
พวกเขามุ่งหน้าสู่แดนร้างบึงดำด้วยความเร็วค่อนข้างช้า ขับอ้อมสิ่งกีดขวาง เปลี่ยนเส้นทางเป็นครั้งคราว
ในระหว่างนี้เจี่ยงไป๋เหมียนอ้างว่าจะไปสำรวจรอบๆ แล้วก็ปลีกตัวออกจากกลุ่ม เร่งความเร็วมอเตอร์ไซค์ออกไปทางนู้นบ้างทางนี้บ้าง
เกือบสองชั่วโมงให้หลัง ไป๋เฉินก็หยุดรถที่ดูราวกับถูกใช้งานเกินกำลัง
เธอเปิดประตูรถมาพูดกับเจี่ยงไป๋เหมียนที่กำลังเร่งเครื่องกลับรถตามมาจากด้านหลังไกลออกไป
“หัวหน้า เกือบถึงนิคมแล้ว”
เจี่ยงไป๋เหมียนใช้เท้าข้างหนึ่งยันพื้นแล้วดันแผงกันลมขึ้น
“เธอคิดว่าจะทำยังไง”
ไป๋เฉินลูบใบหน้าที่ค่อนข้างหยาบกร้านของตน
“ฉันกลัวว่าถ้าเราเข้าไปทั้งแบบนี้ พวกคนเร่ร่อนในนิคมอาจจะแตกตื่นกัน พวกเขาค่อนข้างระวังเรื่องอะไรแบบนี้
“เอางี้เป็นไง พวกคุณรออยู่นี่ ให้ฉันขี่มอเตอร์ไซค์เข้าไปก่อน ไว้คุยเสร็จแล้วค่อยกลับมารับ ถ้าพวกเขาไม่ให้เราเข้าไป งั้นฉันจะทำการค้ากันข้างนอกนี่แหละ”
เจี่ยงไป๋เหมียนพยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูด
“อาวุธยุทโธปกรณ์ของพวกเราก็ทำให้คนเขากลัวจริงๆ แหละ”
หนังของงูเหล็กบึงดำที่ถูกผูกไว้บนหลังคารถยิ่งน่ากลัวกว่าเสียอีก
เจี่ยงไป๋เหมียนก้าวลงจากมอเตอร์ไซค์ทันทีที่จอด เธอถอดหมวกนิรภัยแล้วยื่นให้ไป๋เฉิน
หลังจากมองดูแผ่นหลังของไป๋เฉินหายลับไปในป่าโปร่งเบื้องหน้า เจี่ยงไป๋เหมียนก็เปิดประตูรถจี๊ปขึ้นไปนั่งในตำแหน่งพลขับ
“เอาซักมวนไหม” เธอยิ้มและหยิบบุหรี่ใบยาสูบออกมาจากกล่องที่พักแขน
พวกนี้คือสินสงครามที่เก็บกวาดมาก่อนหน้านี้
ใบยาสูบคั่วสีดำปนเหลืองส่งกลิ่นหอมที่อธิบายไม่ถูก
“ไม่เอา” หลงเยว่หงกับซางเจี้ยนเย่าส่ายหน้าพร้อมกัน
“พวกนายสองคนนี่ก็ นี่มันของหรูเลยนะ!” เจี่ยงไป๋เหมียนวางบุหรี่ลง “คนในสนามรบไม่รู้กี่มากน้อยที่คลั่งเจ้านี่กันจะตาย มันทำให้จิตใจปลอดโปร่งผ่อนคลาย ไม่ทำให้ตัวเองต้องจมปลักแบกโลก ก็เหมือนกับพวกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ทำให้คนลืมเรื่องทุกข์ใจสารพัดที่ไม่อยากนึกถึงนั่นแหละ เฮ้อ มีคนไม่น้อยเลยนะที่มีความสุขได้แค่ตอนเมาเละ”
“นั่นไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง” จู่ๆ ซางเจี้ยนเย่าร้องเพลงขึ้นมาหนึ่งท่อน [หมายเหตุจากผู้เขียน]
“เฮ้ ยังจะมีแก่ใจร้องเพลงอีก” เจี่ยงไป๋เหมียนปากอ้าเล็กน้อย ด่าไปพร้อมหัวเราะ
ซางเจี้ยนเย่าพยักหน้าจริงจัง
“ผมชอบดนตรี”
“แต่เนื้อเหมือนไม่ค่อยถูกนะ…” เจี่ยงไป๋เหมียนลูบอุปกรณ์โลหะในหูเธอ
ซางเจี้ยนเย่าตอบราวกับว่ากำลังถกประเด็นทางวิชาการอยู่
“เนื้อร้องเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ จะช่วยให้ถ่ายทอดความรู้สึกได้ดีขึ้น”
“…” เจี่ยงไป๋เหมียนโบกมือ “นี่ไม่ใช่ประเด็น นายขัดขึ้นมา ทำเอาฉันเกือบลืมไปเลยว่าจะพูดอะไร!”
เธอตวาดขึ้น
“ฉันพูดถึงบุหรี่เพราะต้องการจะพูดถึงประเด็นเรื่องบาดเจ็บจากการสู้รบ
“ถึงแม้ว่าการต่อสู้ที่พวกนายเพิ่งเจอมาจะยังไม่ถึงขั้นนั้น แต่ก็ต้องตระหนักไว้ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นบุหรี่ เหล้า หรือแม้แต่พวกยาควบคุมพิเศษ พวกมันไม่ใช่วิธีที่ดีในการรับมือกับการบาดเจ็บทางจิต แถมยังทำให้ติดจนขาดไม่ได้ด้วยถ้าใช้บ่อยๆ นั่นไม่ดีต่อสุขภาพนักหรอก
“ถ้าพวกนายเกิดความเครียด วิตกกังวล หดหู่ หรือว่าฟุ้งซ่านไม่มีสมาธิ ก็มาคุยกับฉันได้ตลอดเวลา ฉันเคยเรียนหลักสูตรจิตวิทยามาบ้าง”
“ครับ หัวหน้า!” หลงเยว่หงตอบเสียงดัง “ระหว่างทางเมื่อกี้ ไป๋เฉินก็คุยกับเราเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว ตอนนี้ผมรู้สึกดีขึ้นมากแล้วล่ะ”
“ไม่เลว” เจี่ยงไป๋เหมียนกล่าวชม “ตั้งแต่ที่ได้รับอนุมัติให้จัดตั้งทีมสำรวจเก่าทีมนี้ สิ่งที่ถูกต้องที่สุดที่ฉันทำก็คืออนุมัติใบสมัครของไป๋เฉินนี่แหละ วิสัยทัศน์ฉันไม่เลวเลยใช่ไหมล่ะ”
โดยไม่รอให้ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงตอบ เธอเอนหลังพิงเบาะแล้วพูดต่อ ดวงตาวูบไหวเล็กน้อย
“ไม่รู้ว่าไป๋เฉินจะกลับมาเมื่อไหร่ ไหนๆ ตอนนี้ฉันก็ไม่มีอะไรทำ งั้นจะบอกอะไรพวกนายซักอย่าง เป็นเรื่องที่ไม่เคยพูดให้พวกนายฟังมาก่อน”
ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงนั่งตัวตรงทันทีราวกับว่าพวกเขากำลังอยู่ในโรงเรียน
เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะเบาๆ
“ไม่ต้องตั้งใจขนาดนั้นก็ได้! แบ่งสมาธิคอยระวังข้างนอกไว้ด้วย! ไม่กลัวหรือไงว่าอยู่ๆ ก็มีระเบิดลอยมาถล่มจนเราเละเป็นโจ๊ก
“เอาล่ะ ย้อนกลับไปหัวข้อเมื่อกี้ ฉันเคยบอกไปแล้วใช่ไหมว่าอันตรายบนแดนธุลีนั้นนอกจากพวกสิ่งมีชีวิตแค่หยิบมือแล้ว ศัตรูที่อันตรายที่สุดของมนุษย์ก็คือมนุษย์ด้วยกันเองนี่แหละ
“ถ้าอย่างนั้น มนุษย์แบบไหนถึงจัดว่าเป็นตัวอันตราย
“หลงเยว่หง นายคิดว่าไง”
หลงเยว่หงคิดสักพักก่อนตอบ
“คนที่ใส่เกราะเสริมแรง”
การต่อสู้ก่อนหน้านี้ การใช้งานเกราะเสริมแรงชนิดที่ใช้ในทางทหารทำให้เขารู้สึกประทับใจอย่างมาก
เขายังสงสัยว่านี่จะเป็นหนึ่งในฝันร้ายของเขาไปอีกนาน
“ใช่ นี่ก็รวมถึงคนใส่เกราะไบโอนิกสมองกลด้วย คนที่สวมเกราะทั้งสองแบบนี้สามารถรับมือกับคนทั้งทีมได้ด้วยตัวคนเดียว หรือแม้กระทั่งกวาดล้างนิคมคนเร่ร่อนขนาดเล็กก็ยังได้เลย”
เจี่ยงไป๋เหมียนหันมาสบตาซางเจี้ยนเย่า “นายว่ายังมีอะไรอีก”
“ทีมที่สวมอาวุธหนัก ทีมที่มีอาวุธยิงที่ทรงพลัง คนที่ติดตั้งแขนชีวภาพชนิดพิเศษหรือดัดแปลงแมคคาทรอนิกส์” ซางเจี้ยนเย่าพูดออกมารวดเดียวสามคำตอบ
เจี่ยงไป๋เหมียนพยักหน้าเล็กน้อย
“นั่นก็ใช่”
เธอใช้มือขวาลูบแขนซ้ายตัวเอง
“มันเพิ่มความแข็งแกร่งให้ฉันขึ้นเยอะ แต่ว่าของเดิมน่ะดีที่สุดแล้ว พวกนายต้องถนอมรักษามันไว้ให้ดี!”
แล้วเธอก็เสริมต่อทันที
“นอกจากนั้นก็ยังมีหลวงจีนจากชุมนุมหลวงจีน แล้วก็ผู้ที่ปรับปรุงพันธุกรรมด้วย พวกนายไม่รู้สินะว่าในบรรดากองกำลังทั้งหลายน่ะ เขาเรียกคนอย่างพวกนายว่า ‘ผู้ถูกเลือก’ ”
“ทำไมเหรอ” หลงเยว่หงถามด้วยความแปลกใจ
เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะ
“เป็นเพราะพวกนายอยู่ใกล้กับเรื่องพวกนี้มากเกินไป ร่างกายก็ได้รับการปรับปรุงพันธุกรรมแล้วด้วย เหมือนนกบนฟ้าปลาในน้ำ เลยไม่ตระหนักว่าเทคโนโลยีพวกนี้มันล้ำค่าขนาดไหน
“ในบรรดากองกำลังทั้งหมด มีเพียงแค่บริษัทเรากับ ‘ชุมนุมอัศวินขาว’ เท่านั้นที่สามารถปรับปรุงพันธุกรรมได้อย่างมีเสถียรภาพ และผลิตน้ำยาปรับปรุงพันธุกรรมออกมาได้
“พวกนายลองคิดดูสิ คนที่ตัวสูงใหญ่ แข็งแรงว่องไว ตอบสนองรวดเร็ว มือเท้าคล่องแคล่ว รักษาสมดุลได้ดี ภูมิคุ้มกันดี ฟื้นฟูร่างกายดีเยี่ยม พลังงานเหลือเฟือ ทัศนวิสัยโดดเด่น ทักษะการยิงปืนไม่เลว สำหรับคนธรรมดาแล้วแบบนี้ไม่เรียกว่าเป็นลูกรักของสวรรค์หรอกเหรอ ไม่ได้เรียกว่า ‘ตัวอันตราย’ หรอกเหรอ
“แต่ก็อย่าลำพองไป มีบางกองกำลังที่ต่อต้านเทคโนโลยีด้านพันธุกรรมอย่างสุดลิ่มทิ่มประตูเพราะเชื่อว่านี่คือการดูหมิ่นธรรมชาติ ลบหลู่สวรรค์และทวยเทพ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้โลกเก่าล่มสลายลง”
เจี่ยงไป๋เหมียนพักหายใจก่อนพูดต่อ
“และที่แข็งแกร่งกว่าผู้ที่ปรับปรุงพันธุกรรมก็คือคนที่ดัดแปลงพันธุกรรม พวกเขาจะมีพลังทักษะบางอย่างที่มนุษย์ไม่มี พวกมนุษย์ชั้นรองที่กลายพันธุ์เพราะมลพิษเองก็มีอะไรทำนองนี้เหมือนกัน ฉันเคยเห็นมนุษย์ชั้นรองที่สามารถสังเคราะห์แสงได้เองโดยไม่ต้องกินอะไรตั้งสามเดือนเลยเชียว
“แต่ว่านะ เทคโนโลยีด้านการดัดแปลงพันธุกรรมในเวลานี้ยังไม่สมบูรณ์ อัตราความล้มเหลวและเสียชีวิตค่อนข้างสูง พวกนายอย่าบุ่มบ่ามไปลองเข้าล่ะ”
มนุษย์ชั้นรองก็คือมนุษย์ปกตินั่นเอง เพียงแต่เกิดการกลายพันธุ์เพราะมลพิษจากมหันตภัยที่ทำลายล้างโลกเก่า
ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่พวกเขาจะเสียชีวิตไปมากมายหลังจากที่ถูกมลพิษได้ไม่นาน แต่ยังคงมีบางส่วนที่รอดชีวิตมาได้ และส่งต่อพันธุกรรมที่ผิดปกติของตัวเองไปสู่ทายาทรุ่นหลังอีกด้วย
พวกคนเหล่านี้ถูกมนุษย์ธรรมดาเลือกปฏิบัติ ถูกขับไล่ออกจากนิคมและถูกเรียกอย่างดูถูกเหยียดหยามว่า ‘มนุษย์ชั้นรอง’
พวกมนุษย์ชั้นรองนั้นเนื่องจากร่างกายที่กลายพันธุ์เปลี่ยนแปลงและถูกกระทำด้วยความรังเกียจ จึงเป็นธรรมดาที่พวกเขาจะรู้สึกเกลียดชังมนุษย์ พกพาความโกรธแค้นที่ยากสลาย ทั้งสองฝ่ายจึงค่อยๆ กลายเป็นศัตรูคู่แค้นที่ต้องฆ่าฟันให้ตายไปข้างหนึ่ง
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ คำว่า ‘มนุษย์ชั้นรอง’ จึงได้แพร่ขยายไปทั่วแดนธุลีอย่างจริงจัง จนในที่สุดก็กลายเป็น ‘ชื่อทางวิชาการ’
ในยุคนวศักราชซึ่งเริ่มต้นขึ้นหลังการล่มสลายของโลกเก่าหลายปี แต่ก็ยังคงมีหลายพื้นที่ที่มีมลพิษเข้มข้น การกลายพันธุ์จึงไม่ได้จางหายไปจากประชากรมนุษย์ ทำให้มนุษย์ชั้นรองยังคงมีปรากฏขึ้นอยู่เสมอ
และแน่นอนว่ามนุษย์ชั้นรองส่วนใหญ่ในปัจจุบันนี้เป็นผลมาจากการสืบพันธุ์ตามธรรมชาติ
“ไม่เคยรู้เลยว่ามีมนุษย์ชั้นรองแบบนี้ด้วย…” หลงเยว่หงรู้ว่ามนุษย์ชั้นรองคืออะไร แต่ไม่เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับมนุษย์ชั้นรองที่มีทักษะพิเศษที่เจี่ยงไป๋เหมียนเล่ามาก่อน
เจี่ยงไป๋เหมียนรับคำ “อื้อ” มองดูซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงก่อนจะพูดอย่างไม่ได้จริงจัง
“นอกจากพวกที่ฉันเล่าไปแล้ว ยังมีมนุษย์อีกประเภทหนึ่งที่จัดว่าเป็นอันตราย แถมยังเรียกได้ว่าโคตรอันตรายสุดๆ”
“มนุษย์พวกไหนเหรอ” หลงเยว่หงอยากรู้อยากเห็นจนออกนอกหน้า ซางเจี้ยเย่าก็เช่นกัน
เรื่องที่พูดมาก่อนหน้านี้ คนทั้งสองต่างก็เคยรู้มาบ้างไม่มากก็น้อยจากหนังสือเรียนและชั้นฝึกอบรม แต่ว่าไม่เคยมีใครรวบรวมเนื้อหาเหล่านี้มาจัดไว้ในหมวด ‘มนุษย์อันตราย’
เจี่ยงไป๋เหมียนก้มศีรษะแล้วยิ้ม
“ผู้ตื่นรู้”
“ผู้ตื่นรู้…” หลงเยว่หงและซางเจี้ยนเย่าทวนคำเบาๆ
เจี่ยงไป๋เหมียนเงยหน้ามองทั้งคู่แล้วพูดต่อ
“ผู้ตื่นรู้คือมนุษย์ที่มีการกลายพันธุ์อย่างแปลกประหลาดจากสาเหตุบางประการ พวกเขาทั้งหมดต่างมีความสามารถบางอย่างที่พิสดารและน่าสะพรึงกลัว
“มีบางคนเคยคิดว่าพลังพิเศษบางอย่างของผู้ตื่นรู้นั้นเป็นเรื่องตลก แต่หลังจากนั้นก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าไม่ว่าพลังพิเศษนั้นจะดูตลกแค่ไหนก็ตาม แต่ถ้าหากว่าใช้ได้ถูกที่ถูกเวลามันจะน่ากลัวมาก
“จนกระทั่งบัดนี้ก็ยังไม่มีกองกำลังไหนที่ค้นพบเงื่อนไขวิธีการที่ทำให้เกิดเป็นผู้ตื่นรู้ขึ้นมาได้ การทดลองเพื่อสร้างผู้ตื่นรู้เทียมขึ้นมาทั้งหมดล้วนแต่ล้มเหลวทั้งสิ้น ดังนั้นผู้ตื่นรู้จึงมีจำนวนน้อยมาก พบเจอตัวได้ไม่ง่าย ก่อนหน้านี้ฉันก็เลยไม่ได้เล่าให้พวกนายฟัง
“อ้อ ใช่แล้ว เรื่องนี้ก็เป็นมาตรการรักษาความลับด้วยนะ”
หลงเยว่หงถามอย่างกังวล
“หัวหน้าพูดเหมือนกับว่าผู้ตื่นรู้นั้นแข็งแกร่งมาก งั้นถ้าเกิดเจอขึ้นมา แล้วจะรับมือยังไงดี”
ซางเจี้ยนเย่ายังคงนิ่งเงียบ ไม่พูดอะไร
เจี่ยงไป๋เหมียนตอบด้วยรอยยิ้ม
“นอกจากพวกผู้ตื่นรู้ที่แข็งแกร่งมากซึ่งมีแค่ไม่กี่คน พลังพิเศษของผู้ตื่นรู้ส่วนใหญ่จะมีระยะทางจำกัด ไม่ไกลมากเท่าไหร่
“ดังนั้นถ้าพวกนายเกิดไปเจอเข้าก็พยายามอยู่ห่างๆ เข้าไว้ แล้วใช้ปืนยิงซะเพื่อแก้ปัญหาจากระยะไกล”
“อย่างงี้นี่เอง…” หลงเยว่หงเริ่มจินตนาการถึงภาพเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้อง
ซางเจี้ยนเย่าพยักหน้าเล็กน้อยราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่
เจี่ยงไป๋เหมียนเห็นก็เลยพูดเสริม
“ตอนนี้อย่างเพิ่งไปสนใจพวกตัวอันตรายแบบนั้นเลย ร่างกายมนุษย์นั้นเปราะบางมาก ถ้าเราประมาท แม้แต่เด็กเจ็ดแปดขวบก็ฆ่าเราตายได้เหมือนกัน”
* * * * *
ไป๋เฉินขี่มอเตอร์ไซค์วกไปวนมาพักใหญ่ตามเส้นทางที่ดูเหมือนอ่อนยวบ มุ่งเข้าไปในบึงน้ำ
สิบนาทีให้หลังพลันมีจุดแดงปรากฏขึ้นบนถนนเบื้องหน้าเธอ
จุดแดงมีการเคลื่อนไหวส่ายไปมาเล็กน้อย
นี่เป็นคำเตือน
* * * * *
[หมายเหตุจากผู้เขียน]
เป็นเพลง “你不是真正的快乐” ของวง “五月天”
[ชื่อเพลงแปลว่า คุณไม่ได้มีความสุขอย่างแท้จริงหรอก ชื่อวงแปลว่า สวรรค์เดือนห้า]
ชื่อเพลงแปลภาษาอังกฤษ คือ “You Are Not Truly Happy” ของวง “May Day”
เดิมทีเพื่อไม่ให้นิยายเรื่องนี้ถูกเซ็นเซอร์ ผู้เขียนจึงแต่งใหม่ทั้งหมด หากแต่ในบางครั้งนั้นผู้เขียนต้องการให้ผู้อ่านได้มีสร้างอารมณ์ร่วม ดังนั้นจึงได้นำคำพูดอ้างอิง ดัดแปลงบทกวีหรือเนื้อเพลงในชีวิตจริงใส่ลงไปด้วย เพื่อให้ผู้อ่านเมื่ออ่านแล้วสามารถจินตนาการถึงท่วงทำนองและฉากต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกันได้ ซึ่งมีความจำเป็นอย่างมากสำหรับเนื้อเรื่องบางเหตุการณ์หลังจากนี้