คืนสงัด ลมเหน็บหนาว ฝนซัดสาด ตลอดทั้งเมืองน้ำล้อมราวกับถูกความมืดกลืนกิน มีแสงไฟเพียงประปรายที่เล็ดลอดออกมาได้
เสียงจ้อกแจ้กเซ็งแซ่ก่อนหน้านี้ รวมทั้งกลิ่นไม่พึงประสงค์ที่ผสมปนเปจนไม่อาจแยกแยะล้วนแต่อันตรธานไปหมดสิ้นในเวลาอันสั้น ซางเจี้ยนเย่ารู้สึกถึงความเงียบสงัดราวกับถูกตัดขาดจากโลกภายนอก
ท่ามกลางสายฝนตกกระหน่ำรอบเพิงไม้ ยามเมืองสองสามคนเดินลาดตระเวณในพื้นที่ใต้ชายคา ส่วนคนอื่นๆ สวมเสื้อกันฝนสีเข้มและกระสอบสานใบใหญ่ที่เตรียมไว้ล่วงหน้า เดินตรวจตรากลับไปกลับมาระหว่างบนกำแพงและโครงสร้างไม้
ด้วยแสงสว่างจากหลอดไฟ หยาดฝนดูราวกับสร้อยไข่มุกที่ขาดหลุดร่วงกระจัดกระจาย เม็ดแล้วเม็ดเล่าดาหน้าเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย
“สมัยก่อนที่นี่มีเครื่องปั่นไฟน้ำมันดีเซลอยู่สองเครื่อง แต่อีกเครื่องเสียไปตั้งนานแล้ว พยายามซ่อมแต่ก็ซ่อมไม่ได้ สำหรับนิคมในแดนร้างแล้ว ถึงไม่มีไฟฟ้าก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ พวกอาหาร เสื้อผ้า อาวุธ และน้ำสะอาดต่างหาก ถึงจะเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุด” ไป๋เฉินพูดอย่างไม่ใส่ใจ
เจี่ยงไป๋เหมียนกล่าวเสริมด้วยรอยยิ้ม
“เธอช่วยพูดดังหน่อยได้ไหม ใช่แล้วล่ะ อาหารและน้ำสะอาดเป็นตัวกำหนดว่าชีวิตเราจะอยู่รอดได้เปล่า เสื้อผ้าเป็นตัวกำหนดว่าเราจะหนาวตายหรือป่วยเป็นไข้หรือเปล่า อาวุธเป็นตัวกำหนดว่าคนอื่นจะเหลืออาหาร เสื้อผ้า และน้ำ เอาไว้ให้พวกเราหรือเปล่า”
เธอมองเหลียวซ้ายแลขวาเห็นฝนตกเสียงดัง เลยตบมือแล้วพูดขึ้น
“พรุ่งนี้ค่อยซ่อมรถจี๊ปละกัน คืนนี้จะเป็น ‘ชั้นเรียน’ คาบแรกของการฝึกภาคสนาม
“พวกเราต้องทบทวนการต่อสู้ก่อนหน้านี้เพื่อสรุปเป็นประสบการณ์และบทเรียน
“แต่ละคนให้มองที่ตัวเองเป็นหลัก เล่าเหตุการณ์ในตอนนั้น แล้วอธิบายว่าทำไมถึงเลือกทำแบบนั้น ไป๋เฉิน เธอเริ่มก่อนเลย”
ในฐานะที่เพิ่งเข้าร่วม ‘ผานกู่ชีวภาพ’ มาได้ไม่นานนัก และยังไม่เคยมีคนเร่ร่อนแดนร้างที่ได้ฝึกภาคสนามแบบนี้มาก่อน ไป๋เฉินจึงไม่เคยคิดว่าจะมีการ ‘ทบทวนหลังศึก’ เช่นนี้ด้วย เธออึกอักลังเลอยู่พักหนึ่ง เห็นได้ชัดว่ายังเตรียมตัวไม่พร้อม แต่เธอก็ไม่ได้ปฏิเสธ
การที่เธอเป็นคนเร่ร่อนในแดนร้างมาหลายปีแล้วยังมีชีวิตที่ดี นอกจากจะต้องมีผู้ช่วยแล้วก็ยังเป็นเพราะเธอย้อนทบทวนความผิดพลาดของตัวเองอยู่บ่อยครั้งและจดจำไว้ไม่ทำผิดซ้ำเดิมอีกด้วย
เมื่อเรียบเรียงคำพูดได้ เธอก็เริ่มต้นจากเรื่องกลุ่มนักล่าซากอารยะที่เป็นโจรพาร์ทไทม์ เล่าซ้ำในทุกรายละเอียดที่เธอจำได้
ต่อจากเธอก็เป็นซางเจี้ยนเย่า ต่อจากซางเจี้ยนเย่าก็เป็นหลงเยว่หง สุดท้ายก็เป็นเจี่ยงไป๋เหมียน
หลังจากเจี่ยงไป๋เหมียนพูดจบ ก็มองไปที่ซางเจี้ยนเย่าแล้วพูด
“ตอนนั้นที่นายเลือกตัดสินใจยิงคนขี่มอเตอร์ไซค์ทั้งสองคนนั่นนับว่าเป็นทางเลือกที่เด็ดขาดมาก แต่ก็บ้าบิ่นมากเช่นกัน
“ถ้าไม่ใช่เพราะว่า…”
เธอหยุดชั่วขณะก่อนพูดต่อ
“ถ้าไม่ใช่เพราะนายโชคดีละก็ ตอนนั้นอาจตายไปแล้วก็ได้”
พูดถึงตรงนี้เธอก็คลี่ยิ้มจางๆ
“แต่จะว่าไป โชคก็เป็นส่วนหนึ่งของความแข็งแกร่งเช่นกัน นายต้องรักษาความสมดุลของทั้งสองอย่างนี้ไว้ พยายามทำให้เต็มที่จะยิ่งเพิ่มโอกาสรอดชีวิตมากขึ้น”
ซางเจี้ยนเย่าตอนแรกรู้สึกงงเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็พยักหน้าอย่างครุ่นคิดเพื่อบอกว่ารับทราบคำพูดของหัวหน้าทีม
ส่วนหลงเยว่หงกลับรู้สึกว่าประโยคท้ายๆ ของเจี่ยงไป๋เหมียนนั้นเป็นการพูดเล่นเสียมากกว่า จึงไม่ได้คิดอะไรมาก จากนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น ถามคำถามที่คาใจเป็นอย่างมากออกมา
“เมื่อกี้หัวหน้าบอกว่าหัวหน้าโจรในชุดเกราะกระดูกเสริมแรงนั่นตัดสินใจผิดพลาดและไม่ระวังมากพอ สุดท้ายก็เลยถูกพวกเราฆ่าตาย
“อย่างนั้น… ถ้าหาก… คนที่สวมเกราะกระดูกเสริมแรงไม่ได้ทำพลาดครั้งใหญ่แบบนั้น แล้วพวกเราจะจัดการกับเขาได้ยังไง”
เจี่ยงไป๋เหมียนมองหลงเยว่หง
“ทำไมนายถึงคิดว่าจะมีวิธีจัดการล่ะ
“ถ้าไม่ได้ทำพลาดครั้งใหญ่ แสดงว่าคนที่สวมเกราะกระดูกเสริมแรงนั่นมีประสบการณ์มาก สมรรถภาพร่างกายก็ไม่มีปัญหา คนที่สวมเกราะแบบนั้นถ้าไปอยู่ในสนามรบของจริงละก็ นั่นมันเครื่องจักรสังหารชัดๆ เรียกได้ว่าเป็นเทพในหมู่เทพเลยล่ะ
“ยิ่งพวกเรามีคนน้อยและไม่มีอาวุธหนัก ภายใต้สถานการณ์ที่มีเพียงปืนยิงระเบิดแค่กระบอกเดียวแถมยังไม่มีโอกาสได้เอาออกมาใช้ด้วย แล้วจะเป็นไปได้ไงที่จะจัดการกับศัตรูระดับนี้ นายประเมินเกราะกระดูกเสริมแรงทางทหารต่ำไปหรือเปล่า”
“อย่าง… อย่างนั้นก็หมายความว่า…” หลงเยว่หงเพิ่งจะรู้ตัวว่าเขาเฉียดใกล้ยมโลกขนาดไหน
เจี่ยงไป๋เหมียนมองไปรอบๆ แล้วพูดขึ้น
“การจัดการกับศัตรูระดับนั้น ช่วงที่ดีที่สุดก็คือก่อนที่เขาจะสวมเกราะกระดูกเสริมแรง
“ถ้าหากว่าไม่สามารถคว้าโอกาสนั้นไว้ได้ งั้นก่อนที่เขาจะเข้าใกล้ ก็ต้อง ‘วิ่งแข่ง’ กันล่ะ เกราะกระดูกเสริมแรงทางทหารนั้นไม่ได้เร็วไปกว่ารถจี๊ปความเร็วสูงซักเท่าไหร่หรอก บางรุ่นยังช้ากว่าด้วยซ้ำ ประสิทธิภาพแบตเตอรี่ก็ด้อยลงไปอีก
“แต่น่าเสียดาย ตอนนั้นพวกเราเจอกับสภาพภูมิประเทศที่ไม่ปกติ แถมยังเพิ่งจะสู้กับงูเหล็กบึงดำจบไป ไม่เหลือจุดได้เปรียบเลยซักนิด แทบจะเรียกได้ว่าเป็นสถานการณ์สิ้นหวังเลยทีเดียว หากไม่ใช่เพราะหมอนั่นขี้กลัว เอาแต่ห่วงนั่นพะวงนี่ล่ะก็นะ ตั้งแต่เริ่มก็เห็นได้ชัดเลยว่าเขาไม่กล้าใช้พลังงานชุดเกราะกระดูกเสริมแรงแบบเต็มพิกัดและตัดใจทำลายสินสงครามไม่ลง มัวแต่คิดคำนวณผลได้ผลเสีย ไม่อย่างนั้นแค่การโจมตีระลอกแรกก็ฆ่าพวกเราไปครึ่งทีมแล้ว หรืออาจจะมากกว่านั้นอีก”
หลงเยว่หงได้ยินแล้วหน้าซีดเป็นไก่ต้ม เข้าใจถึงอันตรายในแดนร้างได้อย่างลึกซึ้งขึ้นอีก ส่วนซางเจี้ยนเย่ากับไป๋เฉินต่างพากันตั้งใจฟัง รู้ว่าสิ่งที่เจี่ยงไป๋เหมียนพูดนั้นยังไม่จบ
เจี่ยงไป๋เหมียนร้อง “อ้อ” ก่อนพูดต่อ
“ก่อนที่ซางเจี้ยนเย่าจะฆ่าคนขี่มอเตอร์ไซค์นั่นและยั่วโมโหอีกคน ตอนนั้นฉันคิดเอาไว้สองแผน
“แผนแรกคือยอมจำนนทันทีเพื่อจะได้มีโอกาสเข้าใกล้ ถึงแม้จะถูกพวกมันทำร้ายบาดเจ็บสาหัสจนเคลื่อนไหวไม่ได้ แต่ขอเพียงแค่อยู่ในระยะโจมตี ฉันก็ยังมีวิธีตอบโต้กลับไปได้”
พอพูดถึงตรงนี้ เธอก็หัวเราะเหยียดหยันออกมา
“ปัญหาใหญ่สุดของแผนนี้ก็คือฉันกับไป๋เฉินมีโอกาสรอดชีวิตสูง ถึงถูกจับเป็นเชลยก็แค่ช่วงสั้นๆ แต่พวกนายทั้งคู่น่าจะถูกยิงทิ้งทันที นอกเสียจากว่าพวกนั้นจะมีคนที่หลงไหลได้ปลื้มกับผู้ชายมากกว่า”
สีหน้าของซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงแปรเปลี่ยนเป็นกลืนไม่เข้าคายไม่ออกทันที
พอเห็นปฏิกิริยาพวกเขา เจี่ยงไป๋เหมียนก็พูดอย่างอารมณ์ดี
“แผนที่สองก็คือใช้เรื่องที่ว่าหมอนั่นมันรอบคอบและขี้กลัวเกินไปมาวางกับดักทำให้เขาไม่สามารถหลบหลีกล่วงหน้าได้ ตราบใดที่ไม่หลบหลีกล่วงหน้า ฉันก็มั่นใจว่าจะยิงโดนจุดอันตรายที่ไม่มีเกราะป้องกันได้อย่างแน่นอน”
“กับดักอะไร” หลงเยว่หงโพล่งถามขึ้นมาทันที
เจี่ยงไป๋เหมียนมองเขาสองวินาทีก่อนจะยักไหล่
“ยังไม่ได้คิด”
“…” กล้ามเนื้อใบหน้าของหลงเยว่หงกับซางเจี้ยนเย่ากระตุกเล็กน้อย
เจี่ยงไป๋เหมียนพลัน ‘อับอายกลายเป็นโทสะ’ ทันที
“ก็มันกะทันหันนี่นา ฉันจะไปคิดออกเร็วขนาดนั้นได้ไงยะ
“ตอนนั้นพอฉันเพิ่งจะเริ่มคิด สถานการณ์มันก็เปลี่ยนไปแล้ว เลยไม่ต้องเปลืองเซลล์สมองคิดต่ออีก!”
แล้วเธอก็หันไปมองไป๋เฉินที่กำลังนั่งฟังเงียบๆ
“เธอมีอะไรอยากเสริมมั้ย”
ไป๋เฉินคิดสักครู่ก่อนตอบ
“จุดประสงค์ของพวกโจรแดนร้างส่วนมากก็คือปล้นเสบียง ไม่ใช่ฆ่าคน
“ถ้าหากหมดหนทางจริงๆ ฉันคงเลือกทิ้งรถและเสบียง อย่างเช่นปล่อยรถเปล่าให้วิ่งลงบึงน้ำไป เพื่อดึงความสนใจของพวกมันไว้ก่อน จากนั้นก็ค่อยหาโอกาสไปหลบซ่อนที่บึงในบริเวณอื่น
“พื้นที่ในบึงใหญ่นั้นมีหลายจุดมากที่ขนาดคนยังแทบจะเดินไม่ได้ คนที่สวมเกราะกระดูกเสริมแรงยิ่งแล้วใหญ่ น้ำหนักมันมากเกินไป
เมื่อฟังจบ เจี่ยงไป๋เหมียนก็พยักหน้าพอใจ
“ไม่เลว คนเร่ร่อนแดนร้างกับคนที่มาจากกองกำลังใหญ่มีมุมมองที่แตกต่างกันในการรับมือกับสถานการณ์เดียวกัน
“พวกนายได้เรียนรู้แล้วใช่ไหมล่ะ”
แปะ! แปะ! แปะ!
ซางเจี้ยนเย่าไม่พลาดโอกาสที่จะได้ปรบมือ หลงเยว่หงเองก็ปรบมือตามโดยไม่รู้ตัว
นี่ฉันทำอะไรไปเนี่ย… หลงเยว่หงรู้สึกตัว รีบตอบอย่างกระอักกระอ่วน
“ได้เรียนรู้แล้วครับ แต่ต้องใช้เวลาย่อยข้อมูลเพื่อค่อยๆ ซึมซับก่อน”
หลังจากทบทวนการต่อสู้เมื่อตอนกลางวันเสร็จแล้ว ทั้งสี่ก็แบ่งกลุ่มเหมือนเมื่อวาน เป็นกลุ่มละสองคนผลัดกันเฝ้าเวร
เนื่องจากฝนเพิ่งตก ทำให้อากาศหนาวกว่าเมื่อคืนมาก ถ่านที่ได้รับฟรีมาจากเถียนเอ้อร์เหอก็มีจำกัด พวกเขาจึงต้องขนเอาเสื้อคลุมผ้าฝ้ายตัวหนาจากท้ายรถออกมาห่ม
ฝนโปรยปรายชำระล้างทุกสรรพสิ่งที่อยู่ในความมืด จนกระทั่งฟ้าสางถึงได้หยุดสนิท
เมืองน้ำล้อมมีระบบระบายน้ำที่พัฒนาจนสมบูรณ์แบบ ไม่มีน้ำขังเจิ่งนอง มีเพียงแค่พื้นเปียกและพื้นดินบางส่วนที่กลายเป็นโคลนเท่านั้น
หลังจากไป๋เฉินกินบิสกิตอัดแข็งและดื่มน้ำเสร็จแล้วก็เริ่มเปลี่ยนอะไหล่รถจี๊ป และจัดการในส่วนที่ไม่ได้ซ่อมแซมยากจนเกินไปนัก
ในตอนนี้เถียนเอ้อร์เหอเดินฝ่าสายหมอกยามเช้าตรู่เข้ามาแล้วถามด้วยรอยยิ้ม
“หนูไป๋ ซ่อมได้ไหม
“ถ้าซ่อมได้ เราก็จะขนปืนกลเบากับมอเตอร์ไซค์ไป”
“ได้สิ” ไป๋เฉินไม่ได้หันหน้ากลับมา แต่ยกมือแสดงคำตอบว่าตกลง
เถียนเอ้อร์เหอรีบเรียกยามเมืองแถวนั้นมา
“มานี่ มาช่วยขนปืนกลเบานี่ที
“ไอ้หยา พวกคุณให้ของมาตั้งเยอะ เอางี้ไหมล่ะ ฉันจะแถมเต็นท์ให้อีกหลังนึง”
“เอาสิ” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ปฏิเสธ
ในตอนนี้ เถียนเอ้อร์เหอเพิ่งสังเกตเห็นหนังงูเหล็กบึงดำบนหลังคารถจี๊ป
“นี่มัน…” เขาถึงกับตาถลน “เป็นฝีมือพวกคุณเหรอ”
ตอนที่รถจี๊ปมาถึงเมื่อวานนี้ เนื่องจากเมฆครึ้ม ฟ้าก็มืดแล้ว พวกเขาก็เลยมองไม่ชัดว่ามีของอะไรมัดไว้บนหลังคารถ ตอนแรกยังคิดว่าเป็นเต็นท์สีดำเสียอีก
ยามเมืองทั้งหลายมองตามสายตาของเถียนเอ้อร์เหอไป เมื่อเห็นหนังงู ต่างรู้สึกถึงแรงกดดันอันหนักหน่วงกดทับลงมา
“งูเหล็กบึงดำ…” มีคนพึมพำชื่อที่เป็นฝันร้ายนี้ออกมา
เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะคิกคัก
“เจ้าหมอนี่ตัวโตไปหน่อย พวกเราก็เลยทำได้แค่ถลกหนังมันมาน่ะ”
ชาวเมืองน้ำล้อมล้วนแต่นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ จึงทำให้เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
ในตอนนี้เธอไม่มีอะไรให้ทำ จึงมองดูเมืองที่เริ่มคึกคักมีชีวิตชีวาแล้วถามขึ้นอย่างลังเล
“เจ้าเมือง พวกเราขอไปเดินดูอะไรแถวนี้หน่อยได้ไหม”
“ได้สิ อยากไปไหนล่ะ ฉันจะได้พาไปดู” เถียนเอ้อร์เหอขยับหมวกขนสัตว์บนศีรษะ “ไม่ก็ไปดูห้องเรียนกันไหม เห็นพวกคุณสนใจห้องเรียนของพวกเราอยู่ไม่ใช่เหรอ”
ภายใต้แสงยามเช้าอันเจิดจ้า ริ้วรอยบนใบหน้าเขาเห็นเด่นชัดมากขึ้น
“ดีสิ” เจี่ยงไป๋เหมียนหันไปพูดกับซางเจี้ยนเย่า “นายตามฉันมา ส่วนหลงเยว่หง นายไปช่วยไป๋เฉินดูรอบๆ นะ”
ซางเจี้ยนเย่าไม่ปฏิเสธ เขาเดินตามเจี่ยงไป๋เหมียนและเถียนเอ้อร์เหอไปยังอาคารสามหลังที่เรียงเป็นรูปสามเหลี่ยมกลับหัว
ระหว่างทางนั้นพวกเขาเดินผ่านสิ่งปลูกสร้างที่สร้างอย่างระเกะระกะ มองเห็นบางหลังบนผนังมีรูแตกอุดไว้ด้วยไม้หรือไม่ก็หญ้าแห้ง มองเห็นชาวเมืองบางคนดื่มน้ำเย็นแล้วก็รีบไปทุ่งนาด้านหลังเมือง เห็นเต็นท์ที่เปียกโชกจากสายฝนเมื่อคืนและเหมือนจะมีน้ำรั่ว เห็นคนที่ซีดเหลืองผอมแห้งในชุดเก่าปุปะวิ่งไปทางโน้นทางนี้
เมื่อเดินผ่านตรงนี้ไปก็เป็นลานขนาดเล็กที่เทพื้นด้วยคอนกรีต แท่นเสาธงยังคงอยู่แต่ไม่มีผืนธงแล้ว
ซางเจี้ยนเย่ากับเจี่ยงไป๋เหมียนเดินตามเถียนเอ้อร์เหอต่อไป เดินอ้อมอาคารด้านหน้าสุดไปยังอาคารสองแถวด้านหลัง เข้าไปอาคารหลังทางซ้ายมือแล้วขึ้นไปชั้นสาม
มันเป็นทางเดินที่มีด้านหนึ่งเป็นราวกั้น ส่วนอีกด้านเป็นห้องอาคารที่ซอยแบ่งเป็นห้องเล็กๆ ซึ่งมีแสงสว่างเพียงพอ และการระบายอากาศก็ดีมาก
เดินไปไม่กี่ก้าวเถียนเอ้อร์เหอก็พาทั้งคู่มาหยุดยืนอยู่หน้าห้องหนึ่งที่มีขนาดใหญ่พอสมควร
มองผ่านกระจกหน้าต่างที่สว่างและใสสะอาด ซางเจี้ยนเย่ากับเจี่ยงไป๋เหมียนมองเห็นโต๊ะเก้าอี้ตั้งอยู่ยี่สิบกว่าชุด เว้นช่องให้เดินเป็นช่องแคบๆ
ในตอนนี้ เด็กอายุไม่ถึงสิบขวบจำนวนยี่สิบกว่าคนสวมเสื้อสารพัดแบบ ทั้งขาดและสกปรก นั่งอยู่ที่โต๊ะมองไปยังแท่นบรรยายตั้งใจฟังครูสอน
เด็กๆ บางคนก็ตัวสั่นเล็กน้อยเพราะยังปรับตัวให้เข้ากับอากาศหนาวเย็นในตอนเช้าไม่ได้ บางคนก็สะพายน้องตัวเล็กๆ ไว้ที่หน้าอกแล้วร้องกล่อมเป็นครั้งคราว
พวกเด็กๆ มีทั้งชายและหญิง แต่ละคนล้วนแตกต่างกันไป แต่ทุกคนนั้นต่างนั่งหลังเหยียดตรง
ซางเจี้ยนเย่ามองไปแล้วเห็นตารางเรียนที่เขียนไว้บนผนัง
“ออกกำลังกายตอนเช้า… ความรู้ทั่วไป… หลักภาษา… คณิตศาสตร์… ประวัติศาสตร์…”
“นี่คือนักเรียนชั้นมัธยม” เถียนเอ้อร์เหอแนะนำด้วยเสียงเบาๆ ราวกับว่าไม่ต้องการรบกวนเด็กๆ ที่อยู่ข้างใน
เจี่ยงไป๋เหมียนมองดูด้านในอย่างตั้งใจอยู่สองสามวินาที ร้อง “อื้อ” ออกมาหนึ่งคำ
“พวกเราไปกันเถอะ อย่าไปกวนพวกเขาเลย”
หลังจากเดินตามเถียนเอ้อร์เหอเที่ยวชมเมืองน้ำล้อมแล้ว ทั้งคู่ก็กลับมาที่เพิงไม้ ซึ่งตอนนั้นไป๋เฉินก็ซ่อมรถเสร็จเรียบร้อยแล้ว
เนื่องจากเมืองน้ำล้อมมีอาหารไม่ค่อยเพียงพอและขาดแคลนเนื้อสัตว์ เจี่ยงไป๋เหมียนจึงไม่ได้พยายามทำการค้าอีก เธอพูดกับเถียนเอ้อร์เหอ
“เจ้าเมือง พวกเราจะไปกันแล้ว”
เถียนเอ้อร์เหอพยักหน้าเบาๆ
“หวังว่าจะได้พบกันอีก”
“ค่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนพยักหน้าแล้วยิ้มให้
“ต้องได้พบอยู่แล้ว” ไป๋เฉินตอบขึ้นในเวลาเดียวกัน
พวกเขารีบเก็บข้าวของแล้วขึ้นรถ ครั้งนี้เจี่ยงไป๋เหมียนเป็นคนขับ
รถจี๊ปแล่นอย่างช้าๆ ไปจนถึงประตูทางเข้าที่มีรั้วลวดหนาม ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงมองไปยังบริเวณที่มีสิ่งปลูกสร้างตั้งไว้อย่างระเกะระกะอีกครั้ง
ชาวเมืองได้ออกไปทุ่งนาหรือไม่ก็ไปล่าสัตว์กันแล้ว เหลือเพียงแค่ไม่กี่คนที่อยู่บ้าน
นี่ทำให้สถานที่แห่งนี้ปรากฏร่องรอยของความเสื่อมโทรมผุพังขึ้นเรื่อยๆ
ท่ามกลางความเงียบงัน ซางเจี้ยนเย่าและคนอื่นๆ ก็พลันได้ยินเสียงที่อ่อนโยนของเด็กๆ ดังออกมาจากอาคารหลังที่อยู่ลึกสุด
“แสงจันทร์สาดส่องสู่หน้าเตียง
“พื้นดินปกคลุมด้วยหิมะ
“แหงนหน้ามองจันทร์กระจ่าง
“ก้มหน้าคิดคำนึงถึงบ้านเกิด[1]”
* * * * *
[1] เป็นบทกวีชื่อว่า “คำนึงในคืนสงัด”《静夜思》 ของกวีเอก “หลี่ไป๋” (李白) ซึ่งเป็นกวีที่มีชื่อเสียงโด่งดังในสมัยราชวงศ์ถัง บทกวีต้นฉบับภาษาจีนคือ“床前明月光,疑是地上霜。举头望明月,低头思故乡。”