รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 32 ทบทวนหลังศึก

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 32 ทบทวนหลังศึก

คืนสงัด ลมเหน็บหนาว ฝนซัดสาด ตลอดทั้งเมืองน้ำล้อมราวกับถูกความมืดกลืนกิน มีแสงไฟเพียงประปรายที่เล็ดลอดออกมาได้

เสียงจ้อกแจ้กเซ็งแซ่ก่อนหน้านี้ รวมทั้งกลิ่นไม่พึงประสงค์ที่ผสมปนเปจนไม่อาจแยกแยะล้วนแต่อันตรธานไปหมดสิ้นในเวลาอันสั้น ซางเจี้ยนเย่ารู้สึกถึงความเงียบสงัดราวกับถูกตัดขาดจากโลกภายนอก

ท่ามกลางสายฝนตกกระหน่ำรอบเพิงไม้ ยามเมืองสองสามคนเดินลาดตระเวณในพื้นที่ใต้ชายคา ส่วนคนอื่นๆ สวมเสื้อกันฝนสีเข้มและกระสอบสานใบใหญ่ที่เตรียมไว้ล่วงหน้า เดินตรวจตรากลับไปกลับมาระหว่างบนกำแพงและโครงสร้างไม้

ด้วยแสงสว่างจากหลอดไฟ หยาดฝนดูราวกับสร้อยไข่มุกที่ขาดหลุดร่วงกระจัดกระจาย เม็ดแล้วเม็ดเล่าดาหน้าเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย

“สมัยก่อนที่นี่มีเครื่องปั่นไฟน้ำมันดีเซลอยู่สองเครื่อง แต่อีกเครื่องเสียไปตั้งนานแล้ว พยายามซ่อมแต่ก็ซ่อมไม่ได้ สำหรับนิคมในแดนร้างแล้ว ถึงไม่มีไฟฟ้าก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ พวกอาหาร เสื้อผ้า อาวุธ และน้ำสะอาดต่างหาก ถึงจะเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุด” ไป๋เฉินพูดอย่างไม่ใส่ใจ

เจี่ยงไป๋เหมียนกล่าวเสริมด้วยรอยยิ้ม

“เธอช่วยพูดดังหน่อยได้ไหม ใช่แล้วล่ะ อาหารและน้ำสะอาดเป็นตัวกำหนดว่าชีวิตเราจะอยู่รอดได้เปล่า เสื้อผ้าเป็นตัวกำหนดว่าเราจะหนาวตายหรือป่วยเป็นไข้หรือเปล่า อาวุธเป็นตัวกำหนดว่าคนอื่นจะเหลืออาหาร เสื้อผ้า และน้ำ เอาไว้ให้พวกเราหรือเปล่า”

เธอมองเหลียวซ้ายแลขวาเห็นฝนตกเสียงดัง เลยตบมือแล้วพูดขึ้น

“พรุ่งนี้ค่อยซ่อมรถจี๊ปละกัน คืนนี้จะเป็น ‘ชั้นเรียน’ คาบแรกของการฝึกภาคสนาม

“พวกเราต้องทบทวนการต่อสู้ก่อนหน้านี้เพื่อสรุปเป็นประสบการณ์และบทเรียน

“แต่ละคนให้มองที่ตัวเองเป็นหลัก เล่าเหตุการณ์ในตอนนั้น แล้วอธิบายว่าทำไมถึงเลือกทำแบบนั้น ไป๋เฉิน เธอเริ่มก่อนเลย”

ในฐานะที่เพิ่งเข้าร่วม ‘ผานกู่ชีวภาพ’ มาได้ไม่นานนัก และยังไม่เคยมีคนเร่ร่อนแดนร้างที่ได้ฝึกภาคสนามแบบนี้มาก่อน ไป๋เฉินจึงไม่เคยคิดว่าจะมีการ ‘ทบทวนหลังศึก’ เช่นนี้ด้วย เธออึกอักลังเลอยู่พักหนึ่ง เห็นได้ชัดว่ายังเตรียมตัวไม่พร้อม แต่เธอก็ไม่ได้ปฏิเสธ

การที่เธอเป็นคนเร่ร่อนในแดนร้างมาหลายปีแล้วยังมีชีวิตที่ดี นอกจากจะต้องมีผู้ช่วยแล้วก็ยังเป็นเพราะเธอย้อนทบทวนความผิดพลาดของตัวเองอยู่บ่อยครั้งและจดจำไว้ไม่ทำผิดซ้ำเดิมอีกด้วย

เมื่อเรียบเรียงคำพูดได้ เธอก็เริ่มต้นจากเรื่องกลุ่มนักล่าซากอารยะที่เป็นโจรพาร์ทไทม์ เล่าซ้ำในทุกรายละเอียดที่เธอจำได้

ต่อจากเธอก็เป็นซางเจี้ยนเย่า ต่อจากซางเจี้ยนเย่าก็เป็นหลงเยว่หง สุดท้ายก็เป็นเจี่ยงไป๋เหมียน

หลังจากเจี่ยงไป๋เหมียนพูดจบ ก็มองไปที่ซางเจี้ยนเย่าแล้วพูด

“ตอนนั้นที่นายเลือกตัดสินใจยิงคนขี่มอเตอร์ไซค์ทั้งสองคนนั่นนับว่าเป็นทางเลือกที่เด็ดขาดมาก แต่ก็บ้าบิ่นมากเช่นกัน

“ถ้าไม่ใช่เพราะว่า…”

เธอหยุดชั่วขณะก่อนพูดต่อ

“ถ้าไม่ใช่เพราะนายโชคดีละก็ ตอนนั้นอาจตายไปแล้วก็ได้”

พูดถึงตรงนี้เธอก็คลี่ยิ้มจางๆ

“แต่จะว่าไป โชคก็เป็นส่วนหนึ่งของความแข็งแกร่งเช่นกัน นายต้องรักษาความสมดุลของทั้งสองอย่างนี้ไว้ พยายามทำให้เต็มที่จะยิ่งเพิ่มโอกาสรอดชีวิตมากขึ้น”

ซางเจี้ยนเย่าตอนแรกรู้สึกงงเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็พยักหน้าอย่างครุ่นคิดเพื่อบอกว่ารับทราบคำพูดของหัวหน้าทีม

ส่วนหลงเยว่หงกลับรู้สึกว่าประโยคท้ายๆ ของเจี่ยงไป๋เหมียนนั้นเป็นการพูดเล่นเสียมากกว่า จึงไม่ได้คิดอะไรมาก จากนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น ถามคำถามที่คาใจเป็นอย่างมากออกมา

“เมื่อกี้หัวหน้าบอกว่าหัวหน้าโจรในชุดเกราะกระดูกเสริมแรงนั่นตัดสินใจผิดพลาดและไม่ระวังมากพอ สุดท้ายก็เลยถูกพวกเราฆ่าตาย

“อย่างนั้น… ถ้าหาก… คนที่สวมเกราะกระดูกเสริมแรงไม่ได้ทำพลาดครั้งใหญ่แบบนั้น แล้วพวกเราจะจัดการกับเขาได้ยังไง”

เจี่ยงไป๋เหมียนมองหลงเยว่หง

“ทำไมนายถึงคิดว่าจะมีวิธีจัดการล่ะ

“ถ้าไม่ได้ทำพลาดครั้งใหญ่ แสดงว่าคนที่สวมเกราะกระดูกเสริมแรงนั่นมีประสบการณ์มาก สมรรถภาพร่างกายก็ไม่มีปัญหา คนที่สวมเกราะแบบนั้นถ้าไปอยู่ในสนามรบของจริงละก็ นั่นมันเครื่องจักรสังหารชัดๆ เรียกได้ว่าเป็นเทพในหมู่เทพเลยล่ะ

“ยิ่งพวกเรามีคนน้อยและไม่มีอาวุธหนัก ภายใต้สถานการณ์ที่มีเพียงปืนยิงระเบิดแค่กระบอกเดียวแถมยังไม่มีโอกาสได้เอาออกมาใช้ด้วย แล้วจะเป็นไปได้ไงที่จะจัดการกับศัตรูระดับนี้ นายประเมินเกราะกระดูกเสริมแรงทางทหารต่ำไปหรือเปล่า”

“อย่าง… อย่างนั้นก็หมายความว่า…” หลงเยว่หงเพิ่งจะรู้ตัวว่าเขาเฉียดใกล้ยมโลกขนาดไหน

เจี่ยงไป๋เหมียนมองไปรอบๆ แล้วพูดขึ้น

“การจัดการกับศัตรูระดับนั้น ช่วงที่ดีที่สุดก็คือก่อนที่เขาจะสวมเกราะกระดูกเสริมแรง

“ถ้าหากว่าไม่สามารถคว้าโอกาสนั้นไว้ได้ งั้นก่อนที่เขาจะเข้าใกล้ ก็ต้อง ‘วิ่งแข่ง’ กันล่ะ เกราะกระดูกเสริมแรงทางทหารนั้นไม่ได้เร็วไปกว่ารถจี๊ปความเร็วสูงซักเท่าไหร่หรอก บางรุ่นยังช้ากว่าด้วยซ้ำ ประสิทธิภาพแบตเตอรี่ก็ด้อยลงไปอีก

“แต่น่าเสียดาย ตอนนั้นพวกเราเจอกับสภาพภูมิประเทศที่ไม่ปกติ แถมยังเพิ่งจะสู้กับงูเหล็กบึงดำจบไป ไม่เหลือจุดได้เปรียบเลยซักนิด แทบจะเรียกได้ว่าเป็นสถานการณ์สิ้นหวังเลยทีเดียว หากไม่ใช่เพราะหมอนั่นขี้กลัว เอาแต่ห่วงนั่นพะวงนี่ล่ะก็นะ ตั้งแต่เริ่มก็เห็นได้ชัดเลยว่าเขาไม่กล้าใช้พลังงานชุดเกราะกระดูกเสริมแรงแบบเต็มพิกัดและตัดใจทำลายสินสงครามไม่ลง มัวแต่คิดคำนวณผลได้ผลเสีย ไม่อย่างนั้นแค่การโจมตีระลอกแรกก็ฆ่าพวกเราไปครึ่งทีมแล้ว หรืออาจจะมากกว่านั้นอีก”

หลงเยว่หงได้ยินแล้วหน้าซีดเป็นไก่ต้ม เข้าใจถึงอันตรายในแดนร้างได้อย่างลึกซึ้งขึ้นอีก ส่วนซางเจี้ยนเย่ากับไป๋เฉินต่างพากันตั้งใจฟัง รู้ว่าสิ่งที่เจี่ยงไป๋เหมียนพูดนั้นยังไม่จบ

เจี่ยงไป๋เหมียนร้อง “อ้อ” ก่อนพูดต่อ

“ก่อนที่ซางเจี้ยนเย่าจะฆ่าคนขี่มอเตอร์ไซค์นั่นและยั่วโมโหอีกคน ตอนนั้นฉันคิดเอาไว้สองแผน

“แผนแรกคือยอมจำนนทันทีเพื่อจะได้มีโอกาสเข้าใกล้ ถึงแม้จะถูกพวกมันทำร้ายบาดเจ็บสาหัสจนเคลื่อนไหวไม่ได้ แต่ขอเพียงแค่อยู่ในระยะโจมตี ฉันก็ยังมีวิธีตอบโต้กลับไปได้”

พอพูดถึงตรงนี้ เธอก็หัวเราะเหยียดหยันออกมา

“ปัญหาใหญ่สุดของแผนนี้ก็คือฉันกับไป๋เฉินมีโอกาสรอดชีวิตสูง ถึงถูกจับเป็นเชลยก็แค่ช่วงสั้นๆ แต่พวกนายทั้งคู่น่าจะถูกยิงทิ้งทันที นอกเสียจากว่าพวกนั้นจะมีคนที่หลงไหลได้ปลื้มกับผู้ชายมากกว่า”

สีหน้าของซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงแปรเปลี่ยนเป็นกลืนไม่เข้าคายไม่ออกทันที

พอเห็นปฏิกิริยาพวกเขา เจี่ยงไป๋เหมียนก็พูดอย่างอารมณ์ดี

“แผนที่สองก็คือใช้เรื่องที่ว่าหมอนั่นมันรอบคอบและขี้กลัวเกินไปมาวางกับดักทำให้เขาไม่สามารถหลบหลีกล่วงหน้าได้ ตราบใดที่ไม่หลบหลีกล่วงหน้า ฉันก็มั่นใจว่าจะยิงโดนจุดอันตรายที่ไม่มีเกราะป้องกันได้อย่างแน่นอน”

“กับดักอะไร” หลงเยว่หงโพล่งถามขึ้นมาทันที

เจี่ยงไป๋เหมียนมองเขาสองวินาทีก่อนจะยักไหล่

“ยังไม่ได้คิด”

“…” กล้ามเนื้อใบหน้าของหลงเยว่หงกับซางเจี้ยนเย่ากระตุกเล็กน้อย

เจี่ยงไป๋เหมียนพลัน ‘อับอายกลายเป็นโทสะ’ ทันที

“ก็มันกะทันหันนี่นา ฉันจะไปคิดออกเร็วขนาดนั้นได้ไงยะ

“ตอนนั้นพอฉันเพิ่งจะเริ่มคิด สถานการณ์มันก็เปลี่ยนไปแล้ว เลยไม่ต้องเปลืองเซลล์สมองคิดต่ออีก!”

แล้วเธอก็หันไปมองไป๋เฉินที่กำลังนั่งฟังเงียบๆ

“เธอมีอะไรอยากเสริมมั้ย”

ไป๋เฉินคิดสักครู่ก่อนตอบ

“จุดประสงค์ของพวกโจรแดนร้างส่วนมากก็คือปล้นเสบียง ไม่ใช่ฆ่าคน

“ถ้าหากหมดหนทางจริงๆ ฉันคงเลือกทิ้งรถและเสบียง อย่างเช่นปล่อยรถเปล่าให้วิ่งลงบึงน้ำไป เพื่อดึงความสนใจของพวกมันไว้ก่อน จากนั้นก็ค่อยหาโอกาสไปหลบซ่อนที่บึงในบริเวณอื่น

“พื้นที่ในบึงใหญ่นั้นมีหลายจุดมากที่ขนาดคนยังแทบจะเดินไม่ได้ คนที่สวมเกราะกระดูกเสริมแรงยิ่งแล้วใหญ่ น้ำหนักมันมากเกินไป

เมื่อฟังจบ เจี่ยงไป๋เหมียนก็พยักหน้าพอใจ

“ไม่เลว คนเร่ร่อนแดนร้างกับคนที่มาจากกองกำลังใหญ่มีมุมมองที่แตกต่างกันในการรับมือกับสถานการณ์เดียวกัน

“พวกนายได้เรียนรู้แล้วใช่ไหมล่ะ”

แปะ! แปะ! แปะ!

ซางเจี้ยนเย่าไม่พลาดโอกาสที่จะได้ปรบมือ หลงเยว่หงเองก็ปรบมือตามโดยไม่รู้ตัว

นี่ฉันทำอะไรไปเนี่ย… หลงเยว่หงรู้สึกตัว รีบตอบอย่างกระอักกระอ่วน

“ได้เรียนรู้แล้วครับ แต่ต้องใช้เวลาย่อยข้อมูลเพื่อค่อยๆ ซึมซับก่อน”

หลังจากทบทวนการต่อสู้เมื่อตอนกลางวันเสร็จแล้ว ทั้งสี่ก็แบ่งกลุ่มเหมือนเมื่อวาน เป็นกลุ่มละสองคนผลัดกันเฝ้าเวร

เนื่องจากฝนเพิ่งตก ทำให้อากาศหนาวกว่าเมื่อคืนมาก ถ่านที่ได้รับฟรีมาจากเถียนเอ้อร์เหอก็มีจำกัด พวกเขาจึงต้องขนเอาเสื้อคลุมผ้าฝ้ายตัวหนาจากท้ายรถออกมาห่ม

ฝนโปรยปรายชำระล้างทุกสรรพสิ่งที่อยู่ในความมืด จนกระทั่งฟ้าสางถึงได้หยุดสนิท

เมืองน้ำล้อมมีระบบระบายน้ำที่พัฒนาจนสมบูรณ์แบบ ไม่มีน้ำขังเจิ่งนอง มีเพียงแค่พื้นเปียกและพื้นดินบางส่วนที่กลายเป็นโคลนเท่านั้น

หลังจากไป๋เฉินกินบิสกิตอัดแข็งและดื่มน้ำเสร็จแล้วก็เริ่มเปลี่ยนอะไหล่รถจี๊ป และจัดการในส่วนที่ไม่ได้ซ่อมแซมยากจนเกินไปนัก

ในตอนนี้เถียนเอ้อร์เหอเดินฝ่าสายหมอกยามเช้าตรู่เข้ามาแล้วถามด้วยรอยยิ้ม

“หนูไป๋ ซ่อมได้ไหม

“ถ้าซ่อมได้ เราก็จะขนปืนกลเบากับมอเตอร์ไซค์ไป”

“ได้สิ” ไป๋เฉินไม่ได้หันหน้ากลับมา แต่ยกมือแสดงคำตอบว่าตกลง

เถียนเอ้อร์เหอรีบเรียกยามเมืองแถวนั้นมา

“มานี่ มาช่วยขนปืนกลเบานี่ที

“ไอ้หยา พวกคุณให้ของมาตั้งเยอะ เอางี้ไหมล่ะ ฉันจะแถมเต็นท์ให้อีกหลังนึง”

“เอาสิ” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ปฏิเสธ

ในตอนนี้ เถียนเอ้อร์เหอเพิ่งสังเกตเห็นหนังงูเหล็กบึงดำบนหลังคารถจี๊ป

“นี่มัน…” เขาถึงกับตาถลน “เป็นฝีมือพวกคุณเหรอ”

ตอนที่รถจี๊ปมาถึงเมื่อวานนี้ เนื่องจากเมฆครึ้ม ฟ้าก็มืดแล้ว พวกเขาก็เลยมองไม่ชัดว่ามีของอะไรมัดไว้บนหลังคารถ ตอนแรกยังคิดว่าเป็นเต็นท์สีดำเสียอีก

ยามเมืองทั้งหลายมองตามสายตาของเถียนเอ้อร์เหอไป เมื่อเห็นหนังงู ต่างรู้สึกถึงแรงกดดันอันหนักหน่วงกดทับลงมา

“งูเหล็กบึงดำ…” มีคนพึมพำชื่อที่เป็นฝันร้ายนี้ออกมา

เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะคิกคัก

“เจ้าหมอนี่ตัวโตไปหน่อย พวกเราก็เลยทำได้แค่ถลกหนังมันมาน่ะ”

ชาวเมืองน้ำล้อมล้วนแต่นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ จึงทำให้เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย

ในตอนนี้เธอไม่มีอะไรให้ทำ จึงมองดูเมืองที่เริ่มคึกคักมีชีวิตชีวาแล้วถามขึ้นอย่างลังเล

“เจ้าเมือง พวกเราขอไปเดินดูอะไรแถวนี้หน่อยได้ไหม”

“ได้สิ อยากไปไหนล่ะ ฉันจะได้พาไปดู” เถียนเอ้อร์เหอขยับหมวกขนสัตว์บนศีรษะ “ไม่ก็ไปดูห้องเรียนกันไหม เห็นพวกคุณสนใจห้องเรียนของพวกเราอยู่ไม่ใช่เหรอ”

ภายใต้แสงยามเช้าอันเจิดจ้า ริ้วรอยบนใบหน้าเขาเห็นเด่นชัดมากขึ้น

“ดีสิ” เจี่ยงไป๋เหมียนหันไปพูดกับซางเจี้ยนเย่า “นายตามฉันมา ส่วนหลงเยว่หง นายไปช่วยไป๋เฉินดูรอบๆ นะ”

ซางเจี้ยนเย่าไม่ปฏิเสธ เขาเดินตามเจี่ยงไป๋เหมียนและเถียนเอ้อร์เหอไปยังอาคารสามหลังที่เรียงเป็นรูปสามเหลี่ยมกลับหัว

ระหว่างทางนั้นพวกเขาเดินผ่านสิ่งปลูกสร้างที่สร้างอย่างระเกะระกะ มองเห็นบางหลังบนผนังมีรูแตกอุดไว้ด้วยไม้หรือไม่ก็หญ้าแห้ง มองเห็นชาวเมืองบางคนดื่มน้ำเย็นแล้วก็รีบไปทุ่งนาด้านหลังเมือง เห็นเต็นท์ที่เปียกโชกจากสายฝนเมื่อคืนและเหมือนจะมีน้ำรั่ว เห็นคนที่ซีดเหลืองผอมแห้งในชุดเก่าปุปะวิ่งไปทางโน้นทางนี้

เมื่อเดินผ่านตรงนี้ไปก็เป็นลานขนาดเล็กที่เทพื้นด้วยคอนกรีต แท่นเสาธงยังคงอยู่แต่ไม่มีผืนธงแล้ว

ซางเจี้ยนเย่ากับเจี่ยงไป๋เหมียนเดินตามเถียนเอ้อร์เหอต่อไป เดินอ้อมอาคารด้านหน้าสุดไปยังอาคารสองแถวด้านหลัง เข้าไปอาคารหลังทางซ้ายมือแล้วขึ้นไปชั้นสาม

มันเป็นทางเดินที่มีด้านหนึ่งเป็นราวกั้น ส่วนอีกด้านเป็นห้องอาคารที่ซอยแบ่งเป็นห้องเล็กๆ ซึ่งมีแสงสว่างเพียงพอ และการระบายอากาศก็ดีมาก

เดินไปไม่กี่ก้าวเถียนเอ้อร์เหอก็พาทั้งคู่มาหยุดยืนอยู่หน้าห้องหนึ่งที่มีขนาดใหญ่พอสมควร

มองผ่านกระจกหน้าต่างที่สว่างและใสสะอาด ซางเจี้ยนเย่ากับเจี่ยงไป๋เหมียนมองเห็นโต๊ะเก้าอี้ตั้งอยู่ยี่สิบกว่าชุด เว้นช่องให้เดินเป็นช่องแคบๆ

ในตอนนี้ เด็กอายุไม่ถึงสิบขวบจำนวนยี่สิบกว่าคนสวมเสื้อสารพัดแบบ ทั้งขาดและสกปรก นั่งอยู่ที่โต๊ะมองไปยังแท่นบรรยายตั้งใจฟังครูสอน

เด็กๆ บางคนก็ตัวสั่นเล็กน้อยเพราะยังปรับตัวให้เข้ากับอากาศหนาวเย็นในตอนเช้าไม่ได้ บางคนก็สะพายน้องตัวเล็กๆ ไว้ที่หน้าอกแล้วร้องกล่อมเป็นครั้งคราว

พวกเด็กๆ มีทั้งชายและหญิง แต่ละคนล้วนแตกต่างกันไป แต่ทุกคนนั้นต่างนั่งหลังเหยียดตรง

ซางเจี้ยนเย่ามองไปแล้วเห็นตารางเรียนที่เขียนไว้บนผนัง

“ออกกำลังกายตอนเช้า… ความรู้ทั่วไป… หลักภาษา… คณิตศาสตร์… ประวัติศาสตร์…”

“นี่คือนักเรียนชั้นมัธยม” เถียนเอ้อร์เหอแนะนำด้วยเสียงเบาๆ ราวกับว่าไม่ต้องการรบกวนเด็กๆ ที่อยู่ข้างใน

เจี่ยงไป๋เหมียนมองดูด้านในอย่างตั้งใจอยู่สองสามวินาที ร้อง “อื้อ” ออกมาหนึ่งคำ

“พวกเราไปกันเถอะ อย่าไปกวนพวกเขาเลย”

หลังจากเดินตามเถียนเอ้อร์เหอเที่ยวชมเมืองน้ำล้อมแล้ว ทั้งคู่ก็กลับมาที่เพิงไม้ ซึ่งตอนนั้นไป๋เฉินก็ซ่อมรถเสร็จเรียบร้อยแล้ว

เนื่องจากเมืองน้ำล้อมมีอาหารไม่ค่อยเพียงพอและขาดแคลนเนื้อสัตว์ เจี่ยงไป๋เหมียนจึงไม่ได้พยายามทำการค้าอีก เธอพูดกับเถียนเอ้อร์เหอ

“เจ้าเมือง พวกเราจะไปกันแล้ว”

เถียนเอ้อร์เหอพยักหน้าเบาๆ

“หวังว่าจะได้พบกันอีก”

“ค่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนพยักหน้าแล้วยิ้มให้

“ต้องได้พบอยู่แล้ว” ไป๋เฉินตอบขึ้นในเวลาเดียวกัน

พวกเขารีบเก็บข้าวของแล้วขึ้นรถ ครั้งนี้เจี่ยงไป๋เหมียนเป็นคนขับ

รถจี๊ปแล่นอย่างช้าๆ ไปจนถึงประตูทางเข้าที่มีรั้วลวดหนาม ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงมองไปยังบริเวณที่มีสิ่งปลูกสร้างตั้งไว้อย่างระเกะระกะอีกครั้ง

ชาวเมืองได้ออกไปทุ่งนาหรือไม่ก็ไปล่าสัตว์กันแล้ว เหลือเพียงแค่ไม่กี่คนที่อยู่บ้าน

นี่ทำให้สถานที่แห่งนี้ปรากฏร่องรอยของความเสื่อมโทรมผุพังขึ้นเรื่อยๆ

ท่ามกลางความเงียบงัน ซางเจี้ยนเย่าและคนอื่นๆ ก็พลันได้ยินเสียงที่อ่อนโยนของเด็กๆ ดังออกมาจากอาคารหลังที่อยู่ลึกสุด

“แสงจันทร์สาดส่องสู่หน้าเตียง

“พื้นดินปกคลุมด้วยหิมะ

“แหงนหน้ามองจันทร์กระจ่าง

“ก้มหน้าคิดคำนึงถึงบ้านเกิด[1]”

* * * * *

[1] เป็นบทกวีชื่อว่า “คำนึงในคืนสงัด”《静夜思》 ของกวีเอก “หลี่ไป๋” (李白) ซึ่งเป็นกวีที่มีชื่อเสียงโด่งดังในสมัยราชวงศ์ถัง บทกวีต้นฉบับภาษาจีนคือ“床前明月光,疑是地上霜。举头望明月,低头思故乡。”

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท