รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 35 ความตายอันน่าสะพรึง

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 35 ความตายอันน่าสะพรึง

ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงกำลังรอให้ทั้งสองคนบนจักรยานมองเห็นพวกเขาเสียก่อน จึงยังไม่ได้แสดงปฏิกิริยาอะไรออกมา

แคร้ง! แคร้ง!

คนทั้งสองที่ถือปืนไรเฟิลรีบทิ้งจักรยานแล้วรีบไปซ่อนตัวอยู่หลังที่กำบังใกล้ๆ ทันที

พอเห็นแบบนี้ ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงถึงรู้สึกตัว ไม่ได้ทำเพียงแค่ยกปืนไรเฟิลจู่โจมค้างไว้อย่างระวังตัวอีกต่อไป แต่มีปฏิกิริยาตอบสนองโดยอัตโนมัติ รีบพุ่งไปด้านข้างทันที ใช้เสาสองต้นที่ทางเข้าโรงพยาบาลเป็นที่กำบัง

สถานที่เกิดเหตุพลันเงียบกริบลงทันที มีเพียงเสียงนกร้องดังมาจากที่ไกลเป็นครั้งคราว

เมื่อเห็นหลงเยว่หงกำลังจะยกวิทยุสื่อสารขึ้นมา ซางเจี้ยนเย่าจึงร้องตะโกนขึ้น

“เราไม่มีเจตนาร้าย!”

ความเงียบผ่านไปชั่วอึดใจก็มีเสียงที่แหบลึกราวกับมีเสมหะดังขึ้น

“เราก็เหมือนกัน!”

ซางเจี้ยนเย่ารีบตอบกลับไป

“มาแลกเปลี่ยนข้อมูลกันไหม!”

อีกไม่กี่วินาทีพวกเขาก็ตะโกนกลับมา

“คุยกันแบบนี้ไม่ค่อยสะดวกน่ะ!”

“งั้นพวกเราเข้ามาใกล้กันหน่อยละกัน!” ซางเจี้ยนเย่าตะโกนบอกข้อเสนอกลับไปโดยไม่ต้องคิด

ทั้งสองคนนั้นสื่อสารกันเบาๆ ด้านหลังที่กำบัง แต่เนื่องจากระยะทางที่ค่อนข้างห่าง ทำให้ทั้งซางเจี้ยนเย่าและหลงเยว่หงไม่ค่อยได้ยินเนื้อหาที่พวกเขาคุยกันชัดเจนเท่าไรนัก

ไม่ถึงนาทีอีกฝ่ายก็ตอบกลับมา

“ได้!”

เมื่อซางเจี้ยนเย่าได้ยินก็หันไปพูดกับหลงเยว่หง

“ฉันก่อน นายหลัง คอยสนับสนุนและคุ้มกันให้ด้วย”

“อืม” หลงเยว่หงคลายมือขวาจากด้ามปืนและทำท่าทางว่าไม่มีปัญหา

ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้เกลี้ยกล่อมให้อีกฝ่ายออกจากที่ซ่อนก่อน เขาถือปืนไรเฟิลจู่โจมแล้วค่อยๆ ก้าวเดินออกห่างจากหลังเสาทีละก้าว กล้ามเนื้อหดเกร็ง

ระหว่างนี้ก็ระมัดระวังเป็นอย่างมาก เตรียมพร้อมพุ่งม้วนตัวตลอดเวลา

เมื่อเห็นความจริงใจของเขา ฝ่ายตรงข้ามก็ปรากฏตัวออกมาด้วยท่าทีระมัดระวังเช่นกัน

คนผู้นี้อายุสามสิบปี สูงราว 170 เซนติเมตร สวมเสื้อแจ็คเก็ตยาวสีน้ำเงินแก่ที่สกปรกยับย่นและมีรอยปะสามสี่แห่ง หน้าผากที่เถิกสูงขึ้นไปเป็นจนแทบจะเรียกได้ว่าศีรษะล้าน

เส้นผมสีบรอนซ์ ดวงตาสีฟ้าอ่อน โครงหน้าเป็นสันชัดเจน เขาดูแตกต่างไปจากซางเจี้ยนเย่า หลงเยว่หง และคนอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด เพียงแค่มองครั้งแรกก็ดูออกว่าเขามีเชื้อสายของชาวแม่น้ำแดง

อาจเป็นเพราะอาศัยอยู่ในแดนร้างมานานปี ผิวหนังจึงแห้งแตกกระด้าง เล็บมือสีดำสนิท

เขาจับด้ามปืนไว้แน่น กระชับระยะห่างระหว่างตัวเองกับซางเจี้ยนเย่าทีละเมตร

เมื่อเข้ามาอยู่ในระยะที่พูดคุยกันได้สะดวก หลงเยว่หงกับอีกคนที่เหลือก็ออกมาจากที่กำบังเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้กับสหายของตน

“จะให้เรียกคุณว่าอะไรดี” ชายศีรษะล้านยังคงใช้ภาษาแดนธุลีที่เป็นภาษาแม่ของซางเจี้ยนเย่าเช่นเดียวกับประโยคเมื่อก่อนหน้านี้ แทนที่จะเป็นภาษาแม่น้ำแดง

ระหว่างที่พูดก็ยังรักษาความตื่นตัวระแวดระวัง ไม่ได้ผ่อนคลายเลยสักนิด

“ซางเจี้ยนเย่า” ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างสงบนิ่ง “นักล่าทางการ แล้วคุณล่ะ”

หลงเยว่หงที่กำลังจะอ้าปากตอบก็พลันโล่งอก ตอนแรกเขากลัวว่าซางเจี้ยนเย่าจะเกิดอาการ ‘จับไข้’ ขึ้นมา เนื่องจากว่าต่างฝ่ายต่างก็ไม่ได้คุ้นเคยกัน ไม่ใช่ทุกคนจะชื่นชมหรืออดทนกับ ‘อารมณ์ขัน’ ของเขาได้

ชายหัวล้านคิดอยู่อึดใจก่อนจะตอบ

“แฮร์ริส บราวน์ นักล่าระดับกลาง”

เขาไม่ได้แสดงตรานักล่าหรือขอดูตราของซางเจี้ยนเย่าเพราะว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ในซากปรัก ถ้าไม่มีอุปกรณ์พิเศษสำหรับอ่านข้อมูลในชิปก็ไม่มีทางที่จะตรวจสอบได้ว่าเป็นเจ้าของตราตัวจริงหรือไม่ มีระดับชั้นนักล่าตรงตามที่บอกจริงหรือเปล่า

ในแดนร้างนั้นมีคนมากมายที่ลงทะเบียนเป็นนักล่า หรือไม่ก็ยึดป้ายตรามาจากศพของศัตรู การมีป้ายตราจึงไม่ได้มีความหมายอะไร

เทคนิคการแกะสลักชื่อไว้บนตรานั้นก็เก่าเกินไปและเลียนแบบได้ง่ายมาก และที่สำคัญที่สุดก็คือผู้ที่ถือป้ายตราอาจจะบอกชื่อบนป้ายตราแทนที่จะเป็นชื่อตัวเองก็ได้

การสนทนาระหว่างแฮร์ริส บราวน์กับซางเจี้ยนเย่านั้นจึงเหมือนกับการ ‘ทักทาย’ เพื่อสร้างบรรยากาศให้ใกล้ชิดกันมากขึ้น

ซางเจี้ยนเย่ามองไปยังเพื่อนของแฮร์ริส บราวน์ จึงเพิ่งเห็นว่าเธอเป็นหญิงสาว สูงกว่า 160 เซนติเมตร ใบหน้าค่อนข้างธรรมดา

เส้นผมสีป่าน[1]ปรกไหล่อย่างเป็นธรรมชาติ ด้านบนสวมหมวกเบเร่ต์สีเบจ[2]ที่ดูสะอาดสะอ้านไว้

“พวกคุณเหมือนจะไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือมาสินะ” ซางเจี้ยนเย่าหันกลับมาทางแฮร์ริส บราวน์ อีกครั้ง

แฮร์ริส บราวน์ตอบโดยไม่มีรอยยิ้ม

“ก็แค่ผ่านไป เลยลองแวะเข้าไปดูน่ะ แล้วก็รื้อๆ คุ้ยๆ ใช้เวลาแป๊บเดียว ไม่ได้อะไรกลับมาก็เป็นเรื่องธรรมดาแหละ

“ในซากปรักแบบนี้ถ้าไม่มีอุปกรณ์ที่เหมาะสมก็ยากจะเก็บอะไรได้

“พวกคุณมานี่ครั้งแรกเหรอ”

“ใช่” ซางเจี้ยนเย่าตอบก่อนจะถามกลับ “พวกคุณได้รับภารกิจหาคนผมดำตาสีทองหรือเปล่า”

แฮร์ริส บราวน์พยักหน้าเล็กน้อย

“ขอแนะนำคุณเรื่องนึงนะ และมีค่าธรรมเนียมด้วย

“เลิกล้มภารกิจนี้ซะเถอะ ช่วงนี้ทางเหนือของสถานีเยว่หลู่ไม่ค่อยสงบเท่าไหร่”

“เกี่ยวข้องกับความผิดปกติในส่วนลึกของบึงน้ำใช่ไหม เมื่อคืนพวกคุณก็ได้ยินเสียงหอนสินะ” ซางเจี้ยนเย่าถาม

สีหน้าของแฮร์ริส บราวน์ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม

“ใช่ ตอนนั้นพวกเราอยู่ทางเหนือของสถานีเยว่หลู่

“พอฟ้าสางเราก็มุ่งหน้าไปต่อ ผลก็คือได้พบศพหลายศพ เป็นศพที่เพิ่งตายไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านั้นเอง

“ที่ศพไม่มีบาดแผลร้ายแรง แต่สีหน้ากลับบิดเบี้ยว บ้างก็เจ็บปวด บ้างก็หวาดกลัว บางคนเหมือนจะยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่สยดสยองมาก”

หลงเยว่หงได้ยินแล้วรู้สึกขนลุกเกรียวและหนังศีรษะชา แต่ความรู้สึกนี้ก็หายไปอย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินคำถามจากซางเจี้ยนเย่า

“ไม่มีบาดแผลร้ายแรง… แล้วเสื้อผ้าล่ะ ยังสวมเสื้อผ้ากันอยู่ไหม”

คำถามบ้าอะไรของนายนะ… หลงเยว่หงอดสบถด่าซางเจี้ยนเย่าในใจไม่ได้

สีหน้าของแฮร์ริส บราวน์แข็งทื่อเล็กน้อย

“ไม่มี

“เห็นได้ชัดว่ามีคนเจอศพพวกนี้ก่อนเรา และลอกคราบไปหมดแล้ว”

“สมเป็นมืออาชีพ” ซางเจี้ยนเย่าเอ่ยชมจนทำให้แฮร์ริส บราวน์ถึงกับไปต่อไม่ถูก

แฮร์ริส บราวน์สูดหายใจเงียบๆ ก่อนพูดต่อ

“เฮ้อ พวกเขาไม่เหลือขนทิ้งไว้ซักเส้น ไม่งั้นล่ะก็ฉันคงได้เอามาทำวิกแล้ว สรุปก็คือพอเห็นศพพวกนั้น พวกเราก็ยกเลิกภารกิจแล้วรีบชิ่งออกมาทันที ตลอดทางไม่กล้าหยุดพักเลย เพิ่งมาถึงได้ซักชั่วโมงนึงนี่แหละ”

“มาถึงกันเร็วจังแฮะ” ซางเจี้ยนเย่าแสดงความคิดเห็นอย่างไม่ได้จริงจัง

แฮร์ริส บราวน์ไม่ได้หันมา

“เราปั่นจักรยานมากันน่ะ ใช้เส้นทางเล็กๆ ในบึงน้ำ แต่รถใหญ่กับมอเตอร์ไซค์วิ่งไม่ได้หรอก ต้องอ้อมไปเท่านั้น”

ซางเจี้ยนเย่าพยักหน้าเล็กน้อย

“คำถามสุดท้าย

“แถวนี้นอกจากพวกคุณแล้ว ยังมีพวกนักล่ากลุ่มอื่นหรือมีพวกเร่ร่อนแดนร้างหรือเปล่า”

“ก็พอมีอยู่สองสามกลุ่ม แต่ดูจากอาวุธของพวกคุณแล้ว ถ้าไม่ไปยุ่งกับเขาก่อน พวกนั้นก็คงไม่กล้ามาหาเรื่องหรอก” ภายใต้แสงอาทิตย์ ศีรษะของแฮร์ริส บราวน์สะท้อนแสงเป็นประกาย

ซางเจี้ยนเย่าครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนถามต่อ

“แล้วถ้าเราไม่มีอาวุธพวกนี้ล่ะ”

ใบหน้าแฮร์ริส บราวน์เหยเกทันที

“บนแดนธุลี ความอ่อนแอเป็นบาป”

สายตาเขาดุร้ายขึ้นเล็กน้อยเผยความเกลียดชังที่ไม่อาจปกปิด

ก่อนที่ซางเจี้ยนเย่าจะถามอะไรต่อ เขาก็ถอนหายใจ ปรับสีหน้ากลับมาเป็นปกติ

“ตาผมถามบ้าง

“นี่เป็นราคาสำหรับคำแนะนำที่ให้พวกคุณไปเมื่อกี้”

อันที่จริงแล้วตั้งแต่แรกเขาก็ไม่ได้คาดหวังว่าซางเจี้ยนเย่าจะยอมตอบออกมาตามตรงหรอก อย่างไรเสียข้อมูลที่แนะนำไปก็ไม่ได้มีราคาค่างวดอะไรนักเพราะว่ามีพวกนักล่าซากอารยะหลายคนที่ถอนตัวจากภารกิจหลังจากได้พบกับความผิดปกติ

นอกจากนั้น เหตุการณ์ก็ผ่านมากว่าหนึ่งวันแล้ว ต้องเสียเวลาอีกหนึ่งวันกว่า เพื่อจะไปทางเหนือของสถานีเยว่หลู่ ด้วยความเร็วระดับนี้ต่อให้แฮร์ริส บราวน์ไม่ได้แนะนำอะไร ปล่อยให้ทั้งสองคนเบื้องหน้านี้เดินทางไป พวกเขาก็ไปไม่ทันเวลาอยู่ดี

“จ่ายเป็นอย่างอื่นแทนได้ไหม” ซางเจี้ยนเย่าปล่อยมือซ้ายที่จับแม็กกาซีนปืนไรเฟิลจู่โจม แล้วล้วงไปในกระเป๋า

“ขอดูก่อน” แฮร์ริส บราวน์กับเพื่อนเพิ่มความระวังขึ้นทันที กลัวว่าซางเจี้ยนเย่าจะล้วงของอันตรายออกมา

ซางเจี้ยนเย่าหยิบถุงบิสกิตอัดแข็งสองถุงเล็กออกมาแสดงให้ดู

นี่คืออาหารเที่ยงบางส่วนของเขาที่เตรียมไว้สำหรับสำรวจซากปรัก

“…เยี่ยมมาก คุณนี่ใจป้ำมาก” แฮร์ริส บราวน์คาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะยอมจ่ายเป็นอาหาร

บิสกิตนี่เกือบจะพออิ่มได้ทั้งมื้อเลย

ซางเจี้ยนเย่าโยนบิสกิตอัดแข็งสองถุงออกไป

แฮร์ริส บราวน์กับเพื่อนไม่ได้รับไว้ ปล่อยให้บิสกิตอัดแข็งทั้งสองถุงร่วงลงกับพื้น

นี่เป็นเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะถือโอกาสยิงตอนเอื้อมมือออกไปรับ

“ไว้คุยกันใหม่นะ” ซางเจี้ยนเย่ายิ้มราวกับกำลังร่ำลาเพื่อนสนิท

เขากับหลงเยว่หงค่อยๆ เดินกลับไปยังทางเข้าซากโรงงานเหล็กทันที พวกเขาเองก็ไม่ได้ลดการระวังแฮร์ริส บราวน์กับเพื่อนของเขา

อีกฝ่ายก็เช่นเดียวกัน

เมื่อระยะห่างระหว่างทั้งสองฝ่ายไกลกันจนแม้แต่นักแม่นปืนก็ยากจะยิงถูก แฮร์ริส บราวน์ให้เพื่อนไปเก็บถุงบิสกิตอัดแข็ง แล้วก็ถีบจักรยานจากไป

เมื่อเห็นทั้งสองปั่นจักรยานออกจากซากปรักหักพังไปแล้ว ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงก็ยกปืนไรเฟิลจู่โจมขึ้นมาส่องมองไปรอบๆ ลานโล่งนอกประตู

“ด้านนอกนั่นน่าจะเป็นเขตพักอาศัย จะสำรวจแถวนี้ก่อนหรือจะเข้าไปข้างในก่อนดี” หลงเยว่หงถามอย่างลังเล

ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้สนใจมองอาคาร ‘สีเขียว’ ที่พังถล่มหรือทรุดโทรมทั้งสองฝั่งของลาน เขาชี้ไปที่ประตูทางเข้า

“ไปข้างในกันก่อนเถอะ จะได้เข้าใจผังโดยรวม”

“ได้” หลงเยว่หงไม่คัดค้าน

ทั้งคู่เดินผ่านประตูเหล็กสีดำที่กว้างขนาดให้รถราแล่นเคียงข้างกันได้พร้อมๆ กันหลายคัน

“ดูเหมือนว่าพวกนักล่าเองก็มีขีดจำกัด ประตูนี้เลยยังไม่โดนขนไป” หลงเยว่หงมองกลับไปดูแล้วถอนใจ

ซางเจี้ยนเย่ามองตาม

“คงเพราะไม่คุ้มค่าน่ะ”

พวกเขาไม่ได้พูดอะไรกันอีก เดินลึกเข้าไปในโรงงานเหล็กด้วยถนนที่กว้างแต่ชำรุดเป็นหลุมเป็นบ่อ

ด้านขวาเป็นแถวของอาคารชั้นเดียวที่สูงมากและกว้างขวางมาก ไม่มีประตูหน้า มีเพียงแค่เสาตั้งไว้ที่กลางห้องเหมือนเป็นเส้นแบ่งเขต ซึ่งต่างจากบริเวณโรงพยาบาลที่กั้นแบ่งเป็นห้องเล็กๆ หลายห้อง

บางห้องก็ไม่มีผนังด้านซ้ายขวา แต่มีร่องที่พื้นให้คนลงไปยืนหรือนอนได้

“ที่นี่ไว้ทำอะไรกันนะ” หลงเยว่หงสงสัย

ซางเจี้ยนเย่าสั่นศีรษะ

“ไม่รู้สิ แต่ว่านายไม่คิดเหรอว่าถ้าไปยืนในร่องข้างล่าง จะทำให้ซ่อมช่วงล่างของรถได้ง่ายขึ้นน่ะ”

“ที่นี่เอาไว้สำหรับซ่อมรถเหรอ งั้นห้องว่างข้างๆ ก็เป็นอู่จอดรถนะสิ” แล้วหลงเยว่หงก็นึกขึ้นมาได้ “อย่าลืมเขียนกำกับไว้ละกัน”

ด้านซ้ายของถนนเป็นบ่อน้ำเน่าส่งกลิ่นเหม็น กอไม้ที่ลำต้นไม่สูงนัก อาคารหลังเล็กๆ ที่ปกคลุมด้วยสีเขียวจนหนาทึบ

ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงเลิกสนใจแถวนี้ชั่วคราวแล้วเดินลึกเข้าไปในเขตโรงงาน

เพียงไม่นานก็เข้าใกล้ ‘ปล่องไฟ’ ที่สูงตระหง่าน มองเห็นโครงเหล็กค้ำยันจำนวนมากกับอาคารที่สร้างไว้หยาบๆ อยู่รายรอบปล่อง

ท่อโลหะสีดำขนาดใหญ่ราวกับมังกรทอดตัวลงมาจาก ‘ปล่องไฟ’ แยกไปตามทิศทางต่างๆ โดยไม่ได้ทำมุมชันมากนัก

ท่อเหล่านี้ไม่ได้ถูกปิดไว้ เหมือนว่าจะถูกผ่าแนวนอนเหลือด้านล่างไว้ครึ่งหนึ่ง

ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงเดินเข้าไปในพื้นที่บริเวณนี้ เดินขึ้นๆ ลงๆ ตามทาง ผ่านป่ากองเหล็กขึ้นสนิม

ไม่นานก็เห็นรั้วที่ยังสร้างไม่เสร็จอยู่ริมถนน ด้านนอกบ่อน้ำที่เต็มไปด้วยน้ำฝน ไม่รู้ว่าเอาไว้ทำอะไร

เนื่องจากว่าด้านบนนั้นถูกกั้นเอาไว้ แสงแดดจึงส่องผ่านเข้ามาได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทำให้สภาพแวดล้อมภายในค่อนข้างมืดสลัว

นอกจากนั้นก็ยังเงียบสงัดมาก ไม่มีเสียงอะไรเลย หลงเยว่หงใจสั่นขณะที่เดินไป

เขาอดพูดขึ้นมาไม่ได้

“ไหนว่ามีพวกนักล่ากลุ่มอื่นอยู่แถวนี้ไง ไม่เห็นเจอซักคน”

ซางเจี้ยนเย่าเหลือบมองเขา

“มาพูดแบบนี้ในเวลาแบบนี้เหมือนจะไม่ค่อยเป็นมงคลเท่าไหร่นะ”

เมื่อพูดจบ ด้านบนก็มีเสียงดังตึงตังขึ้นมา

เงาดำร่วงหล่นลงมาอย่างรวดเร็ว หลังจากกระแทกกับโครงเหล็กค้ำยันและส่วนของอาคารที่ยื่นออกมาอยู่สองสามครั้ง ร่างนั้นก็กระแทกพื้นอย่างแรง หล่นลงมาไม่ไกลจากเบื้องหน้าเขาเท่าไร

นี่เป็นร่างของมนุษย์ ร่างกายมีบาดแผลพอสมควร เลือดไหลนองอย่างรวดเร็ว

เสียงกระแทกยังคงก้องสะท้อนไปมาทั่วทั้งบริเวณ ยังไม่ได้จางหายไป

ก่อนที่หลงเยว่หงและซางเจี้ยนเย่าจะทันได้ตอบสนองอะไรก็เห็นร่างหนึ่งเดินมาจากมุมถนนด้านหน้า

ร่างนี้ยังนับว่าสูงกว่าซางเจี้ยนเย่าอยู่บ้าง ตลอดทั้งร่างเป็นโลหะสีดำ มือซ้ายติดตั้งปืนยิงระเบิดไว้ มือขวามีปากกระบอกสำหรับพ่นไฟและรูยิงแสงเลเซอร์

‘เขา’ สวมชุดหลวงจีนสีเหลืองขาดรุ่งริ่ง ห่มด้วยจีวรสีแดงผืนใหญ่ มีดวงตาสีแดงเรืองแสงคู่หนึ่งบนใบหน้า

* * * * *

[1] สีป่าน (亚麻)สีที่เหมือนสีเชือกป่านเป็นโทนครีมหรือสีแทน

[2] สีเบจ (米黄) สีเบจมีหลายโทน เช่น สีครีมแบบนวล น้ำตาลอ่อน เหลืองอ่อน

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท