รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 41 แผนการ

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 41 แผนการ

เจี่ยงไป๋เหมียนราวกับว่าได้ครุ่นคิดปัญหาข้อนี้มาก่อนแล้ว จึงยิ้มแล้วแสร้งพูดอย่างผ่อนคลาย

“ก็ไม่ได้เป็นเรื่องยากเย็นอะไรนักหรอก คืองี้นะ ฉันจะสวมชุดเกราะกระดูกเสริมแรงเอง จากนั้นก็ใช้ระบบเตือนภัยรอบทิศประสานกับการตรวจจับสัญญาณไฟฟ้าของฉันเพื่อลอบโจมตีจิ้งฝ่า

“ถ้าโจมตีแบบไม่ให้รู้ตัวได้ ก็น่าจะทำให้เขาบาดเจ็บหนักได้อยู่ล่ะ”

“แต่เขาเป็นผู้ตื่นรู้นะ” ซางเจี้ยนเย่ายกปัญหาอีกข้อขึ้นมา

เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะ

“ฉันไม่โง่หรอกน่า เคยโดนพลังของเขาเล่นงานมาแล้ว จะไม่คิดถึงข้อนี้ได้ไง

“ฉันจะพยายามระวังเต็มที่เพื่อรักษาระยะห่างจากเขาให้เกิน 50 เมตร นี่น่าจะเป็นขีดจำกัดสูงสุดของรัศมีพลัง ‘เปรตหิวโหย’ ของจิ้งฝ่าแล้วล่ะ ไม่งั้นตอนอยู่บนต้นไม้เขาคงไม่พุ่งใส่เราก่อนถึงจะเริ่มใช้พลังหรอก จากระยะห่างแค่นี้ ถึงจะแม้จะเป็นปืนยิงระเบิด แต่อัตรายิงเข้าเป้าของฉันก็ไม่น้อยหรอกน่า”

คำพูดของเจี่ยงไป๋เหมียนนั้น ซางเจี้ยนเย่ากับคนอื่นๆ ขบคิดใคร่ครวญกันครู่หนึ่งก่อนที่จะยอมรับ แต่ไป๋เฉินก็มีคำถามอื่นอีก

“ถ้าเกิดคุณกับซางเจี้ยนเย่าสลับที่กันตอนกำลังขับรถอยู่ ใครจะรับรองได้ว่าจะหลบการโจมตีระยะไกลของจิ้งฝ่าได้ทันเวลา”

เจี่ยงไป๋เหมียนร้องเสียงอ่อยออกมาคำหนึ่ง

“นี่เป็นปัญหาจริงๆ นั่นแหละ ฉันกำลังคิดหาวิธีอยู่…”

ซางเจี้ยนเย่าเงียบไปสองวินาทีก่อนจะพูดออกมา

“ให้ผมลุยกับเขาละกัน”

เจี่ยงไป๋เหมียนครุ่นคิดพิจารณาเกี่ยวกับข้อเสนอนี้ พูดพึมพำกับตัวเอง

“ถ้านายเป็นคนลงมือ งั้นก็ต้องเปลี่ยนแผนกันนิดหน่อย

“เทียบกับหลวงจีนจิ้งฝ่าแล้ว นายแทบจะเรียกได้ว่าไร้ประสบการณ์โดยสิ้นเชิง ถ้าหากจะมอบภารกิจลอบโจมตีจิ้งฝ่าโดย ‘ไม่ให้รู้ตัว’ ฉันคิดว่านั่นออกจะเป็นภาระและสร้างความกดดันให้กับนายมากเกินไป อาจจะทำให้ตัดสินใจผิดพลาดในช่วงเวลาคับขันได้

“อืม… เอางี้ละกัน ในเมื่อจิ้งฝ่าอยากเล่นซ่อนแอบกับนาย งั้นนายก็ลากเขาไปไกลๆ ส่วนพวกเราก็ถือโอกาสนี้วิ่งเข้าไปแดนร้างบึงดำตรงที่ที่มีคนเข้าๆ ออกๆ มีรอยเท้ารอยล้อรถเยอะๆ นี่จะช่วยกลบเกลื่อนร่องรอยของเราได้เป็นอย่างดี จิ้งฝ่าก็จะหาเราไม่เจอ ตามเรามาไม่ถูก

“แต่จะว่าไป… นี่มันก็มีปัญหาตามมาอีกเรื่องนึง พอนายสลัดจิ้งฝ่าได้แล้วจะตามหาพวกเราไม่เจอน่ะสิ ระยะห่างก็ไกลเกินกว่ารัศมีของวิทยุสื่อสารด้วย

“ขอคิดก่อนนะ คิดสิ… คิด… อ้อ คิดออกล่ะ ใช้สถานที่ที่รู้จักกันดีในแดนร้างเป็นจุดนัดพบละกัน

“ไป๋เฉิน แถวนี้มีที่ไหนเป็นจุดเด่นบ้าง”

ไป๋เฉินมองไปรอบๆ เพื่อสังเกตสภาพแวดล้อมแล้วแหงนหน้ามองฟ้า

“สถานที่ที่เป็นจุดเด่นแถวนี้ ก็มีแค่ซากโรงงานเหล็กที่เดียว

“แต่ถ้าหากว่าอยากจะไปสถานที่ที่มีคนเข้าออกบ่อยๆ ละก็จากทิศทางของพวกเราในตอนนี้ ก็คงต้องขับไปสถานีเยว่หลู่”

“สถานีเยว่หลู่เหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนขมวดคิ้วเล็กน้อย “ไปอีกไกลแค่ไหน”

“ถ้าใช้ความเร็วระดับนี้ก็คงราวๆ หนึ่งวันครึ่ง แต่ว่าฉันขับเร็วขนาดนี้ตลอดทางไม่ไหวน่ะสิ” ไป๋เฉินประเมินคร่าวๆ

ก่อนหน้านี้นักล่าซากอารยะที่ชื่อแฮร์ริส บราวน์กับเพื่อนใช้ทางที่จักรยานสามารถวิ่งได้ ยังต้องใช้เวลามากกว่าหนึ่งวันเพื่อเดินทางจากทางเหนือของสถานีเยว่หลู่ไปถึงซากโรงงานเหล็ก ปกติแล้วถ้าขับรถไป ไม่มีทางไปถึงโรงงานเหล็กได้เร็วขนาดนั้นแน่นอน

แต่ว่าตอนนี้เจี่ยงไป๋เหมียน ซางเจี้ยนเย่า และคนอื่นๆ นั้นกำลังหนีการไล่ล่าจากจิ้งฝ่า ขับรถด้วยความเร็วเต็มพิกัดมุ่งหน้าไปทางสถานีเยว่หลู่มาช่วงหนึ่งแล้ว ซึ่งแน่นอนว่ารถจี๊ปย่อมเร็วกว่าจักรยานมาก ในเมื่อที่หมายปลายทางของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ในตอนนี้คือสถานีเยว่หลู่ พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องมุ่งตรงไปทางทิศเหนือต่ออีก

เจี่ยงไป๋เหมียนพยักหน้าอย่างครุ่นคิด

“ถ้าใช้สถานีเยว่หลู่เป็นจุดนัดพบ เรายังพอกลบเกลื่อนร่องรอย หลอกล่อเขาให้ขึ้นไปทางเหนือได้

“ถ้าสามารถจัดการจิ้งฝ่าได้สำเร็จก่อน นั่นถือว่าเป็นผลลัพธ์ที่ดีสุดล่ะ แต่ถ้าจัดการไม่ได้ เรายังพอใช้โอกาสนี้ล่อเขาไปทางเหนือบริเวณที่เขาไม่รู้จัก แล้วพาเข้าไปแถวๆ บึงโคลนที่เขาไม่คุ้นเคย ไปเผชิญหน้ากับเจ้าเสียงผิดปกติที่ฟังแล้วสุดจะอันตรายนั่น

“ต่อให้เขาหนีรอดออกมาได้ แต่ก็ตามมาไล่จับพวกเราไม่ทันแล้วล่ะ”

ยิ่งพูดเธอก็ยิ่งเสียงดังขึ้นทุกทีราวกับว่ากำลังตื่นเต้นที่คิดหาวิธีกำจัดจิ้งฝ่าออกมาได้

ซางเจี้ยนเย่าที่ฟังอยู่เงียบๆ ก็พลันยกมือขึ้นเหมือนกับสมัยที่อยู่โรงเรียน

“ผมมีคำถามข้อนึง”

“หือ ว่าไงเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกงุนงง

เพราะเธอรู้สึกว่าสิ่งที่พูดออกไปนั้นมันชัดเจนเสียจนไม่รู้จะชัดไปกว่านี้ได้ยังไงอีกแล้ว

ซางเจี้ยนเย่ากดเสียงพูดลงเล็กน้อย

“ผมไม่รู้จักสถานีเยว่หลู่ หาทางไปไม่ถูก”

“…” เจี่ยงไป๋เหมียนถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ

หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีก็หัวเราะเยาะตัวเอง

“ลืมไปว่านายเป็นมือใหม่หัดขับที่เพิ่งออกมาพื้นโลกเป็นครั้งแรก…”

“แสดงว่านายทำได้ไม่เลวเลยนะ!

“นี่ถ้าไม่ใช่เพราะว่าต้องใช้สมาธิขับรถอยู่ล่ะก็ ฉันคงยกนิ้วให้นายไปแล้ว!”

หลังจากฝืนใจพูดออกไปแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็ถอนหายใจ

“ว่ากันว่าก่อนโลกเก่าจะถูกทำลาย มีดาวเทียมอยู่บนฟ้าตั้งเยอะที่เอามาใช้งานได้ ช่วยให้คนเราหาตำแหน่งสถานที่ต่างๆ ได้สะดวกขึ้น สามารถเลือกเส้นทางที่เหมาะสมกับที่หมายที่จะเดินทางไปได้ ถึงแม้ว่าจะไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนก็ตาม

“ถ้าอย่างนั้น… ฉันจะสวมชุดเกราะกระดูกเสริมแรงเองก็แล้วกัน แล้วก็ขับไปเรื่อยๆ ก่อน พอหลบการโจมตีระลอกแรกได้แล้วฉันค่อยออกจากรถเพื่อล่อจิ้งฝ่าออกไป จากนั้นก็ให้ไป๋เฉินรีบปีนข้ามมาขับรถต่อ”

“แล้วถ้าจิ้งฝ่าโจมตีมาตอนที่คุณกำลังชุดสวมเกราะกระดูกเสริมแรงอยู่ล่ะ จะให้ทำยังไง” ไป๋เฉินนึกถึงช่องโหว่ของแผนขึ้นมา

เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกอยากกุมขมับ อยากจะพูดแต่ก็พูดไม่ออก

ไป๋เฉินมองกระจกหลังด้วยสีหน้าสงบนิ่งอย่างที่เคยเป็น

“งั้นฉันลงรถไปด้วยละกัน จะได้คอยบอกทางให้ซางเจี้ยนเย่า

“ชุดเกราะกระดูกเสริมแรงพอจะแบกคนตัวเตี้ยอย่างฉันได้อยู่ ไม่น่ามีผลต่อการเคลื่อนไหวและปฏิกิริยาตอบสนองมากเท่าไหร่”

“ฉันเคยบอกไปแล้วนะ อย่างเธอน่ะไม่ได้เรียกว่าเตี้ย แต่เรียกว่าตัวเล็กต่างหาก เธอน่ะยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยของคนในแดนร้างซะอีก ฉันเคยเห็นคนในแดนร้างตั้งเยอะแยะที่สูงไม่ถึง 160” เจี่ยงไป๋เหมียนแย้งด้วยท่าทีเป็นกันเองก่อนจะพยักหน้าให้ “ฉันคงไม่ต้องบอกหรอกนะว่างานนี้มันอันตรายขนาดไหน เราเกิดมาบนแดนธุลีและออกมาสู่พื้นโลก เมื่อถึงเวลาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เราก็ต้องยอมรับความเสี่ยงที่ต้องเผชิญ นี่ถ้าหากว่าฉันจำเป็นต้องแบกรับไว้เอง ฉันก็จะไม่โยนให้พวกเธอเหมือนกัน”

เธอผ่อนลมหายใจแล้วเตือนไป๋เฉิน

“อย่าลืมติดอาหารไปบางส่วนด้วยละกัน”

เมื่อพูดเสร็จเธอก็หุบปากเงียบทันที ปล่อยมือขวาที่กำลังจับพวงมาลัยอยู่

จากนั้นก็ชี้ไปที่บิสกิตอัดแข็งกับธัญพืชอัดแท่งที่เก็บอยู่ในแท่นพักแขนคอนโซลกลาง แล้วก็ชี้ที่ปากตัวเองพร้อมกับทำแก้มป่อง

ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงรู้สึกงุนงง พวกเขากำลังจะเอ่ยปากถามแต่ทันใดนั้นก็เห็นไป๋เฉินหันมาขยิบตาให้

ทั้งคู่เลยกลืนคำพูดที่อยู่ในลำคอไปพร้อมๆ กัน

ถึงแม้ว่าไป๋เฉินจะไม่เข้าใจว่าเจี่ยงไป๋เหมียนนั้นมีวัตถุประสงค์อะไรแฝงอยู่ แต่ก็มั่นใจว่าหัวหน้าทีมของเธอนั้นไม่ต้องการจะใช้เสียงพูดหรือสนทนาอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้

แล้วเจี่ยงไป๋เหมียนก็หักพวงมาลัยอีกครั้งก่อนพูดต่อ

“ซางเจี้ยนเย่า นายต้องคิดหาวิธีรับมือกับ ‘เปรตหิวโหย’ ของจิ้งฝ่าไว้ด้วย

“ถ้าเกิดว่าจู่ๆ เขาเลิกเล่นซ่อนแอบแล้วพุ่งใส่นายตรงๆ เพื่อย่นระยะให้อยู่ในรัศมีพลังพิเศษ มันจะกลายเป็นปัญหาขึ้นมาทันที

“ผมจะพยายาม…” ซางเจี้ยนเย่าหยุดไปอึดใจก่อนจะพยักหน้าอย่างหนักแน่น “หาวิธีให้ได้!”

พอตอบออกไปแล้วก็รีบหันไปพูดกับไป๋เฉิน

“ไม่มีเวลาแล้ว หยิบอาหารเตรียมลงจากรถกันเถอะ

“แล้วก็กินอะไรรองท้องซักหน่อย หลังจากนี้อาจจะไม่ได้หยุดพักกินอาหารไปอีกพักใหญ่”

“อืม” ไป๋เฉินหยิบอาหารจากที่พักแขนมาแบ่งครึ่งกับซางเจี้ยนเย่า

ซางเจี้ยนเย่าแกะซองบิสกิตอัดแข็งแล้วยัดใส่ปากตัวเอง

ไม่ถึงนาทีต่อมา เจี่ยงไป๋เหมียนก็กระชากพวงมาลัยอย่างกระทันหันเพื่อหักหลบแสงเลเซอร์ที่จิ้งฝ่ายิงออกมา

ซางเจี้ยนเย่าไม่ต้องรอให้สั่ง เขาเปิดประตูพุ่งออกนอกรถจี๊ปทันที ครั้งนี้เขาไม่ได้กลิ้งม้วนตัวออกจากรถ แต่กระโดดออกมาสุดแรง

เสียงดังฉี่ ลำแสงเลเซอร์เจาะทะลุพื้นดิน

ถ้าหากซางเจี้ยนเย่ากลิ้งม้วนตัวเหมือนครั้งก่อนก็คงถูกลำแสงเลเซอร์ยิงทะลุไปแล้ว ถึงแม้ว่าชุดเกราะกระดูกเสริมแรงจะมีชั้นเกราะป้องกัน แต่เขาคงไม่โชคดีรอดไปได้

หลังจากนั้นก็ออกแรงจากหัวเข่าโดยอาศัยข้อต่อเสริมกำลัง กระโดดออกไปไกลร่วมยี่สิบเมตร พุ่งตรงไปหาจิ้งฝ่าที่อยู่ห่างออกไป

หลวงจีนจักรกลจิ้งฝ่าก็รีบถอยกลับทันทีเฉกเช่นเดียวกับเมื่อครั้งก่อนหน้า เพิ่มระยะห่างแล้วอ้อมซางเจี้ยนเย่าไป

เจี่ยงไป๋เหมียนใช้โอกาสนี้กระแทกเบรคชะลอรถเพื่อให้ไป๋เฉินกลิ้งม้วนตัวออกจากที่นั่งข้างคนขับลงสู่พื้นโดยไม่เป็นอันตราย

ท่ามกลางเสียงขลุกขลัก ไป๋เฉินปิดประตูตามหลังก่อนอาศัยแรงกลิ้งหลุนๆ ไปหลบด้านหลังพุ่มไม้เตี้ยๆ

ความเร็วของรถจี๊ปพุ่งขึ้นอีกครั้ง แล่นทะยานตรงไปยังถนนหลักที่ผู้คนมักใช้เดินทางในแดนร้างบึงดำ

ตอนนี้ซางเจี้ยนเย่าที่ไล่ตามจิ้งฝ่าไปก็ย้อนกลับมาในบริเวณใกล้เคียง

ร่างกายของซางเจี้ยนเย่านั้นมีโครงกระดูกโลหะสีดำห่อหุ้มและชิ้นส่วนเกราะป้องกันในบางส่วน เขาชี้ไปยังกล่องพลังงานสะพายหลังเพื่อบอกให้ไป๋เฉินนั่งที่นั่น

ไป๋เฉินกระโดดออกมาจากพุ่มไม้แล้วใช้ข้อต่อของชุดเกราะกระดูกเสริมแรงเป็น ‘บันได’ และ ‘ที่จับ’ จากนั้นก็กระโดดสองจังหวะขึ้นไปอยู่บนกล่องพลังงานสะพายหลัง

แม้ว่าตอนนี้เธอจะนั่งอยู่ แต่ก็ยังสูงกว่าซางเจี้ยนเย่าอยู่ดี

เมื่อเทียบกับการที่ต้องใช้มือข้างหนึ่งเพื่ออุ้มไป๋เฉินแล้ว การทำแบบนี้จะส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวและเล็งยิงของชุดเกราะกระดูกเสริมแรงน้อยที่สุด

จากนั้นเขาก็ไล่ตามจิ้งฝ่า ไล่กวดไปตลอดทาง เป็นการวิ่งแข่งเล่นซ่อนแอบเพื่อซื้อเวลาให้เจี่ยงไป๋เหมียนกับหลงเยว่หงสลัดหลุดจากการเกาะหนึบกัดไม่ปล่อยของจิ้งฝ่า

ซางเจี้ยนเย่าที่สวมหมวกเกราะโลหะวิ่งไปสองสามก้าว เมื่อไม่ถูกจู่โจมใส่ เขาก็เริ่มกระโดดและกลิ้งม้วนตัว

ไป๋เฉินเกร็งตัวเกาะกระดูกโลหะของเกราะกระดูกเสริมแรง ออกแรงยึดไว้แน่นเพื่อไม่ให้ถูกเหวี่ยงกระเด็นหลุดไป

เธอรู้ว่าซางเจี้ยนเย่ากำลังทดสอบเพื่อให้มั่นใจว่าพวกเขาจะประสานงานเข้าขากันได้ดีก่อนที่จะเริ่มโต้กลับจิ้งฝ่า

หลังจากทดลองไปสองสามรอบ ซางเจี้ยนเย่าซึ่งสวมชุดเกราะกระดูกเสริมแรงก็ก้าวยาววิ่งไปข้างหน้า ใช้ระยะวิสัยทัศน์ที่มองเห็นได้ไกลมากของระบบเตือนภัยรอบทิศ วิ่งตามไล่กวดหลวงจีนจักรกลห่มจีวรแดงไป

แสงสีแดงในดวงตาของจิ้งฝ่าสว่างวาบ เริ่มมีสภาวะหวั่นไหวเมื่อมองเห็นผู้หญิง

ข้อต่อโลหะที่ขาของเขาย่องอ จากนั้นก็ดีดตัวขึ้นและกระโดดไปด้านข้าง

เขาไม่ถึงกับคุ้มคลั่งเลยเสียทีเดียว ยังคงทำตามกลยุทธ์เดิมต่อไป ถึงอย่างไรความเกลียดชังผู้หญิงของเขานั้นเป็นผลมาจากจิตใจที่บิดเบี้ยวเพราะร่างกายไม่อาจตอบสนอง ไม่ได้เกิดจากสิ่งที่สละเพื่อเป็นผู้ตื่นรู้ ดังนั้นเขาจึงยังคงควบคุมตัวเองไว้ได้ในระดับหนึ่ง

เมื่อซางเจี้ยนเย่าที่สะพายปืนยิงระเบิดมาด้วยเห็นเช่นนั้น คราวนี้เขาไม่ได้กลับหลังหันแล้วย้อนกลับไปเหมือนครั้งก่อน แต่พยายามไล่ตามจิ้งฝ่าเพื่อเข้าไปใกล้

หลังจากการเล่นวิ่งไล่จับผ่านไปเพียงไม่กี่นาที ไป๋เฉินที่นั่งอยู่บนกล่องพลังงานสะพายหลังก็ก้มตัวพูดด้วยเสียงต่ำ

“แย่แล้ว

“จิ้งฝ่ากำลังอ้อมวกกลับไปหารถจี๊ป!

“เขาตั้งใจจะหลบเราแล้วไล่ตามหัวหน้ากับหลงเยว่หงไป!”

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท