รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 43 คำเชิญ

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 43 คำเชิญ

หลังจากที่ได้ฟังคำอธิบายของเจี่ยงไป๋เหมียนแล้ว ซางเจี้ยนเย่ากับไป๋เฉินก็เข้าใจอย่างชัดเจน

ที่จริงแล้วพวกเขาเจอคำใบ้มากมาย แต่ว่าไม่ได้ใส่ใจ

เจี่ยงไป๋เหมียนมองซางเจี้ยนเย่า

“ทำไม

“ที่จริงพวกนายควรจะเดาได้ตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอว่าแผนนี้น่ะมันมีปัญหา ต่อให้ฉันไม่ได้พูดแต่ก็ใช้ท่าทางบอกใบ้ให้นายยัดบิสกิตใส่ปากไว้เพื่อป้องกัน ‘เปรตหิวโหย’ ในตอนนั้นนายก็เข้าใจความนัยได้อย่างรวดเร็วไม่ใช่หรือไง

“ฉันไม่ได้ใช้เสียงเพราะจุดนี้เป็นประเด็นสำคัญ แต่ว่าก่อนหน้านี้ตอนที่คุยเรื่องแผน ฉันพูดซะดังลั่น นายควรจะรู้สึกตัวสิว่ามีอะไรผิดปกติ ตอนนั้นก็ควรจะเดาได้แล้วนะว่าฉันอาจจะพูดอย่างหนึ่งแต่ทำอย่างอีกอย่างหนึ่งก็ได้”

ซางเจี้ยนเย่าพูดอย่างไม่ต้องคิด

“ตอนนั้นผมคิดว่า หัวหน้ากลัวว่าถ้าพูดออกมาแล้วและผมจำเอาไว้ ก็อาจจะถูกพลัง ‘อ่านใจ’ ของจิ้งฝ่าอ่านออกมาน่ะ เพราะพวกเราก็ไม่รู้ว่าพลังนั้นมีรัศมีกว้างขนาดไหน

“แต่ถ้าเปลี่ยนจากเสียงมาเป็นภาพและการกระทำแทน มันต้องใช้การตีความ ต่อให้จิ้งฝ่ามองเห็นภาพ แต่ก็อาจจะไม่เข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ก็ได้”

“…นายคิดเยอะเกินไปแล้ว” เจี่ยงไป๋เหมียนประเมินเขา

ไป๋เฉินเห็นด้วยกับซางเจี้ยนเย่า

“ฉันเองก็คิดเหมือนกันว่าที่คุณไม่ได้ใช้เสียงเพราะมีความเข้าใจเกี่ยวกับพลังของผู้ตื่นรู้ ฉันไม่เคยฟังการปรึกษาหารือเรื่องประสิทธิภาพของพลังการ ‘ฟัง’ ของผู้ตื่นรู้และยุทธวิธีในการรับมือกับพวกเขามาก่อน ดังนั้นฉันเองก็ไม่ได้ปัดตกความเป็นไปได้ในข้อนี้ และจะว่าไปแล้วฉันไม่ได้มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้ดีเหมือนกับพวกกองกำลังใหญ่ด้วย”

“…เธอนี่คิดเยอะกว่าตานี่ซะอีก” เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะและชมตัวเองไปด้วย “นี่ฉันเล่นละครได้สมจริงเกินไปหรือเปล่าเนี่ย”

“ผมเพียงแต่ไม่คิดว่าหัวหน้าจะหลอกพวกเรานะสิ เลยไม่เคยคิดไปในแง่มุมนั้นเลย” ซางเจี้ยนเย่ารีบตอบออกมา

ไป๋เฉินพยักหน้าเห็นด้วย

เจี่ยงไป๋เหมียนมองไปรอบๆ ก่อนจะยิ้มแล้วเปลี่ยนเรื่อง

“ดังนั้นการได้ออกมาฝึกภาคสนามจะทำให้พวกนายสั่งสมประสบการณ์ได้อย่างรวดเร็ว และช่วยพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในทีมให้มีความเข้าใจซึ่งกันและกันมากขึ้นอีกด้วย

“สรุปคือ ไม่ว่าฉันจะตัดสินใจไงก็ตาม แต่จงเชื่อมั่นเถอะว่าฉันจะไม่มีวันหักหลังพวกนายเด็ดขาด

“เอาล่ะ เอาล่ะ ไปสมทบกับหลงเยว่หงกันเถอะ”

“ทราบแล้ว” ซางเจี้ยนเย่ากับไป๋เฉินเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดอย่างกระจ่างแล้ว ต่างก็ได้เรียนรู้เพิ่มขึ้นไม่น้อยทีเดียว

เจี่ยงไป๋เหมียนมองไปยังทิศทางที่จิ้งฝ่าหนีหายไปแล้วถอนใจ

“น่าเสียดายที่ทำลายร่างของจิ้งฝ่าแล้วเก็บชิปชีวจักรกลที่อยู่ข้างในมาไม่ได้

“เทคโนโลยีพวกนี้นับว่าควรค่าแก่การศึกษาเป็นอย่างยิ่ง มันจะช่วยให้บริษัทก้าวข้ามอุปสรรคความยากลำบากได้มหาศาลเลยล่ะ นอกจากนั้นแล้วชุมนุมหลวงจีนเหมือนจะมีความเข้าใจเกี่ยวกับการการทำลายล้างโลกเก่าอยู่พอประมาณ ดูท่าแล้ว ‘นิรันดร์กาล’ น่าจะเป็นหนึ่งในโครงการที่สำคัญที่สุดก่อนโลกเก่าจะล่มสลาย สามารถสืบทอดองค์ความรู้พวกนี้มาได้นี่ นับว่าไม่ธรรมดาเลยจริงๆ”

เธอไม่ได้รอให้ซางเจี้ยนเย่ากับไป๋เฉินตอบอะไรก็พูดต่อ

“ฮ่าฮ่า ฉันก็แค่ฝันลมๆ แล้งๆ ไปอย่างนั้นแหละ

“ถึงจะสามารถทำลายร่างของจิ้งฝ่าได้จริงๆ ฉันก็ไม่กล้าเก็บชิปชีวจักรกลนั่นเอาไว้อยู่ดี พลังของผู้ตื่นรู้นี่มันทั้งพิสดารทั้งชวนให้หวาดหวั่นขวัญผวา ขืนพกชิปที่มีจิตสำนึกของจิ้งฝ่าติดตัวไปด้วย นี่มันรนหาที่ตายชัดๆ

“เป็นแบบนี้ก็ดีแล้วล่ะ ดีแล้ว”

เธอหันไปมองซางเจี้ยนเย่า

“ไปกันเถอะ”

ซางเจี้ยนเย่ามองดูรอยล้อรถรอบกาย จากนั้นก็ทิ้งตัวนั่งยองลง

“ร่องรอยนี่พิถีพิถันมากจริงๆ ไม่ได้ปล่อยให้พวกเราวิ่งไล่กันเองตามใจ ไม่งั้นผมอาจใช้ชุดเกราะกระดูกเสริมแรงตามรอยไม่ได้แล้วก็พลัดหลงคลาดกัน”

เจี่ยงไป๋เหมียนพยักหน้าอย่างพอใจแล้วขึ้นไปนั่งบนกล่องพลังงานสะพายหลังโดยเว้นที่ว่างไว้ให้ไป๋เฉินครึ่งหนึ่ง

เมื่อทั้งคู่นั่งกันเรียบร้อยและจับยึดบ่าของโครงโลหะไว้แน่นดีแล้ว ซางเจี้ยนเย่าก็ยืนขึ้นแล้วสาวเท้าก้าวยาวออกเดินทาง ติดตามรอยล้อรถไปพร้อมกับเสียงครืดคราดเบาๆ ของชุดเกราะโลหะ

เขาไม่ได้วิ่งด้วยความเร็วเต็มพิกัด ดังนั้นเสียงฝีเท้าจึงไม่ได้ดังมาก

ราวสิบห้านาทีให้หลัง ซางเจี้ยนเย่าก็หลุดออกมาจากแนวป่าโปร่ง เข้ามาถึงด้านในของแดนร้างที่เป็นพื้นดินสีเทาแก่

ที่แห่งนี้คือดินแดนแห่งก้อนหินและวัชพืชรกชัฏ พื้นดินค่อนข้างแข็ง มีรอยล้อรถจางๆ จำนวนมากจนยากจะแยกแยะได้

แต่ด้วย ‘ระบบเตือนภัยรอบทิศ’ จึงทำให้ซางเจี้ยนเย่าสามารถมองเห็นรถจี๊ปซึ่งอยู่ออกไปไกลๆ ได้

ล้อด้านข้างของมันจมลงไปในหล่มขนาดเท่าสระน้ำ ตัวถังทั้งคันเอียงจนเหมือนว่าจะจมลงไปได้ทุกเมื่อ

แต่ว่ามีเชือกสองเส้นที่โยงไว้กับรถออฟโรดสีเทาคล้ายผืนป่า

เครื่องยนต์ของรถออฟโรดสีเทาดังกระหึ่ม พยายามลากรถจี๊ปขึ้นมาจากหล่ม

หลงเยว่หงสะพายปืนไรเฟิลยืนอยู่ข้างรถ กำลังพูดคุยกับชายหนึ่งหญิงหนึ่งอย่างสนุกสนาน

“เป็นไงบ้าง เห็นรถจี๊ปไหม ฉันจับปฏิกิริยาได้ว่าทางด้านนั้นมีคนอยู่หลายคนเลย” เจี่ยงไป๋เหมียนที่นั่งอยู่บนบ่าของชุดเกราะกระดูกเสริมแรงยันตัวชะโงกหน้า พยายามมองไปยังทิศทางที่หลงเยว่หงอยู่

ซางเจี้ยนเย่าพยักหน้า

“เห็นแล้ว”

“หลงเยว่หงไม่เป็นไรใช่ไหม” ไป๋เฉินถามขึ้นเมื่อเห็นว่าซางเจี้ยนเย่าชะลอฝีเท้าลง

ซางเจี้ยนเย่าตอบพร้อมรอยยิ้ม

“เขาปลอดภัยไร้กังวล แถมยังมีเพื่อนอีกสองสามคนด้วย”

“โอ้” เจี่ยงไป๋เหมียนร้อง “งั้นไปดูกันเถอะ”

ซางเจี้ยนเย่าเร่งฝีเท้า พุ่งตรงไปยังรถจี๊ป

ตึก! ตึก! ตึก!

เขาเจตนากระแทกเท้าเสียงดังเพื่อให้หลงเยว่หงและหนึ่งชายหนึ่งหญิงด้านข้างเขาสามารถได้ยินเสียงมาแต่ไกล

หนึ่งชายหนึ่งหญิงกับหลงเยว่หงหันหน้ามามองเกือบพร้อมกัน

ทันทีที่เห็นชุดเกราะกระดูกเสริมแรงสีดำ สีหน้าของชายหญิงคู่นั้นพลันเปลี่ยนไปทันที ต่างพุ่งม้วนตัวกลับไปที่รถออฟโรดสีเทาอย่างไม่ลังเล

ตอนนี้รถจี๊ปถูกรถออฟโรดสีเทาลากขึ้นมาจากหล่มแล้ว

ใบหน้าหลงเยว่หลงปิติยินดี และก้าวเท้าออกไปต้อนรับ

“เป็นไงบ้าง”

พอตะโกนเสร็จก็นึกขึ้นได้ จึงรีบหันหน้าไปทางรถออฟโรดสีเทาพลางตะโกนขึ้น

“ไม่ต้องกลัว นั่นเพื่อนผมเอง!”

“พวกเขาเป็นใครเหรอ” ซางเจี้ยนเย่าวิ่งมาถึงที่หมาย

ไม่ว่าจะเป็นคนที่อยู่ในรถออฟโรดสีเทา หรือว่าชายหญิงที่อยู่นอกรถต่างรู้สึกตึงเครียดและตื่นตัวระแวดระวังเป็นอย่างยิ่ง

หลงเยว่หงรีบตอบออกมา

“ฉันไม่คุ้นทางน่ะ ก็เลยขับรถตกหล่ม พอพวกเขามาเจอเข้าก็เลยเข้ามาช่วยไว้

“พวกเขาเป็นมิตรมากเลยนะ!”

เจี่ยงไป๋เหมียนกับไป๋เฉินมองหน้ากันแล้วหัวเราะเบาๆ

“นี่มันไม่ค่อยเหมือนที่พวกคนเร่ร่อนแดนร้างทั่วไปเขาทำกันซักเท่าไหร่…”

พูดจบก็ตบบ่าซางเจี้ยนเย่า

“พวกเราก็ควรแสดงความเป็นมิตรกลับไปนะ”

พอซางเจี้ยนเย่าได้ยินก็หยุดฝีเท้าลงทันที

หลังจากที่เจี่ยงไป๋เหมียนกับไป๋เฉินกระโดดลงมาจากกล่องพลังงานสะพายหลัง และต่างพากันหยิบปืนของตัวเองขึ้นมาพร้อมกับอยู่ในท่วงท่าเฝ้าระวังเรียบร้อยแล้ว เขาถึงจะเดินไปด้านข้างหลงเยว่หง พูดเสียงดัง

“ช่วยฉันถอดชุดเกราะกระดูกเสริมแรงนี่หน่อยสิ”

เมื่อเห็นว่าซางเจี้ยนเย่าถอดชุดเกราะเสริมแรงออกจริงๆ กลุ่มคนที่อยู่ข้างรถออฟโรดสีเทาต่างโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด

พวกเขาปรึกษาหารือกันอยู่ชั่วครู่ จากนั้นหนึ่งชายหนึ่งหญิงที่คุยกับหลงเยว่หงเมื่อครู่ก็เดินกลับเข้ามาหาอีกครั้ง

ชายผู้นี้อยู่ในวัยสามสิบต้น รูปหน้าทรงเหลี่ยม ผิวหนังหยาบกร้าน ผ่านลมฝนมาโชกโชน

เขามีผมสีดำนัยน์ตาสีน้ำตาล ยืนตัวตรง สวมชุดแบบที่คนในโลกเก่าเรียกว่าชุดอย่างเป็นทางการ และแน่นอนว่าชุดอย่างเป็นทางการชุดนี้ถูกดัดแปลงปรับเปลี่ยนเพื่อให้เคลื่อนไหวสะดวกขึ้น

เสื้อผ้าเขานั้นไม่ได้ดูเก่าโทรม ไม่ถูกปะชุน นี่ต่างไปจากคนเร่ร่อนแดนร้างที่ซางเจี้ยนเย่าและคนอื่นๆ เคยพบเจอมา

ส่วนผู้หญิงคนนั้นอายุยี่สิบเศษ มีผมสีดำนัยน์ตาสีน้ำตาลเช่นกัน

เธอสวมชุดสีเขียวลายพรางแบบทหาร หน้าตานับว่าไม่เลว แต่ค่อนข้างเย็นชาไร้อารมณ์

ช่วงรอยต่อระหว่างเสื้อผ้ากับลำคอเห็นรอยสักสีดำเหลือบเขียวเลือนลาง

ชายหนึ่งหญิงหนึ่งคู่นั้นต่างสะพายปืนไรเฟิลอัตโนมัติไว้ที่หลัง ในมือถือปืนพกสีดำ เดินไปหยุดในระยะห่างจากเจี่ยงไป๋เหมียนและคนอื่นๆ ราวสี่ห้าเมตร

“ขอบคุณที่ช่วยนะ!” เจี่ยงไป๋เหมียนตะโกน

“นี่เป็นมนุษยธรรมที่ทุกคนพึงปฏิบัติอยู่แล้วล่ะ” ชายวัยสามสิบตอบอย่างสงบนิ่ง

เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้มขึ้นทันที

“บนแดนธุลีนั้น มนุษยธรรมเป็นสิ่งฟุ่มเฟือยที่ไม่จำเป็น ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่าเป็นสิ่งที่หาได้ยากมาก”

“ก็ไม่ใช่ว่าพอโลกเก่าล่มสลายไปแล้วเราจะต้องทิ้งมนุษยธรรมไปด้วยซักหน่อย” บุรุษผู้นี้แฝงความภาคภูมิใจในการยืนหยัดเรื่องมนุษยธรรมของตน

แล้วเขาก็ถามกลับเสียงดัง

“พวกคุณกำลังจะไปทางเหนือของสถานีเยว่หลู่ใช่ไหม”

“พวกคุณก็ไปตามหาคนด้วยงั้นเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนคิ้วกระตุก “ให้เรียกคุณว่าไงดี”

ชายคนนั้นตอบอย่างสุขุมเยือกเย็น

“อู๋โส่วสือ นักล่าชั้นกลาง”

เขาหยุดไปอึดใจแล้วพูดต่อ

“ดูเหมือนพวกคุณยังไม่รู้สินะว่าทางเหนือของสถานีเยว่หลู่มีการค้นพบซากเมืองจากโลกเก่าซึ่งยังไม่เคยถูกค้นพบมาก่อน”

ซากเมืองที่ยังไม่เคยถูกค้นพบมาก่อนงั้นเหรอ… ซางเจี้ยนเย่า หลงเยว่หลง และไป๋เฉิน ต่างก็มองหน้ากัน

เจี่ยงไป๋เหมียนขมวดคิ้วเล็กน้อย

“พวกคุณรู้ได้ยังไง

“เมื่อวานซืนตอนดึก ในส่วนลึกของบึงน้ำเกิดเหตุการณ์ไม่ปกติขึ้น”

อู๋โส่วสือมองสหายของเขาอย่างไม่มีการอำพราง

“มีคนเข้าไปในซากเมือง เจอข้าวของหลายอย่าง พวกเขาดัดแปลงเครื่องรับส่งโทรเลขไร้สายที่เอาออกมาจากที่นั่น แล้วแจ้งกลับไปยังสาขาของสมาคมนักล่าในเมืองหญ้าไพร

“พวกคุณคงจะรู้อยู่แล้วว่าซากเมืองที่ยังไม่เคยถูกค้นพบนั้นหมายความว่ายังไง”

โดยไม่รอให้เจี่ยงไป๋เหมียนและคนอื่นๆ ตอบ เขาก็ตอบออกมาเสียเอง

“อันตรายและโอกาส!

“ทั้งข้าวของ ข้อมูล และความลับที่อยู่ในนั้น มีมากเพียงพอที่จะตอบสนองความต้องการของพวกนักล่าซากอารยะได้นับพันนับหมื่นครั้ง ไม่ต้องคอยพะวักพะวนว่าเข้าไปแล้วต้องมาฆ่าฟันกันเองเพื่อฉกฉวยแย่งชิง

“แต่ทว่าอันตรายที่ซ่อนอยู่ในซากปรักเมืองก็ทั้งน่ากลัวและมีมากมายเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัวไปด้วย ดังนั้นยิ่งมีเพื่อนร่วมทางเยอะขึ้น ก็จะยิ่งเพิ่มความแข็งแกร่งในการรับมือกับพวกมัน”

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท