รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 44 จุดหมายต่อไป

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 44 จุดหมายต่อไป

สำหรับซากเมืองของโลกเก่าที่เพิ่งค้นพบนั้น เนื่องจากยังไม่รู้แน่ชัดว่า ‘คนไร้ใจ’ ที่หลงเหลืออยู่ในซากเมืองได้กลายพันธุ์ไปถึงระดับไหน และไม่รู้ว่ามีอันตรายแฝงเร้นอยู่หรือไม่ นักล่าซากอารยะจึงมีแนวโน้มจะสร้างพันธมิตรเพื่อร่วมมือกันสำรวจมากกว่า จะได้ไม่ต้องมาคอยกังวลกับนักล่าคนอื่นๆ และไม่จำเป็นต้องกำจัดคู่แข่ง เพราะว่าในซากเมืองเช่นนี้มีทรัพยากรเหลือเฟือที่จะตอบสนองความต้องการของทุกคนโดยที่ไม่ต้องแก่งแย่งกัน

ในหมู่นักล่าซากอารยะ สถานการณ์เช่นนี้จะถูกเรียกว่า ‘เบิกแดน’

คำเชิญของอู๋โส่วสือนั้นไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจ เธอหันหน้ากลับมามองซางเจี้ยนเย่าและลูกทีมคนอื่นๆ ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม

“พวกเรายังมีเรื่องต้องทำน่ะ”

จากนั้นเธอก็พูดต่อโดยไม่ได้รอให้อู๋โส่วสือตอบ

“ฉันได้ยินมาว่าทางเหนือของสถานีเยว่หลู่เกิดเหตุการณ์ที่ค่อนข้างจะผิดปกติมาก

“นอกจากเสียงหอนตอนดึกที่พวกคุณน่าจะรู้กันแล้ว ก็ยังมีคนเสียชีวิตอย่างลึกลับ ไม่มีบาดแผลให้เห็น สีหน้าบิดเบี้ยวหรือไม่ก็ยิ้มแย้ม ซึ่งมันประหลาดอย่างมาก”

เธอเล่าข้อมูลที่ได้ยินมาจากแฮร์ริส บราวน์ให้อู๋โส่วสือกับคนอื่นๆ ฟังเพื่อเป็นการตอบแทนที่ช่วยลากรถจี๊ปขึ้นมาจากหล่ม

พอได้ยินเช่นนั้น อู๋โส่วสือก็หันหน้าไปมองหญิงสาวผู้มีสีหน้าเฉยเมยที่อยู่ข้างกาย

“หรูเซียง เธอพอจะมองอะไรออกบ้างไหม”

หญิงสาวในชุดสีเขียวลายพรางสั่นศีรษะ

“ไม่มีทางบอกอะไรได้เลย”

อู๋โส่วสือพยักหน้าเล็กน้อยจนแทบสังเกตไม่เห็น แล้วหันกลับมามองเจี่ยงไป๋เหมียน

“ขอบคุณมากที่เตือน พวกเราจะคอยระวังไว้

“แต่โอกาสแบบนี้ อาจต้องรอหลายปีกว่าจะมีสักครั้ง และในภายภาคหน้า โอกาสจะน้อยลงไปเรื่อยๆ ดังนั้นจะปล่อยให้หลุดมือไปไม่ได้เด็ดขาด

“บนแดนธุลี เราต้องดิ้นรนไขว่คว้าอย่างสุดกำลัง จะทำตอนนี้หรือไม่ทำก็ต่างกันเพียงแค่ตายเร็วหรือตายช้ากว่ากันไม่กี่ปีเท่านั้นเอง”

หลังจากยืนยันเจตจำนงแน่วแน่ อู๋โส่วสือก็เห็นว่าเจี่ยงไป๋เหมียนเพียงแค่ยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาก็เข้าใจได้ในทันทีว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ได้มีความคิดที่จะไปสำรวจซากปรักแห่งใหม่

“งั้นพวกเราก็ออกเดินทางกันต่อล่ะ หวังว่ายังมีโอกาสได้พบกันอีก” อู๋โส่วสืออำลาอย่างมีมารยาท แล้วกลับไปที่รถออฟโรดสีเทาพร้อมกับสหาย

“ขอให้ได้พบกันอีก” เจี่ยงไป๋เหมียนโบกมือ

‘พบกันอีก’ เป็นหนึ่งในคำอวยพรที่งดงามที่สุดบนแดนธุลี

ทุกคนสามารถเสียชีวิตจากความหิวโหย โรคภัย การต่อสู้ และภัยธรรมชาติได้ทุกขณะ การที่จะได้พบกันอีกจึงเป็นสิ่งล้ำค่าเป็นอย่างยิ่ง

หลังจากมองดูรถออฟโรดสีเทาแล่นจากไป เจี่ยงไป๋เหมียนก็หันกลับมาพร้อมกับทอดถอนใจ

“น่าเสียดายชะมัด…

“ซากเมืองที่เพิ่งค้นพบแบบนั้น ต้องมีพวกข้อมูลชุดแรกที่ล้ำค่าอยู่เต็มไปหมดแน่นอน”

ไป๋เฉินมองไปทางทิศเหนือและถามออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ

“จะไม่ไปจริงๆ เหรอ”

“ฉันเหมือนคนพูดอย่างทำอย่างนักหรือไง” เจี่ยงไป๋เหมียนถามกลับด้วยรอยยิ้ม

แต่พอพูดขาดคำ เธอก็เห็นซางเจี้ยนเย่า ไป๋เฉิน และหลงเยว่หง ต่างแสดงสีหน้าประหลาด

“ฮ่า ฮ่า” เธอหัวเราะแห้ง “นั่นมันเป็นกลยุทธ์น่ะ เข้าใจไหม กลยุทธ์!”

ก่อนที่สมาชิกทีมทั้งสามคนจะพูดอะไร เธอก็หยอกล้อไป๋เฉิน

“ว่าไง เลือดคนเร่ร่อนแดนร้างในตัว กำลังเดือดระอุคอยกระตุ้นบอกให้เธอไปหรือไง”

ไป๋เฉินนิ่งไปราวหนึ่งวินาที ก่อนจะก้มศีรษะลงเล็กน้อย

“อืม เป็นยิ่งกว่านั้นซะอีก มันเป็นความเคยชินน่ะ

“คงรู้นะว่าเรื่องแบบนี้ คนเร่ร่อนแดนร้างทุกคนไม่มีใครยอมปล่อยให้โอกาสแบบนี้หลุดมือไปหรอก

“เทียบกับต้องแข็งตายในหน้าหนาวเพราะไม่มีเสื้อผ้าอาหารแล้ว นี่คือความหวังที่พร้อมจะยอมเสี่ยง”

เจี่ยงไป๋เหมียนพยักหน้าเล็กน้อย มองไปที่ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หง

“ถ้าหากว่า ‘ทีมสำรวจเก่า’ ของเราจัดตั้งมานานเกินครึ่งปีและเคยทำภารกิจสำเร็จลุล่วงมาหลายครั้ง แน่นอนเลยว่าฉันต้องปรับแผนแล้ววกไปทางเหนือของสถานีเยว่หลู่แน่นอน

“แต่ว่าตอนนี้เรามีมือใหม่สองคนที่เพิ่งออกมาพื้นโลกครั้งแรก และที่นั่นก็มีอันตรายและเหตุการณ์ผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นฉันไม่มีทางเอาชีวิตของมือใหม่สองหน่อนี่ไปผจญภัยเพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเองหรอก”

ซางเจี้ยนเย่าฟังอย่างเงียบๆ ก็พูดโพล่งออกมา

“ก่อนนี้คุณเคยบอกว่าการแสดงออกของผมไม่เลว จนลืมไปเลยว่าผมเป็นมือใหม่ที่เพิ่งออกมาเผชิญพื้นโลก”

“หือ… นายว่าไงนะ ฉันได้ยินไม่ชัด” เจี่ยงไป๋เหมียนถึงกับยิ้มค้าง

ก่อนที่ซางเจี้ยนเย่าจะพูดซ้ำ เจี่ยงไป๋เหมียนก็รีบถูใบหูตัวเอง

“สรุปคือสมาชิกทุกคนของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ของเรานั้นเป็นทรัพยากรอันล้ำค่า ดังนั้นฉันไม่ยอมปล่อยให้พวกนายเสียสละตัวเองตามใจชอบเด็ดขาด”

พอพูดจบแล้วเธอก็หันไปสั่งไป๋เหมียนด้วยท่าทีจริงจัง

“ดูแผนที่ยืนยันตำแหน่งที่แน่นอนของพวกเราให้ที

“ถึงแม้ว่าพวกเราจะไม่ได้ไปสำรวจซากเมืองที่เพิ่งค้นพบก็เถอะ แต่ยังไงก็ต้องส่งข่าวกลับบริษัท ฉันต้องหานิคมของคนเร่ร่อนแดนร้างในสังกัดของบริษัทที่อยู่ใกล้ที่สุดเพื่อไปใช้เครื่องรับส่งโทรเลขไร้สาย

“รวมทั้งข้อมูลจากแฮร์ริส บราวน์ และเรื่องที่เกี่ยวข้องกับจิ้งฝ่าก็ต้องส่งกลับไปด้วยเหมือนกัน”

“ทราบแล้ว” ไป๋เฉินหยิบเอาแผนที่แบบหยาบๆ ออกมา

แล้วตอนนี้หลงเยว่หงก็นึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องสำคัญต้องถาม

“หัวหน้าจัดการจิ้งฝ่าไปแล้วเหรอ

“แล้วเขายังจะตามล่าเราอีกหรือเปล่า”

เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะเยาะออกมาคำหนึ่ง

“ถ้ามันยังตามกวนใจพวกเราอยู่ แล้วฉันจะมัวมาเอ้อระเหยยืนคุยกับพวกอู๋โส่วสือ หรือคุยกับนายได้หรือไง”

พอเห็นว่าหลงเยว่หงถอนหายใจโล่งอก เธอก็เปลี่ยนคำพูด

“แต่ว่าเรายังไม่ได้จัดการจิ้งฝ่าไปหรอกนะ”

ร่างหลงเยว่หงหดเกร็งขึ้นทันที

เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้ม

“เราเพียงแค่ซัดมันจนเจ็บหนัก จนมาตามตื้อไม่ได้ไประยะหนึ่ง

“กว่ามันจะซ่อมแซมตัวเองเสร็จ เราก็ไปกันไกลโขแล้ว แดนร้างบึงดำนั้นกว้างใหญ่มาก แทบจะวางใจได้เลยว่าไม่ถูกมันตามหาจนเจอหรอก”

หลงเยว่หงได้ยินก็รู้สึกผ่อนคลาย เอามือลูบท้อง

“ผมเริ่มหิวแล้วล่ะ”

ตอนนี้เลยเวลาอาหารเที่ยงมานานแล้ว ในท้องเขามีเพียงแค่บิสกิตอัดแข็งครึ่งห่อที่ยัดเข้าปากไปตอนที่โดนพลัง ‘เปรตหิวโหย’ เท่านั้น

เจี่ยงไป๋เหมียนเลิกคิ้วเล็กน้อย

“ไหงนายไม่ยักถามว่าพวกเราทำยังไงถึงจัดการจิ้งฝ่าจนเจ็บหนักได้”

“พอหัวหน้าลงจากรถไปกลางทาง ผมก็พอจะเดาแผนของคุณได้ลางๆ ล่ะ” หลงเยว่หงยืดตัวตรง “ส่วนรายละเอียดก็ค่อยเอาไว้ถามหลังกินเสร็จแล้วก็ได้”

“เด็กฉลาดสอนได้” เจี่ยงไป๋เหมียนใช้คำพูดของผู้ที่สูงวัยกว่าพูดชมเชยเขาหนึ่งประโยค “ฉลาดกว่าที่ฉันคิดนะเนี่ย”

หลงเยว่หงรู้สึกดีใจจนตัวลอย คิดจะพูดถ่อมตัวสักสองคำโดยอัตโนมัติ

แต่ทว่าในขณะนั้นเอง ซางเจี้ยนเย่าก็ถามแทรกขึ้นมา โดยไม่รู้ว่าเจตนาหรือไม่

“ก่อนหน้านี้หัวหน้าคิดว่าเขาไม่ค่อยฉลาดสินะ”

“…” สีหน้าหลงเยว่หงถึงกับทรุดฮวบโดยพลัน

เจี่ยงไป๋เหมียนกระแอมไปสองครั้ง

“…ไม่ใช่ซะหน่อย ประเด็นก็คือเขาไม่ค่อยมีประสบการณ์เท่าไหร่ แต่ก็ดีที่ยังตอบสนองได้ทันเวลา

“จะว่าไปแล้วเขาก็ได้รับการปรับปรุงพันธุกรรมมา ก็ไม่ได้สมองทึบนักหรอก”

“ผลการเรียนของฉันก็แค่ปานกลาง…” หลงเยว่หงก้มหน้าพึมพำกับตัวเอง

เจี่ยงไป๋เหมียนเอียงหน้าเล็กน้อย พยายามตั้งใจฟังคำพูดของอีกฝ่าย

หลังจากนั้นอีกสองสามวินาทีก็มองซางเจี้ยนเย่า

“บางทีฉลาดเกินไปก็ไม่แน่ว่าจะดีเสมอไป พวกคนฉลาดแค่ปานกลางมีอัตรารอดชีวิตค่อนข้างสูง นั่นก็เพราะว่าพวกเขาเชื่อฟังคำสั่ง ไม่ได้ตัดสินใจเอาเอง

“พูดอีกอย่างก็คือ แต่ละคนมีจุดเด่นที่ไม่เหมือนกัน”

หลงเยว่หงสูดหายใจลึกและพยักหน้าช้าๆ

ในขณะนี้ไป๋เฉินยืนยันพิกัดตำแหน่งปัจจุบันของตัวเองได้แล้ว จึงชี้ให้เจี่ยงไป๋เหมียนดูแผนที่

“ฮ่า นิคมใกล้สุดอยู่ทางเหนือ… เย็นนี้หรือไม่ก็พรุ่งนี้เช้าน่าจะไปถึง…” เจี่ยงไป๋เหมียนดูแผนที่อยู่ชั่วครู่ “ยังดีว่ามันอยู่ห่างจากสถานีเยว่หลู่ไปอีกตั้งเยอะ ทิศทางก็เบี่ยงออกไปพอสมควร เราจะได้ไม่ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องผิดปกติพวกนั้น”

เธอปิดแผนที่อย่างไม่ใส่ใจ แล้วโยนกลับคืนไปให้ไป๋เฉิน

“ออกเดินทางกันเถอะ เป้าหมายของเราคือเมืองหนูดำ!”

ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงไม่คุ้นกับแดนร้างบึงดำจึงไม่ได้คัดค้านอะไร

“ไป๋เฉิน เธอเช็คสภาพรถ ส่วนหลงเยว่หง นายไปเอาธัญพืชอัดแท่งจากท้ายรถออกมา” เจี่ยงไป๋เหมียนออกคำสั่งระหว่างที่เดินไปที่รถจี๊ป

รอจนไป๋เฉินกับหลงเยว่หงไปทำตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมายแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็เดินช้าๆ ไปยังหนองน้ำเล็กๆ ด้านหน้า แล้วพูดกับซางเจี้ยนเย่าที่อยู่ด้านข้าง

“ทำไมเมื่อกี้นายถึงทำลายความมั่นใจของหลงเยว่หงล่ะ

“พูดออกมาตรงๆ เอาแบบออกมาจากใจเลย”

ซางเจี้ยนเย่ามองตรงไปข้างหน้า มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย

“เขาเป็นตัวถ่วง ผมเลยอยากให้เขาออกจาก ‘ทีมสำรวจเก่า’”

เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้ตอบอะไร เดินไปที่รถจี๊ปอย่างช้าๆ

หลังจากนั้นสองวินาทีเธอก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำจากซางเจี้ยนเย่าพูดต่อ “มันอันตรายเกินไปสำหรับเขา…”

เจี่ยงไป๋เหมียนเอียงคอเล็กน้อย มีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้า

“เกือบจะไม่ได้ยินอยู่แล้วว่านายพูดอะไร!”

เธอไม่ได้ต่อประโยคสนทนา เร่งฝีเท้าก่อนจะขึ้นไปนั่งในตำแหน่งคนขับ

หลังจากนั้นไม่นานรถจี๊ปก็เริ่มออกเดินทางอีกครั้ง มุ่งหน้าขึ้นเหนือไปยังเมืองหนูดำ

หลังจากสลับกันกินอาหารเที่ยงแล้ว ซางเจี้ยนเย่าก็เริ่มถามขึ้นมา

“เมืองหญ้าไพรนี่มันเป็นยังไงเหรอ อยู่ที่ไหน”

ไป๋เฉินในตำแหน่งที่นั่งข้างคนขับหันหน้ามาตอบ

“เป็นเมืองชายแดนของ ‘ปฐมนคร’ อยู่ติดกับแดนกันดารหลวงจีนน่ะ”

“แดนกันดารหลวงจีนงั้นเหรอ” หลงเยว่หงรู้สึกว่าชื่อนี้ออกจะแปลกหูอยู่บ้าง

เนื่องจากมีผู้คนมากมายใน ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ที่ตลอดทั้งชีวิตอาจไม่มีโอกาสได้ออกมาสู่พื้นโลก ดังนั้นหนังสือเรียนที่สอนเกี่ยวกับสภาพภูมิศาสตร์จึงมีเนื้อหาที่ไม่ละเอียดนัก เพียงแค่แนะนำเฉพาะกองกำลังใหญ่ และตำแหน่งภูมิประเทศที่มีความสำคัญที่สุดเท่านั้น

“มันเป็นพื้นที่บริเวณที่มีพวกหลวงจีนจักรกลออกจาริกบ่อยๆ น่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนขับรถไปพลางก็อธิบายอย่างไม่เป็นทางการไปพลาง “ว่ากันว่าฐานบัญชาการของชุมนุมหลวงจีนซึ่งซ่อนเทคโนโลยีของ ‘นิรันดร์กาล’ และพวกเครื่องไม้เครื่องมือที่เกี่ยวข้องของแดนวิสุทธิ์มายาเอาไว้ ตั้งอยู่ที่ไหนซักแห่งในแดนร้างบริเวณนั้น”

ไป๋เฉินพูดเสริมขึ้น

“แดนกันดารนี้มีพิกัดตำแหน่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของแดนร้างบึงดำ หากจะไป ‘ปฐมนคร’ ก็ต้องผ่านแดนกันดารนี้ไป ไม่งั้นก็ต้องอ้อมไปทางอื่นแทน”

หลังจากแนะนำเกี่ยวกับแดนกันดารหลวงจีนไปโดยสังเขปแล้ว ไป๋เฉินก็วกกลับมาที่เรื่องเดิม

“เมืองหญ้าไพรนั้นแต่เดิมเป็นกองกำลังเล็กๆ ในแดนกันดารหลวงจีน ต่อมาภายหลัง เมื่อ ‘ปฐมนคร’ ได้ขยายตัวขึ้น ก็เลยต้องการจะเปลี่ยนคนที่นั่นให้กลายเป็นทาส

“เพราะเหตุนี้ พวกเขาก็เลยต่อสู้รบรากันหลายต่อหลายครั้ง มีคนบาดเจ็บล้มตายด้วยกันทั้งสองฝ่าย แล้วในตอนนั้นเอง ทาง ‘ปฐมนคร’ ก็เกิดไปมีเรื่องขัดแย้งกับกองกำลังใหญ่แห่งอื่นเข้า ทำให้ไม่สามารถเสริมกำลังพลให้กับทีมล่าทาสที่นี่ได้ เลยจำต้องเจรจากับเมืองหญ้าไพร และยอมอนุญาตให้พวกเขากลายเป็นพลเมืองอย่างเป็นทางการของ ‘ปฐมนคร’

“ดังนั้นเมืองหญ้าไพรจึงเป็นเมืองที่มีอิสระในการปกครองตนเองค่อนข้างสูง เป็นสถานที่ที่พวกนักล่าซากอารยะไปๆ มาๆ กันอย่างคึกคัก สาขา ‘สมาคมนักล่า’ ของที่นั่นก็มีชื่อเสียงไม่น้อย”

หลังจากได้ฟังคำอธิบายของไป๋เฉินแล้ว หลงเยว่หงที่เพิ่งกินอาหารเสร็จก็เริ่มซักถามรายเอียดเกี่ยวกับวิธีที่ใช้จัดการกับจิ้งฝ่าเพื่อเรียนรู้ไว้เป็นข้อมูลและประสบการณ์

พอคุยเรื่องนี้กันจบ เขาก็หันไปมองซางเจี้ยนเย่า อดถามด้วยความสงสัยเจือความลังเลไม่ได้

“พลังผู้ตื่นรู้ของนายที่ทำให้จิ้งฝ่าเป็นมิตรนั่นชื่ออะไรเหรอ”

และก็รีบเสริมต่อทันที

“แต่ถ้าไม่สะดวกตอบ ก็ไม่ต้องบอกก็ได้นะ”

ซางเจี้ยนเย่ามองกระจกหน้ารถ นิ่งเงียบไปสองสามวินาทีก่อนจะตอบออกมา

“ตัวตลกชักจูง”

* * * * *

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท