รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 56 รวมตัวกัน

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 56 รวมตัวกัน

ที่อยู่เบื้องหน้าคือบานประตูหินหนักอึ้งฝังอยู่ในผนังโลหะสีดำ ซางเจี้ยนเย่าสูดหายใจอย่างไร้เสียง เอนตัวไปด้านหน้าแล้วยื่นมือทั้งสองข้างออกไป

ร่องหลุมทั้งสามบนประตูหินทยอยทยอยส่องสว่างเรืองรองขึ้นมาทีละร่อง ราวกับเป็นดวงดาวที่ร่วงหล่นจากฟากฟ้า

ใน ‘ดวงดาว’ ทั้งสาม ปรากฏตัวอักษรลวงตาหมุนพลิกวูบไหวไปมา แล้วหยุดนิ่งคงสภาพอย่างรวดเร็ว เป็นคำว่า

‘ตัวตลกชักจูง’ ‘คนไร้เหตุผล’ ‘พันธนาการมือ’

เมื่อซางเจี้ยนเย่าเพ่งความสนใจจดจ่อ กลุ่มแสงสีขาวที่แสดงข้อความ ‘ตัวตลกชักจูง’ ก็พลันสว่างขึ้นเรื่อยๆ

เกือบในเวลาเดียวกัน ประตูหินสีควันบุหรี่ก็สั่นไหวเบาๆ แล้วค่อยๆ เคลื่อนถอยหลังเข้าไปพร้อมกับเสียงครืดคราด

เพียงแค่ไม่กี่วินาที ประตูหินสีควันบุหรี่ที่สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้ซางเจี้ยนเย่ามานานหลายวันก็เปิดออกอย่างสมบูรณ์

จากนั้นเขาก็ชักมือกลับมาล้วงกระเป๋ากางเกง ยืนอย่างเงียบงัน จ้องมองไปยังด้านในของบานประตูหิน

ข้างในนั้นมีบันไดโลหะสีเงินตั้งอยู่อย่างเงียบสงบ มันทอดยาวขึ้นสู่ด้านบนจนลับสายตา

สองฟากฝั่งของบันไดโลหะคือความมืดมนอนธกาลอันไร้ขอบเขต ราวกับสามารถกลืนกินโลกได้ทั้งใบ

“อย่างที่คิดเลย…” ซางเจี้ยนเย่าพึมพำ ชักสองมือออกจากกระเป๋า สองเท้าก้าวเดินไปข้างหน้าผ่านบานประตูเข้าไปอย่างไม่ลังเล แล้วก้าวเท้าเหยียบย่างขึ้นไปบนบันไดโลหะ

หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว…

ถึงแม้จะมองไม่เห็นว่าบันไดไปสิ้นสุดตรงไหน แต่เขาก็ยังคงก้าวเดินอย่างแน่วแน่มั่นคง ไม่เร่งรีบ ไม่ลังเล

รอบบริเวณนี้มีเพียงเสียงฝีเท้าของเขาเท่านั้นที่ดังก้องกังวานอยู่ นอกจากนั้นก็ไม่มีเสียงการเคลื่อนไหวอื่นใดอีก

เมื่อผนวกเข้ากับความมืดสลัวรอบด้าน ทำให้เกิดความน่าหวาดกลัวที่อธิบายไม่อาจอธิบายได้

ก้าวเดินขึ้นไปทีละขั้น ทีละขั้น จนไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด ในที่สุดซางเจี้ยนเย่าก็มองเห็นสีสันอื่นท่ามกลางสีดำอันมืดมิด

มันเป็นประตูหินสีควันบุหรี่ที่คล้ายคลึงกับประตูบานก่อนหน้า ถูกฝังอยู่ในผนังโลหะสีดำที่ทอดยาวออกไปทุกด้านจนสุดลูกหูลูกตา และมีร่องหลุมสามร่อง

หากไม่ใช่เพราะว่าสถานการณ์ใต้ฝ่าเท้าของเขามีการเปลี่ยนแปลงไป หากไม่ใช่เพราะว่ารอบกายไม่มี ‘หมู่ดาว’ อยู่รายรอบ ซางเจี้ยนเย่าคงคิดว่าตนเองนั้นกลับไปยืนที่ห้องโถงเดิมที่เข้ามาในตอนแรก

เขาคิดอยู่สองวินาทีก่อนจะเร่งฝีเท้า วิ่งก้าวกระโดด ตรงไปยังประตูหินบานใหม่เบื้องหน้า

จากนั้นก็เอี้ยวตัว มือหนึ่งล้วงกระเป๋า อีกมือหนึ่งวางทาบบนบานประตูหิน

เป็นอย่างที่เขาคาดเอาไว้ แสงเรืองสีขาวค่อยๆ สว่างขึ้นจากร่องหลุมทั้งสามบนประตูหินสีควันบุหรี่ทีละร่อง ควบตัวรวมกันคล้ายเป็นดวงดาวมายา

ตัวอักษรจำนวนมากมายสุดคณานับภายใน ‘ดวงดาว’ พลิกวูบวาบไปมา จากนั้นไม่นานก็ค่อยๆ หยุดนิ่งจนกลายเป็นคำที่ชัดเจน

‘ตัวตลกชักจูง’ ‘คนไร้เหตุผล’ ‘พันธนาการมือ’

ทั้งสามคำนั้น แสงของคำว่า ‘ตัวตลกชักจูง’ สว่างกว่าอีกสองคำที่เหลือมากนัก

น่าเสียดายที่ครั้งนี้ประตูหินสีขาวหม่นเพียงแค่สั่นไหวเล็กน้อย ไม่ได้เคลื่อนเปิดออก

ซางเจี้ยนเย่าใช้มือเดียวผลักประตูเบาๆ ก่อนที่จะค่อยๆ ใช้สองมือออกแรงผลัก และเอนตัวเพื่อใช้น้ำหนักตัวช่วย ราวกับโถมแรงจากทั่วทั้งร่างใส่บานประตูหินอย่างสุดกำลัง

ทว่าบานประตูหินหนักอึ้งนั้นก็ยังไม่ขยับแม้แต่น้อย ช่องว่างระหว่างบานประตูไม่ได้ถ่างออกแม้แต่นิดเดียว

ซางเจี้ยนเย่าชักมือกลับมายืนตัวตรง มองไปยัง ‘ตัวตลกชักจูง’ ที่สว่างเรืองรองกว่า ‘คนไร้เหตุผล’ และ ‘พันธนาการมือ’ ที่สว่างเรืองแบบสลัวๆ แล้วพยักหน้าอย่างครุ่นคิด

เมื่อแสงสีขาวเรืองของหลุมร่องทั้งสามค่อยๆ สลัวลงและจางหายไป ร่างของซางเจี้ยนเย่าก็เริ่มพร่าเลือน

เขาจมลงสู่ห้วงนิทรา

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด ซางเจี้ยนเย่าก็รู้สึกว่าร่างกายสั่นราวกับถูกเขย่า

เขาลืมตาขึ้นตามสัญชาตญาณ มองเห็นคิ้วดกดำเป็นแนวตรงและดวงตาที่สดใสมีชีวิตชีวาของเจี่ยงไป๋เหมียน

“เกิดอะไรขึ้น” เจี่ยงไป๋เหมียนถอนใจโล่งอกเมื่อเห็นว่าในที่สุดซางเจี้ยนเย่าก็ลืมตาตื่นขึ้นมาเสียที

ซางเจี้ยนเย่าขบคิดอย่างจริงจังก่อนจะตอบกลับ

“หลับสบายสุดๆ”

คิ้วเจี่ยงไป๋เหมียนกระตุกเล็กน้อยราวกับว่าเธอต้องพยายามควบคุมตัวเองอย่างยิ่งยวดเพื่อข่มใจไว้ ส่วนหลงเยว่หงที่นั่งอยู่เบาะซ้ายด้านหลังพ่นเสียง “พรืด” ออกมาหนึ่งคำ

ไป๋เฉินที่กำลังขับรถอยู่ เกิดอาการเท้ากระตุกเหยียบคันเร่ง ทำให้รถจี๊ปจู่ๆ ก็พุ่งพรวดพราดเกือบหลุดออกจาก ‘ถนนหลัก’ ที่ไม่มีสิ่งกีดขวางมากนัก

“ฟู่…” ผ่านไปสองสามวินาที เจี่ยงไป๋เหมียนค่อยๆ ผ่อนลมหายใจ “ดูเหมือนว่าพวกเราจะหลุดออกมานอกบริเวณที่เกิดความผิดปกติได้แล้ว ไป๋เฉิน มองหาดูจุดลับตาแถวๆ นี้ จะได้จอดรถกันก่อน”

จากนั้นเธอก็หันกลับไปมองซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงที่เบาะหลัง

“เราจะตั้งค่ายที่นี่สักสองสามวัน หลงเยว่หง ไป๋เฉิน พอกินมื้อเที่ยงเสร็จแล้วพวกนายนอนพักกันก่อน ซางเจี้ยนเย่ากับฉันจะอยู่ยามและลาดตระเวณให้ก่อน

“ก่อนที่กองกำลังจากบริษัทจะส่งสัญญาณมา พวกเราจะฝึกการเอาตัวรอดในแดนร้างกัน”

“ทราบแล้ว หัวหน้า” ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงไม่ได้คัดค้าน

* * * * *

วันต่อมา ในค่ายของทีมสำรวจเก่า

หลงเยว่หงที่เพิ่งกินมื้อเที่ยงเสร็จ ก็ล้วงผลไม้ลูกขนาดเท่าเม็ดลำไยที่หุ้มด้วยเปลือกแข็งสีเทาอมเขียวออกมาจากกระเป๋า

เขาใช้ฟันกัดเพื่อให้เปลือกแตกออก มองเห็นเนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำอวบอ้วนสีขาวอยู่ภายใน

หลงเยว่หงดูดน้ำที่ไหลเยิ้มออกมา จากนั้นก็ค่อยดูดเนื้อออกมาเคี้ยว

“อร่อยชะมัด…” เมื่อกลืนลงไปแล้วเขาก็อุทานชื่นชมจากใจจริง

หลังจากที่ผ่านการฝึกฝนมาหนึ่งวัน สิ่งที่เป็นผลประโยชน์ต่อเขามากที่สุดก็คือการได้รู้จักอาหารชนิดนี้ ที่เรียกว่า ‘ผลไม้สด’

ผลนี้มาจากไม้พุ่มชนิดหนึ่งที่ใบแข็งทนแล้ง งอกขึ้นทั่วไปในหลายพื้นที่ ใช้เวลาปลูกช่วงสั้นๆ ก็โตแล้ว ผลเก็บไว้ได้นาน ไม่มีสารพิษ ปัญหาเดียวก็คือมันออกผลน้อยมาก หนึ่งพุ่มมีเพียงแค่ไม่กี่ผลเท่านั้น ไม่สามารถใช้เป็นอาหารหลักได้ จึงไม่มีใครคิดจะเก็บอย่างจริงจัง

ไป๋เฉินเล่าว่าผลไม้นี้คือความทรงจำในวัยเด็กที่ตราตรึงฝังใจมากที่สุดของคนเร่ร่อนแดนร้างจำนวนมาก

ซางเจี้ยนเย่าเองก็มีผลไม้สดนี้อยู่ในมือเช่นกัน เขากำลังยัดเนื้อชุ่มฉ่ำสีขาวชิ้นสุดท้ายเข้าไปในปาก

เนื้อของผลไม้ป่านี้ไม่ได้นุ่มและแน่นอย่างที่เขาคิดไว้แต่แรก แต่คล้ายผลแอปเปิลนิดหน่อย มีเนื้อสัมผัสที่กรุบกรอบ

รสชาติออกเปรี้ยวเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เปรี้ยวจนบดบังความหวาน ทำให้กินแล้วรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า

หลังจากที่เคี้ยวและกลืนเมล็ดบางๆ ที่อยู่ในเนื้อผลไม้ลงไปแล้ว ซางเจี้ยนเย่าก็ปัดมือแล้วยืนขึ้น

ขณะที่เจี่ยงไป๋เหมียนกำลังจะประกาศว่าได้เวลาเริ่มฝึกภาคบ่าย ก็พลันเห็นดอกไม้ไฟสามลูกปะทุขึ้นบนท้องฟ้าทางทิศเหนือ หนึ่งเหลือง หนึ่งเขียว หนึ่งน้ำเงิน

“พลุสัญญาณของบริษัท…” เธอขมวดคิ้วและพึมพำเสียงดัง “นี่มันเร็วเกินไปหน่อยล่ะมั้ง”

“มีคนปลอมสัญญาณหรือเปล่า” ไป๋เฉินนึกถึงความเป็นไปได้อย่างอื่น

เจี่ยงไป๋เหมียนมองสังเกตอย่างถี่ถ้วนแล้วสั่นศีรษะ

“นี่เป็นพลุสัญญาณแบบพิเศษที่ผลิตโดยบริษัท คนนอกไม่มีทางปลอมได้ และลำดับสีก็ถูกต้องด้วย

“อาจเป็นไปได้ว่ามีทีมของแผนกความมั่นคงกำลังฝึกภาคสนามอยู่ไม่ไกลนักก็เลยตรงดิ่งมานี่ หรือไม่ก็ทางบริษัทรู้ถึงสถานการณ์ผิดปกติทางเหนือของสถานีเยว่หลู่ตั้งแต่คืนแรกที่พวกเราได้ยินเสียงหอนแล้ว”

พอซางเจี้ยนเย่าได้ยินก็ยิ้มออกมา

“ไม่งั้นก็ส่งหลงเยว่หงออกไปยืนยันสถานการณ์ก่อนไหม”

“ไหงถึงเป็นฉันล่ะ” หลงเยว่หงถามด้วยความงงงัน

“ก็คนที่ฉันสั่งได้ มีแค่นายคนเดียวนี่นา” ซางเจี้ยนเย่าพูดอย่างสุขุมใจเย็น

หลงเยว่หงเหลือบมองเขาด้วยหางตาอย่างเหยียดหยัน

เจี่ยงไป๋เหมียนเห็นเช่นนั้นจึงพูดพลางยิ้ม

“ที่ซางเจี้ยนเย่าว่ามาก็มีเหตุผลนะ”

หลงเยว่หงฟังแล้วถึงกับหน้าซีดลงเล็กน้อย

เจี่ยงไป๋เหมียนพูดต่อ

“เราจะกลับไปเมืองหนูดำกันก่อน พอไปถึงใกล้ๆ แถวนั้นก็ค่อยสวมชุดเกราะกระดูกเสริมแรงออกไปดูลาดเลา”

เมื่อได้ยินว่าให้สวมชุดเกราะกระดูกเสริมแรงออกไปสอดแนม หลงเยว่หงก็สงบสติอารมณ์ลงได้ในทันที

เขายกมือขึ้นมาตบหน้าผากตัวเองแล้วพูดพึมพำ

“ทำไมลืมเรื่องนี้ไปได้นะ…”

เจี่ยงไป๋เหมียนเงี่ยหูฟัง ถึงแม้ว่าเธอจะได้ยินที่หลงเยว่หงพูดไม่ชัดเท่าไหร่ แต่ก็พอจะเดาได้ว่าเขาพูดอะไร

เธอยิ้มแล้วพูดต่อ

“นายคิดว่าตัวเองมีคุณสมบัติพอจะออกไปทำภารกิจสอดแนมรึไง

“ถามจริงเหอะ นายรู้จักเจ้าหน้าที่แผนกความมั่นคงซักกี่คนเชียว หือ

“พอไปถึงที่นู่นแล้ว หากจะต้องออกไปดูลาดเลา คนที่ทำหน้าที่นั้นยังไงก็ต้องเป็นฉันอยู่ดีนั่นแหละ”

พอพูดจบ เจี่ยงไป๋เหมียนก็สาวเท้าเดินก้าวยาวตรงไปยังรถจี๊ป ทิ้งท้ายเอาไว้เพียงประโยคที่บอกว่า

“พวกนายเก็บข้าวของได้แล้ว”

* * * * *

เมื่อตอนที่ ‘ทีมสำรวจเก่า’ กลับมายังเนินเขาใกล้ที่ตั้งของเมืองหนูดำก็เกือบจะค่ำแล้ว

หลังจากเจี่ยงไป๋เหมียนสวมชุดเกราะกระดูกเสริมแรงออกไปดูลาดเลา ก็สามารถยืนยันได้ว่ากลุ่มคนที่ยิงพลุสัญญาณนั้นเป็นเจ้าหน้าที่จาก ‘ผานกู่ชีวภาพ’ จริงๆ

เมื่อถอดชุดเกราะกระดูกเสริมแรงออก ไป๋เฉินก็ขับรถพาเจี่ยงไป๋เหมียน ซางเจี้ยนเย่า หลงเยว่หง ไปยังเชิงเขา

ที่นั่นมีพนักงานจาก ‘ผานกู่ชีวภาพ’ สิบกว่าคนสวมเครื่องแบบสีเทาแก่ พกปืนไรเฟิลจู่โจมมาตรฐาน ‘นักรบคลั่ง’ แยกย้ายกันยืนปิดกั้นทางเข้าออกทุกเส้นทาง

เมื่อไป๋เฉินได้รับสัญญาณมือก็หยุดรถจี๊ปลง จากนั้นเจี่ยงไป๋เหมียนก็เปิดประตูลงจากรถเดินเข้าไปเป็นคนแรก

ระหว่างที่เดินเธอก็หยิบแผ่นป้ายชื่อสี่เหลี่ยมสีแดงที่มีตัวอักษรสีทองขึ้นมาติดไว้ที่หน้าอก

บนป้ายชื่อนั้นมีคำว่า ‘ผานกู่ชีวภาพ’ สี่ตัวอักษรส่องประกายสะท้อนแสงอาทิตย์อัสดง

เจ้าหน้าที่ติดอาวุธสองนายที่มีป้ายชื่อติดหน้าอกเช่นเดียวกันก็เดินตรงเข้ามาต้อนรับ หนึ่งในนั้นถืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบพกพาที่มีหน้าจอมาด้วย ส่วนอีกคนหนึ่งถามขึ้นมา

“หมายเลขบัตรอิเล็กทรอนิกส์”

“02310162155” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบตัวเลขออกมาเป็นชุดอย่างคุ้นเคย

เจ้าหน้าที่แผนกความมั่นคงที่ถืออุปกรณ์พกพาป้อนหมายเลขนี้ลงไปเพื่อเรียกดูข้อมูลของเจี่ยงไป๋เหมียน

เขาเปรียบเทียบภาพถ่ายและลักษณะจำเพาะก่อนจะยกมือขึ้นมาทำความเคารพ

“สวัสดีครับ หัวหน้าทีมเจี่ยง”

หลังจากที่ซางเจี้ยนเย่า หลงเยว่หง และไป๋เฉิน ยืนยันตัวตนด้วยหมายเลขบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของพนักงานแล้ว เจ้าหน้าที่แผนกความมั่นคงทั้งคู่ก็เปิดทางให้

“พวกคุณเป็นทีมจากหน่วยไหน ทำไมมาถึงกันเร็วนักล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนถามอย่างเป็นกันเอง

เจ้าหน้าที่แผนกความมั่นคงคนที่เพิ่งสอบถามหมายเลขบัตรอิเล็กทรอนิกส์ตอบว่า

“พวกเรากำลังเคลื่อนพลเพราะได้ยินข่าวเกี่ยวกับเหตุผิดปกติทางเหนือของสถานีเยว่หลู่ ระหว่างทางก็เห็นพลุสัญญาณฉุกเฉินที่คุณยิง”

เจ้าหน้าที่คนที่ถืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบพกพาพูดเสริม

“พวกเราคือหน่วยที่ 23”

เจี่ยงไป๋เหมียนได้ยินคำตอบเช่นนี้ก็ไม่ได้แปลกใจ กลับรู้สึกวางใจขึ้นอีกไม่น้อย แล้วถามต่อ

“แล้วพวกคุณมากันกี่ทีมเหรอ”

“ส่งออกมาหมดทั้งหน่วยเลยครับ ขับรถหุ้มเกราะกันมา” เจ้าหน้าที่แผนกความมั่นคงตรงหน้าเธอตอบออกมาอย่างไม่ปิดบังอำพราง

“ไม่เลว” เจี่ยงไป๋เหมียนมียิ้มจางๆ ปรากฏบนใบหน้า

‘แผนกความมั่นคง’ ของ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ นั้น มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับปฏิบัติการภายนอกบริษัท และมี ‘ทีมรบ’ เป็นหน่วยพื้นฐาน

ทีมรบแต่ละทีมนั้นมีสมาชิกราว 20-30 คน มีหัวหน้าทีมหนึ่งคน (ระดับ D7) และรองหัวหน้าอีกหนึ่งคน (ตั้งแต่ระดับ D4 ถึง D6 จะเป็นระดับใดก็ได้ทั้งนั้น)

เพื่อให้สะดวกต่อการสั่งการ ทีมรบแต่ละทีมจะถูกแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อยลงไปอีก ซึ่งจะมี 3-4 กลุ่มย่อย แต่ละกลุ่มจะมีหัวหน้ากลุ่ม (ระดับ D4 หรือ D5)

และเช่นเดียวกัน ทีมรบ 3 ทีม รวมเข้าเป็น 1 หน่วยปฏิบัติการ เมื่อเสริมเจ้าหน้าที่เพิ่มเข้าไปในหน่วยแล้ว หน่วยปฏิบัติการแต่ละหน่วยก็จะมีเจ้าหน้าที่ราว 100 นาย โดยปกติหัวหน้าหน่วยจะเป็นระดับ D8

ระดับที่สูงขึ้นไปกว่านั้นก็คือกองพัน ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ 400-500 นาย นี่นับเป็นกองกำลังที่ใหญ่ที่สุดของแผนกความมั่นคงแล้ว หัวหน้ากองคือระดับ D9

หากเกิดสงครามขนาดใหญ่ขึ้น กองพันจำนวนสองถึงสามกองพันจะรวมตัวกันเป็นกองพลย่อยเฉพาะกิจ และสั่งการโดยผู้บัญชาการกองพลย่อยตามแต่ละภาคส่วน (ระดับผู้จัดการ M1) ซึ่งไม่ว่าจะเป็นทีมการ์ดส่วนตัวของหัวหน้าใหญ่ กองพลย่อยที่อยู่ภายใต้คณะบริหารโดยตรง หรือภาคกำลังพลที่คุ้มกันโครงการสำคัญ ล้วนถือว่าเป็นกรณียกเว้นโดยถาวรที่จะไม่ถูกนับรวมเข้ามาด้วย ดังนั้นจำนวนคนจึงน้อยกว่ากองพลจริงที่มีอยู่

หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ‘หน่วยปฏิบัติการ’ นั้นคือแกนกลางของแผนกความมั่นคงนั่นเอง

“แล้วหัวหน้าหน่วยของคุณล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนถาม

“อยู่ในเมืองหนูดำครับ” เจ้าหน้าที่ที่ถืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ตอบออกมาตามตรง

เจี่ยงไป๋เหมียนพยักหน้า

“พาเราไปพบหน่อย มีเรื่องสำคัญต้องแจ้ง”

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท