รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 65 ค้นสำรวจห้อง

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 65 ค้นสำรวจห้อง

หลังจากได้ยินคำพูดของเฉียวชู เจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่าก็พูดขึ้นมาพร้อมกัน

“ฉัน/ผม …”

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีอะไรจะพูด ต่างฝ่ายต่างก็เงียบลงทันที บรรยากาศกลายเป็นความเงียบแปลกๆ

จากนั้นสองสามวินาที เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้มแล้วพูดขึ้น

“นายพูดก่อนละกัน”

ซางเจี้ยนเย่าพยักหน้าอย่างจริงจัง

“ผมอยากไปห้องน้ำ”

“…ไม่รู้จักคิดเรื่องอื่นบ้างหรือไงเนี่ย” เจี่ยงไป๋เหมียนเกือบจะพูดไม่ออก

ซางเจี้ยนเย่าตอบโดยไม่ต้องคิด

“ระหว่างนั้นก็จะไปตระเวนดูห้องอื่นๆ ด้วย”

“ไปตระเวนดู… บอกว่าลาดตระเวนไม่ดีกว่าหรือไง” เจี่ยงไป๋เหมียนถามตามความเคยชิน

จากนั้นก็พยักหน้าอย่างพอใจ

“ไปเถอะ”

ทันทีที่พูดเสร็จเธอก็หันหน้าไปมองหลงเยว่หง

“การพักในห้องที่ปิดมิดชิดแบบนี้ อย่าลืมเช็คให้แน่ใจด้วยว่าภายในห้องไม่มีอะไรผิดปกติ

“ถึงจะบอกว่าให้จัดเวรเฝ้ายามก็เถอะ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นการแก้ปัญหาเสียทีเดียว เพราะว่าสภาพแวดล้อมมันทั้งเล็กทั้งแคบ แถมยังมีสิ่งกีดขวางเต็มไปหมด จะหนีก็ไม่สะดวก จะสู้ก็เกะกะ ถึงแม้ว่าจะพบเหตุผิดปกติได้ทันเวลา แต่ก็ยังค่อนข้างลำบากอยู่ดี”

พูดถึงตรงนี้เจี่ยงไป๋เหมียนก็มองดูเฉียวชูโดยไม่รู้ตัว รู้สึกแปลกใจที่เขาค่อนข้างละเลยเรื่องการระแวดระวัง

เจ้าหน้าที่พิเศษจากสถาบันวิจัยที่แปดคนนี้ออกจะมั่นใจในตัวเองเกินไปแล้ว ไม่กลัวว่าเกิดอะไรขึ้นหรือไง หรือว่าเขาไม่ค่อยมีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้กันนะ

เฉียวชูปลดปืนไรเฟิลสีเงินที่สะพายหลังออกมาโดยไม่ได้มองเธอ เขามองดูเก้าอี้สีน้ำตาลอ่อนที่วางอยู่ด้านหน้า เลือกเอาตัวที่ยังมีสภาพดีอยู่แล้วลากออกมา

จากนั้นก็ลากเก้าอี้เดินไปที่โต๊ะวางถ้วยชาเก่าๆ แล้วหยิบกระดาษทิชชูห่อสีดำสนิทออกมาสองสามแผ่น เอามาเช็ดเก้าอี้ที่ฝุ่นเกาะหนา

เมื่อหลงเยว่หงเห็นเช่นนี้ก็ตัดสินใจไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะตามซางเจี้ยนเย่าออกไปดี หรือว่าจะช่วยเฉียวชูทำความสะอาดเก้าอี้ดี

“ไม่ต้องคิดมาก นั่งลงเถอะ” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้สร้างความลำบากใจให้กับเขา

เมื่อหลงเยว่หงได้ยินก็นั่งลงตามปฏิกิริยาตอบสนองทันที แต่ทว่าโซฟาสีเทาซึ่งดูไม่ออกว่าสีเดิมเป็นอะไร ตัวที่เขานั่งลงไปนั้นก็ยุบตัวลงแล้วก็ฉีกขาดออกจากกัน

นี่ทำให้หลงเยว่หงไม่อาจนั่งทรงตัวอยู่ได้ เขาเกือบจะตกจากโซฟา

เจี่ยงไป๋เหมียนละสายตามามองผู้ใต้บังคับบัญชาที่สภาพมอมแมมน่าเวทนา พร้อมกับพูดกลั้วเสียงหัวเราะเบาๆ

“ระวังหน่อยนะ พวกนี้เป็นของเก่าทั้งนั้น ถ้าไม่ใช่ 70-80 ปีก็นานกว่านั้นอีก

“แล้วก็ไม่รู้ว่ามีพวกแบคทีเรียกับไวรัสอยู่ในฝุ่นมากน้อยแค่ไหน ถึงแม้ว่านายจะได้รับการปรับปรุงพันธุกรรมมาแล้วและมีภูมิคุ้มกันโรค แต่ระวังไว้ก่อนดีกว่า”

“ทราบแล้ว หัวหน้า!” หลงเยว่หงยืนขึ้นตอบด้วยเสียงดังเหมือนที่เคยทำมาก่อนหน้า

“หัวหน้า…” เฉียวชูพูดทวนเบาๆ ด้วยสายตาเฉยเมย ไม่ได้ใส่ใจอะไร

เขาทำความสะอาดเก้าอี้จนเสร็จแล้วนั่งลงไป

หลงเยว่หงกับไป๋เฉินเริ่มทำความสะอาดโซฟา เก้าอี้ โต๊ะวางถ้วยชา ส่วนซางเจี้ยนเย่านั้นกลับไปที่ทางแยกระหว่างห้องนั่งเล่นกับห้องอาหาร แล้วเดินตรงไปที่ทางเดินสั้นๆ ที่อยู่ลึกเข้าไปในห้อง

ในเวลานี้ฟ้ามืดแล้ว ภายในห้องมีแต่ความมืดมิด

พื้นที่ห้องนั่งเล่นนั้นนับว่าดีทีเดียว หน้าต่างสูงก็บานใหญ่มาก ต่อให้ข้างนอกไม่มีแสงจันทร์ แต่แสงดาวก็ยังพอจะส่องเข้ามาได้เล็กน้อย ทำให้เจี่ยงไป๋เหมียน หลงเยว่หง และคนอื่นๆ ยังพอจะมองเห็นหน้ากันและกันได้ลางๆ ดังนั้นเมื่อซางเจี้ยนเย่ามาถึงทางเดินจึงยังพอแยกแยะโครงร่างของสิ่งต่างๆ ได้คร่าวๆ

ซางเจี้ยนเย่ารูดซิปเปิดกระเป๋าเป้ลายพราง ล้วงเอาไฟฉายสีเงินที่พื้นผิวเป็นเม็ดสาคูละเอียดออกมา

เขาไม่ได้ห้อยไฟฉายที่เข็มขัดตลอดเวลา บางครั้งก็จะเก็บเอาไว้ในกระเป๋าเป้มาตรฐานของแผนกความมั่นคง

ลำแสงสีส้มจากไฟฉายช่วยให้ซางเจี้ยนเย่ามองเห็นสิ่งต่างๆ เบื้องหน้าได้ชัดเจนขึ้น

สองฝั่งทางเดินเป็นบานประตูไม้สีน้ำตาลอมแดง แต่บานประตูของทั้งสองด้านทางเดินนั้นไม่ได้สมมาตรกัน ลักษณะประตูก็แตกต่างกันด้วย บานประตูทางซ้ายอยู่ใกล้ทางเข้ามากกว่า ด้านบนเป็นกระจกหนาทึบทำให้มองเห็นภายในไม่ชัด บานประตูด้านขวาอยู่เกือบสุดทางเดิน ที่จับเป็นสีทองเหลืองที่ขึ้นสนิมสีเขียวอยู่ประปราย

ผนังด้านในสุดทางซ้ายมือมีบานประตูไม้สีน้ำตาลอมแดงอีกหนึ่งบาน

ซางเจี้ยนเย่าเดินไปที่ประตูด้านซ้ายของทางเดินก่อนเพราะว่ามันอยู่ใกล้สุด

ระหว่างนี้ก็ชักปืนพก ‘มอสน้ำแข็ง’ ออกมาเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน

ซางเจี้ยนเย่าบิดลูกบิดประตูด้วยมือข้างที่ถือไฟฉาย เมื่อผลักประตูเปิดแล้วเขาก็ไม่ได้รีบเข้าไป แต่ฉายไฟส่องเข้าไปดูก่อนชั่วครู่

เขามองเห็นว่าข้างในห้องมีอ่างล้างมือ มีสิ่งของที่น่าจะเป็นโถส้วมที่สอนไว้ในหนังสือเรียน มีประตูกระจกที่เหมือนจะเลื่อนได้ และพื้นที่ที่กั้นแบ่งส่วนซึ่งมีหัวฝักบัวอยู่

“ห้องน้ำ” ซางเจี้ยนเย่าพูดพึมพำก่อนจะเดินเข้าไปข้างใน

จากตำแหน่งนี้เขาสามารถมองเห็นทุกซอกทุกมุมได้อย่างชัดเจน บางทีก็กระโดดขึ้นไปมองดูช่องระบายอากาศด้านบน บางทีก็ก้มลงไปสำรวจพื้นที่แคบๆ ระหว่างโถส้วมกับอ่างล้างมือราวกับคิดว่าอาจจะมีคนแอบซ่อนอยู่

สุดท้ายก็เจอแค่ตะไคร่น้ำกับมดไม่กี่ตัวในมุมมืด แต่ก็ไม่ได้มากมายอะไร

สำรวจตรวจตราเสร็จก็เดินไปที่โถชักโครกแล้วเปิดฝาขึ้น

ข้างในไม่มีน้ำแล้ว

ซางเจี้ยนเย่าลองกดปุ่มต่างๆ ของโถส้วมโดยการอนุมานอย่างวิทยาศาสตร์ แล้วก็พบว่าทุกปุ่มล้วนแต่ไม่ทำงานเช่นกัน

เขายืดตัวขึ้น ทำจมูกฟุดฟิดสูดหายใจลึกสองสามเฮือก

“ไม่มีกลิ่นอะไรแล้ว…” ไม่กี่วินาทีถัดมาเขาก็ได้ข้อสรุป ดูจากสีหน้าของเขาแล้ว ไม่รู้ว่ากำลังโล่งใจหรือเสียใจกันแน่

จากนั้นก็ลองทดสอบหัวฝักบัว และยืนยันได้ว่าไม่มีน้ำไหลออกมา

เมื่อตรวจสอบทุกอย่างเสร็จ ซางเจี้ยนเย่าก็ตกอยู่ในห้วงความคิดโดยไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

ชั่วครู่ถัดมาก็เหน็บปืนพก ‘มอสน้ำแข็ง’ ใส่กลับคืนที่เข็มขัด แล้วเอื้อมมือไปดึงตะแกรงโลหะในอ่างล้างมือออกมา

มันเป็นสนิมมากเสียจนซางเจี้ยนเย่าเกือบจะทำมันหัก

พอเอาตะแกรงวางไว้ด้านข้างแล้ว เขาก็ใช้มือหนึ่งยันตัวกระโดดขึ้นไปยืนบนอ่างล้างมือ เมื่อยืนได้อย่างมั่นคงก็แยกเท้าออกด้านข้างเพื่อทรงตัวให้สมดุล

จากนั้นก็ใช้คางหนีบไฟฉายไว้ ปลดกางเกงลงแล้วเล็งไปยังรูระบายน้ำในอ่าง

หลังจากแก้ปัญหาทางสรีระเสร็จ ได้ปลดปล่อยออกไปจนโล่งแล้ว ซางเจี้ยนเย่าก็กระโดดลงมา ใส่ตะแกรงโลหะกลับคืนที่เดิม

ในห้องนั่งเล่นด้านนอก เฉียวชูขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว และยกมือขึ้นมาบีบจมูก ส่วนหลงเยว่หงกับไป๋เฉินต่างก็มีสีหน้าพิกล

เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวนี้ เธอกำลังตั้งอกตั้งใจแบ่งสรรปันส่วนบิสกิตอัดแข็ง ธัญพืชอัดแท่ง และอาหารอื่นอยู่

ซางเจี้ยนเย่าออกจากห้องน้ำแล้วปิดประตูอย่างมีมารยาท จากนั้นก็เดินไปที่สุดทางเดินโดยมือหนึ่งถือปืน ส่วนอีกมือหนึ่งถือไฟฉาย

ในเวลานี้ ด้านขวามือของเขามีบานประตู ด้านซ้ายมือเยื้องไปข้างหน้าก็มีบานประตู

เขาใช้มือที่ถือปืนพกกับไฟฉายชี้มือชี้ไม้ไปมา สุดท้ายก็ตัดสินใจเลือกประตูด้านซ้ายมือ

ขณะที่เปิดประตูก็ระมัดระวังตัวไม่แพ้กัน

สิ่งที่สะดุดตาที่สุดในห้องก็คือเตียงที่มีขนาดค่อนข้างกว้าง ปูด้วยผ้าปูที่นอนสกปรกสีเขียวอ่อน หมอนสองใบที่มีปลอกหมอนสีเดียวกัน

มีตู้เตี้ยๆ อยู่ทางด้านขวาของเตียง ด้านขวาของตู้เตี้ยก็คือแถวของตู้ที่สูงชนเพดาน ตู้มีสีขาวนวล สภาพชำรุดทรุดโทรม

ด้านซ้ายของเตียงเป็นโต๊ะที่มีหน้าจอ LCD ขนาดใหญ่วางอยู่พร้อมกับกล่องโลหะสีดำ

ใกล้กับจอ LCD มีของที่ซางเจี้ยนเย่าจำได้ว่าเป็นเมาส์กับแป้นพิมพ์ แล้วก็วัตถุสีน้ำเงินเข้มที่มีลวดลายเป็นรวงผึ้ง

ทางด้านซ้ายของโต๊ะที่ห่างออกไปเป็นผนังและหน้าต่างที่มีขอบด้านล่างหนามาก ใต้หน้าต่างมีพรมสีน้ำตาลที่มีรูขาดกะรุ่งกะริ่ง คงเพราะถูกหนูกัดขาด มีโต๊ะไม้เล็กๆ ตั้งอยู่บนพรม

ซางเจี้ยนเย่าถือไฟฉาย เดินบนทางเดินระหว่างปลายเตียงกับผนังไปยังบานหน้าต่างที่มีขอบล่างหนา

เขาก้มตัวลงไปค้นหาอยู่สักพัก สุดท้ายก็พึมพำออกมาด้วยความเศร้าใจ

“ไม่มีขี้หนู…”

ประโยคนี้ดังก้องสะท้อนเบาๆ ภายในห้องที่ว่างเปล่า คล้ายกับนำพาความสงสัยล่องลอยไปด้วย

จากนั้นซางเจี้ยนเย่าก็เดินไปยังโต๊ะที่มีจอ LCD วางอยู่ หยิบข้าวของขึ้นมาด้วยมือข้างที่ถือปืน

ในฐานะที่สำเร็จการศึกษาจากภาควิชาอิเล็กทรอนิกส์จาก ‘ผานกู่ชีวภาพ’ จึงไม่ใช่เรื่องยากที่เขาจะจำคอมพิวเตอร์ที่อยู่เบื้องหน้าได้

เขาพยายามเอี้ยวคอกลับไปมองดูเป้ลายพรางที่สะพายไว้ด้านหลัง สุดท้ายก็ยอมถอดใจเรื่องที่จะยัดของชิ้นใหญ่ขนาดนี้ลงไป

ในที่สุดก็หยิบของที่มีพื้นผิวเหมือนรังผึ้งสีดำขึ้นมา

มันมีขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือเล็กน้อย

ด้วยความรู้และประสบการณ์ระดับมืออาชีพร่วมกับสิ่งที่เคยผ่านหูผ่านตามาจากตลาดขนาดเล็กใน ‘ศูนย์กิจกรรม’ จึงทำให้ซางเจี้ยนเย่าสามารถยืนยันได้ในทันทีว่ามันเป็นลำโพงพกพาขนาดเล็ก

ลำโพงพกพาที่สามารถเปิดเล่นเพลงได้ในตัว

เขาถอดสายที่เชื่อมต่อลำโพงออกอย่างรวดเร็ว แล้วดึงออกมาจากเครื่องคอมพิวเตอร์

หลังจากทำความสะอาดลำโพงสีน้ำเงินเข้มด้วยผ้าปูเตียงข้างตัวแล้ว ซางเจี้ยนเย่าก็ปลดเป้ลายพรางลงมาจากหลังแล้วยัดลำโพงใส่เข้าไป

เขาไม่แน่ใจว่าลำโพงยังใช้งานได้อยู่หรือไม่ และถึงแม้จะรู้สึกว่ามันไม่น่าจะใช้ได้แล้ว แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเพราะเขาซ่อมได้ ขอเพียงแค่หาชิ้นส่วนที่เหมาะสมมาได้ ก็จะเอาไปเปลี่ยนกับชิ้นส่วนที่เสียหายได้

เมื่อสะพายเป้ลายพรางไว้ที่หลังเสร็จเรียบร้อย ซางเจี้ยนเย่ามือหนึ่งถือปืน อีกมือถือไฟฉาย ตรวจสอบพื้นที่ทุกซอกทุกมุมและสำรวจข้าวของทุกชิ้นในห้อง

จากนั้นก็รีบอ้อมไปอีกด้าน ก้มลงไปมองใต้เตียง ก่อนจะดึงลิ้นชักโต๊ะข้างเตียงให้เปิดออกมา

ตู้เตี้ยตัวนี้มีสองลิ้นชัก อยู่ด้านบนและด้านล่าง ลิ้นชักแรกที่ซางเจี้ยนเย่าเปิดเป็นลิ้นชักชั้นบน มีข้าวของมากมายอยู่ข้างใน แต่ก็เต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นอับ

“บางเฉียบ… แอสไพริน… ลดไข้…” เขาหยิบขึ้นมาดูทีละชิ้นก่อนที่จะวางมันกลับลงไป

จากนั้นก็ดึงลิ้นชักข้างล่างเปิดออกมา แต่ข้างในว่างเปล่า ไม่มีอะไรอยู่

ซางเจี้ยนเย่าจ้องมองอยู่สองสามวินาทีก่อนจะละสายตากลับมา จากนั้นก็ยืดตัวขึ้นแล้วเดินไปยังสิ่งที่น่าจะเป็นตู้เสื้อผ้า

หลังจากเปิดประตูตู้เสื้อผ้าออกก็เห็นเสื้อแจ็คเก็ตสีดำ ชุดเดรสผ้าฝ้ายมัสลินสีขาว และเสื้อผ้าแบบอื่นๆ ที่เขาไม่รู้ว่าเรียกว่าอะไร

พวกมันถูกแขวนไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย นอกจากกลิ่นไม่พึงประสงค์เล็กน้อยก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรแตกต่างไปจากเดิม

ที่ซางเจี้ยนเย่ารู้จักชุดเดรสก็เพราะว่ามีผู้หญิงบางส่วนใน ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ชื่นชอบชุดเช่นนี้มาก

นี่เป็นหนึ่งในสิ่งของที่ใช้งานจริงไม่ได้ เนื่องจากพลังงานทั้งหมดที่ได้มาจากสภาพแวดล้อมล้วนถูกนำไปใช้ที่ ‘เขตนิเวศน์ภายใน’ โดยตรง เหลือไว้ให้ ‘เขตพักอาศัย’ ใช้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เสื้อแขนยาวกางเกงขายาวจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับป้องกันความหนาวเย็น และยังใส่ทำงานได้สะดวกอีกด้วย

มีเพียงแค่ผู้หญิงจำนวนน้อยที่มาจากครอบครัวที่มีฐานะสักหน่อย ถึงจะยอมใช้แต้มส่วนร่วมเพื่อแลกกับผ้า แล้วเอามาตัดเย็บชุดเดรสเอง โดยทำตามจากชุดที่พวกญาติของผู้บริหารบางคนสวมใส่

เสื้อผ้าพวกนี้เป็นหนึ่งในบรรดาของมีค่ามากที่สุดของพวกเธอ มีเพียงแค่ตอนไปชมการแสดงตอนสิ้นปี เข้าร่วมกิจกรรมกลุ่มบางอย่าง หรือไปเดินเล่นกับคนรักในบางพื้นที่เท่านั้น ถึงจะนำมาสวมใส่

ซางเจี้ยนเย่าเอื้อมมือออกไปสัมผัสชุดเดรสผ้าฝ้ายมัสลินสีขาวโดยไม่รู้ตัว

บางทีอาจเป็นเพราะว่าราวแขวนเสื้อผุมานานแล้ว หรืออาจจะเป็นเพราะว่ามันอยู่ในสภาพง่อนแง่นเต็มที เมื่อซางเจี้ยนเย่าไปสัมผัสโดน ราวแขวนจึงเลื่อนหลุดลงมา ทำให้เสื้อผ้าร่วงหล่นไปกองที่พื้นตู้

ซางเจี้ยนเย่าจ้องมองดูอย่างเงียบงันอยู่สองสามวินาทีก่อนจะชักมือที่ถือ ‘มอสน้ำแข็ง’ กลับมา

เขาตรวจดูลิ้นชักในตู้เสื้อผ้าต่อ แต่ก็ไม่พบว่ามีอะไรควรค่าน่าสนใจ

ไม่นานเขาก็ออกจากห้องนี้แล้วเข้าไปอีกห้องที่อยู่ด้านขวาของทางเดิน

ห้องนี้มีขนาดเล็กกว่าห้องก่อนหน้า มีเพียงเตียงนอนที่ขนาดไม่กว้างนัก ตู้เสื้อผ้าสีขาวนวลหนึ่งแถวและโต๊ะหนังสือที่มีโคมไฟตั้งอยู่

ผ้าปูเตียงเป็นสีน้ำเงิน มีลวดลายเป็นดวงดาวสีทองเล็กๆ หลายดวง ดูน่ารักกว่าของอีกห้องก่อนหน้านี้

แต่มันมีคราบเปรอะเปื้อนอยู่ไม่น้อย

ซางเจี้ยนเย่าค้นดูทุกซอกทุกมุม สุดท้ายก็โน้มตัวไปที่หมอน ฉายไฟส่องไปมา

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ซางเจี้ยนเย่าวางไฟฉายลงบนเตียงและปรับขยับตำแหน่งท่าทาง

เขายื่นมือออกไป ภายใต้แสงสว่างจากไฟฉาย ขอบหมอนมีผมเส้นยาวบิดเป็นเกลียวร่วงอยู่

เส้นผมสีขาว…

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท