รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 67 เมืองในยามค่ำคืน

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 67 เมืองในยามค่ำคืน

หลังจากจัดการเก็บอาหารที่ยังเหลืออยู่จนเสร็จแล้ว ทั้งห้าคนก็ออกจากห้อง 605 เดินลงบันไดไปยังชั้นล่างสุด

“จะขับรถไปไหม” เจี่ยงไป๋เหมียนมองรถจี๊ปที่จอดอยู่ด้านข้าง

หนังงูเหล็กบึงดำที่ถูกผูกไว้บนหลังคานั้นเด่นสะดุดตาจนไม่มีใครสังเกตแผงชาร์จพลังงานแสงอาทิตย์

“เสียงดังเกินไป” เฉียวชูส่ายหน้า

เจี่ยงไป๋เหมียนกำลังจะบอกว่านี่เป็นรถยนต์พลังไฟฟ้า ตราบใดที่ไม่เปิดเสียงเครื่องยนต์จำลองก็แทบจะไม่มีเสียงดังเลย แต่คิดไม่ถึงว่าเฉียวชูที่สวมชุดเกราะกระดูกเสริมแรงนั้นจู่ๆ ก็เริ่มออกวิ่งเหยาะออกไปทันที ทิ้งเพียงคำพูดไว้คำหนึ่ง

“ตามมา!”

เจี่ยงไป๋เหมียนจึงไม่ได้พูดอะไรออกไป ตัวเธอ ซางเจี้ยนเย่า หลงเยว่หง และไป๋เฉิน ถืออาวุธและวิ่งก้าวสั้นๆ ตามไปยังทางออกทันที

ในเวลานี้บนฟ้ามีเมฆมาก มองเห็นดวงดาวเพียงไม่กี่ดวง ดวงจันทร์ปรากฏโฉมเพียงบางส่วนเป็นครั้งคราว ฉายแสงเรืองรองรางๆ

ความมืดเป็นโทนสีหลักของภายในซากเมืองแห่งนี้

ภายใต้สภาพแวดล้อมอันเงียบสงัดไร้ซึ่งชีวิตใดๆ ซางเจี้ยนเย่าและคนอื่นๆ ต่างก็ไม่มีใครเปิดไฟฉาย พวกเขาวิ่งเหยาะๆ ผ่านถนนสายหลักเข้าไปยังถนนฝั่งตรงข้าม

ระหว่างนี้พวกเขารู้สึกราวกับกำลังถูกความมืดยามราตรีกลืนกินเข้าไป เงาตะคุ่มของรถที่ถูกทิ้งไว้กลางถนนและต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ข้างทาง ให้ความรู้สึกเหมือนกับว่ามีสัตว์ประหลาดกำลังซ่อนตัวอยู่ในความมืด

เมื่อเผชิญกับสภาพแวดล้อมดังกล่าว ‘ทีมสำรวจเก่า’ ก็กระจายตัวออกตามรูปขบวนที่ฝึกกันไว้ รักษาระยะห่างระหว่างตำแหน่งในระยะคงที่

ในหมู่พวกเขานั้น เจี่ยงไป๋เหมียนตามติดอยู่ด้านหลังเฉียวชู หลงเยว่หงอยู่ด้านขวา ไป๋เฉินไปทางซ้าย ซางเจี้ยนเย่าปิดท้ายขบวน

พวกเขารักษาความเร็วคงที่ไว้ตลอดทาง แม้ว่าจะวิ่งอยู่แต่ก็ไม่ได้ละเลยการสังเกตและระแวดระวังสภาพแวดล้อมรอบตัว

ขณะที่กำลังวิ่ง จู่ๆ ซางเจี้ยนเย่าก็เปลี่ยนทิศทาง รี่ตรงไปยังห้องที่เปิดโล่งซึ่งเยื้องไปทางซ้ายมือของถนนฝั่งตรงข้าม

เจี่ยงไป๋เหมียนและคนอื่นๆ ต่างก็มีปฏิกิริยาตอบสนองทันที พวกเขาต่างกลิ้งม้วนตัวกับพื้น แล้วแยกย้ายพุ่งไปยังรถที่จอดทิ้งไว้เพื่อใช้เป็นที่กำบัง

เฉียวชูก็หยุดฝีเท้า หันไปมองซางเจี้ยนเย่า

‘ระบบเตือนภัยรอบทิศ’ ของชุดเกราะกระดูกเสริมแรงบอกเขาว่ารอบข้างนั้นไม่มีอะไรผิดปกติ

แต่ว่าเขายังคงยกปืนไรเฟิลสีเงินที่มีรูปลักษณ์ที่ค่อนข้างแปลกขึ้นมาเผื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด

จากนั้นเขาก็ใช้ ‘ระบบเตือนภัยรอบทิศ’ เพื่อสำรวจตรวจตราจุดหมายของซางเจี้ยนเย่า

แม้ว่าจะเป็นค่ำคืนที่ค่อนข้างมืดสลัว แต่เฉียวชูมีอุปกรณ์เสริมช่วยเหลือ จึงทำให้เขาสามารถมองเห็นสภาพการณ์ทางด้านซ้ายของถนนจากระยะไกลได้

ที่นี่ก็เฉกเช่นเดียวกับถนนสายอื่น นั่นคือมีห้องแถวตั้งเรียงรายอยู่ชิดติดกันเป็นแถว ประตูของห้องฝั่งที่หันหน้าออกถนนนั้นถูกเปิดไว้เกือบทุกห้อง ภายในห้องดูทรุดโทรมเก่าคร่ำคร่า สิ่งเดียวที่แต่ละห้องเหมือนกันก็คือไม่พบสัญญาณของสิ่งมีชีวิตใดๆ ทั้งสิ้น

ป้ายร้านบ้างก็ร่วงหล่นอยู่บนพื้น แตกออกเป็นชิ้นๆ บ้างก็เป็นรอยดำด่างซีดจาง บ้างก็ตัวหนังสือพร่าเลือน ตัวหนังสือบางตัวหลุดหายไปเหลือเพียงแค่บางส่วน บ้างก็ห้อยเอียงเกือบจะร่วงลงมา

ส่วนห้องที่ซางเจี้ยนเย่าวิ่งเข้าไปนั้นยังมีป้ายแขวนไว้อยู่ เป็นป้ายสีน้ำเงิน มีตัวอักษรสีขาวซึ่งเหลือเพียงแค่คำว่า

“…ซ่อมบำรุง…”

ในตอนนี้ซางเจี้ยนเย่าหยิบไฟฉายออกมาส่องกวาดรอบๆ ห้องอันคับแคบแห่งนั้น

เขารีบเปิดตู้ต่างๆ อย่างรวดเร็ว เจอพวกอุปกรณ์กับเครื่องมือขนาดเล็ก รวมไปถึงชิ้นส่วนอะไหล่ต่างๆ สารพัดชนิดซึ่งมีทั้งใส่และไม่ใส่หีบห่อ เขารีบหยิบมายัดใส่ลงไปในกระเป๋าเป้ลายพราง

หลังจากที่สะพายเป้กลับคืนไว้บนหลังและห้อยไฟฉายที่เข็มขัดเรียบร้อยแล้ว ซางเจี้ยนเย่าก็ถือปืนไรเฟิลจู่โจม ‘นักรบคลั่ง’ วิ่งเหยาะๆ กลับไปที่ถนน

เมื่อเห็นเช่นนี้ เฉียวชูที่สวมหมวกเกราะก็วิ่งก้าวยาวๆ เข้าไปหา

จากประสบการณ์ที่ผ่านมา คนที่ ‘ติดตาม’ เขานั้นไม่เคยมีใครทำตามใจตัวเองมาก่อน นอกเสียจากว่าเขาจะแสดงเจตนาชัดเจนว่าจะโจมตีใส่ ไม่เช่นนั้นแล้วทุกคนจะปฏิบัติตามคำสั่งของเขาอย่างเคร่งครัด ถ้ามีข้อสงสัยหรือสับสนไม่เข้าใจก็จะถามและทำตามคำแนะนำจนถึงที่สุด

จนถึงขณะนี้ เจี่ยงไป๋เหมียน หลงเยว่หง และไป๋เฉิน ต่างก็แสดงออกอย่าง ‘ปกติ’ ตามที่ควรจะเป็น

เมื่อเขามาถึงเบื้องหน้าซางเจี้ยนเย่า เฉียวชูก็ถามด้วยน้ำเสียงทุ้ม

“ทำไมออกจากกลุ่มโดยพลการ”

ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน

“สมองกระตุกน่ะ”

“…” เฉียวชูหรี่ตา ร่างของซางเจี้ยนเย่าในแบบภาพกราฟิกก็ปรากฏในแว่นคริสตัลทันที และมีเป้าเล็งแสดงขึ้นมา

นี่คือ ‘ระบบเล็งเป้ารอบทิศ’ ที่จะเปิดใช้งานโดยอัตโนมัติเมื่อเขายกปืนไรเฟิลสีเงินขึ้นมา

หลังจากเงียบไปสองสามวินาที เฉียวชูก็ผ่อนหายใจช้าๆ แล้วค่อยๆ ลดปากกระบอกปืนลง

“เดินทางต่อได้แล้ว”

ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดเสียงดัง แต่เจี่ยงไป๋เหมียนและคนอื่นๆ ต่างกำลังสนใจสถานการณ์ตรงนี้อยู่จึงได้ยินอย่างชัดเจน พวกเขารีบออกจากจุดซ่อนตัวและกลับเข้าประจำตำแหน่งเดิม

คนทั้งห้าวิ่งตรงไปยังสามแยกโดยรักษารูปขบวนและท่วงท่าเดิมค้างเอาไว้

ในซากเมืองแห่งนี้ ลมในยามค่ำคืนค่อนข้างเย็น ทำให้หลงเยว่หงรู้สึกหนาวเย็นราวกับได้กลับไปยัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ในช่วงเวลาที่ดับไฟไปแล้ว

เมื่อหลงเยว่หงกำลังจะเลี้ยวซ้ายก็อดแหงนหน้ามองฟ้าไม่ได้

ตั้งแต่ขึ้นสู่พื้นโลก ความปรารถนาแรกของเขาคือการได้เห็นท้องฟ้าของจริง ความปรารถนาประการที่สองคือได้เห็นดวงอาทิตย์ที่ส่องสว่างทุกสรรพสิ่ง ความปรารถนาประการที่สามก็คือได้เห็นฟากฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวที่เคยเห็นในหนังสือเรียน

ความปรารถนาแรกและสองนั้นสมปรารถนาไปแล้ว มีเพียงความปรารถนาที่สามที่ยังคงต้องเลื่อนออกไปก่อน

สภาพอากาศในช่วงนี้ มันค่อนข้างผิดปกติมาพักใหญ่แล้ว ตอนกลางคืนนั้นมีหมู่เมฆบดบังอยู่ตลอดเวลา มีเพียงแค่บางเวลาเท่านั้นที่พอจะเห็นบางส่วนของดวงจันทร์และดวงดาวได้บ้าง แต่ก็เห็นดาวเพียงไม่กี่ดวงเท่านั้น นี่ไม่อาจนับได้ว่าเป็นท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว

ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะได้เห็นดาวเต็มท้องฟ้าจริงๆ สักที

หลงเยว่หงเพิ่งจะละสายตากลับมา ก็พลันเห็นว่าเฉียวชูกับเจี่ยงไป๋เหมียนยกมือขึ้นในเวลาเดียวกัน เล็งเป้าไปยังตำแหน่งเดียวกัน แล้วเหนี่ยวไกยิงออกไป

ข้อแตกต่างเพียงประการเดียวก็คือเจี่ยงไป๋เหมียนชักปืนพก ‘ยูไนเต็ด 202’ แทนที่จะเป็นเครื่องยิงระเบิด แล้วยิงออกไปก่อน

ปัง! เปรี้ยง!

สองเสียงที่แตกต่างกันเล็กน้อยดังขึ้นติดต่อกัน

แสงสายฟ้าสีเงินยวงสว่างวาบตรงไปยังต้นไม้ริมทาง ที่อยู่กลางถนนฝั่งขวา ร่างหนึ่งในชุดที่ขาดรุ่งริ่งเผยเนื้อหนังบางส่วน ร่วงหล่นลงมากระแทกกับหลังคารถที่จอดทิ้งไว้

เลือดเขาไหลกระฉูด เจิ่งนองอย่างรวดเร็ว

ปืนลูกซองแบบหยาบในมือหลุดร่วงหล่นลงบนถนน

“‘คนไร้ใจ’ น่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนถือปืนยิงระเบิดในมือซ้ายเอาไว้แน่น

ทัศนวิสัยยามค่ำคืนของเธอนั้นดีกว่าคนทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด

ไป๋เฉินถามออกไปโดยอัตโนมัติ

“จะเก็บปืนนั่นไปด้วยไหม”

“ถึงเอามาก็ไม่ได้ใช้หรอก ปืนนั่นน่าจะเป็นปืนทำมือที่ทำโดยนิคมคนเร่ร่อนในแดนร้าง ไม่จำเป็นสำหรับเรา” เจี่ยงไป๋เหมียนสั่นศีรษะ

โลกเก่าล่มสลายมาหลายปีแล้ว ปืนจำนวนมากไม่อาจใช้การได้อีก กระสุนหลากหลายขนาดก็ถูกใช้ไปจนหมดสิ้น กองกำลังขนาดใหญ่ที่มีกำลังผลิตจึงเริ่มผลิตขึ้นใหม่โดยเลียนแบบอาวุธจากโลกเก่าทั้งหมดเพื่อใช้วัตถุดิบให้เกิดประโยชน์สูงสุด หลังจากนั้นไม่กี่สิบปีให้หลังก็ค่อยๆ ปรับเปลี่ยนกำหนดมาตรฐานภายในขึ้นมา ถึงแม้ว่าจะยังคงอ้างอิงกับอาวุธในอดีต แต่ความหลากหลายก็ค่อยๆ ลดลง

ด้วยเหตุนี้อาวุธปืนที่พวกนักล่าซากอารยะกับคนเร่ร่อนแดนร้างได้รับมาจากซากเมือง จึงมักเป็นอาวุธที่ชำรุด ซ่อมแซมไม่ได้ กระสุนที่ใช้คู่กันได้ก็หายากขึ้นทุกขณะ ทำให้พวกเขาต้องเพิ่มความพยายามค้นหาจากซากปรักหักพังมากขึ้น หรือไม่ก็ซื้อของที่ลักลอบนำออกมาจากกองกำลังใหญ่ อีกด้านหนึ่งก็สร้างอาวุธทำมือและกระสุนขึ้นมาเอง

ในภายหลังต่อมา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าปืนลูกซองย่อมเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เนื่องจากผลิตได้ค่อนข้างง่าย และนิคมคนเร่ร่อนแดนร้างส่วนใหญ่ต่างก็มีวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับสร้างของพวกนี้อยู่แล้ว

ปืนลูกซองกระบอกนี้ตกอยู่ในมือของ ‘คนไร้ใจ’ นั่นหมายถึงความเป็นไปได้ว่ามีนักล่าซากอารยะหรือคนเร่ร่อนแดนร้างถูกสังหารแล้วชิงอาวุธไป

“ต้องค้นตัวไหม” ไป๋เฉินถามต่ออีกประโยค

“ไม่ต้อง” เฉียวชูที่เมื่อสักครู่ใช้ปืนแม่เหล็กไฟฟ้าของชุดเกราะกระดูกเสริมแรงตอบกลับมาขณะที่หลังหันกลับไป

ไป๋เฉินไม่ได้ยืนกรานต่ออีก กลุ่มคนทั้งห้าก็ออกวิ่งเหยาะไปยังจุดหมายปลายทาง

หลังจากที่เลี้ยวเข้าไปยังถนนอีกสาย เฉียวชูก็ลดความเร็วลงอย่างกระทันหัน

เจี่ยงไป๋เหมียนยกมือขึ้นมาแล้วกดลงไปเพื่อเป็นสัญญาณบอกให้ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงหยุด

ภายใต้แสงจันทร์ที่สว่างกว่าก่อนหน้านี้ ซางเจี้ยนเย่ามองเห็นรถสีดำคันหนึ่งที่จอดทิ้งไว้

ด้านข้างรถซีดานมีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่บนพื้น

คนผู้นี้มีใบหน้าเหลี่ยม สวมชุดที่โลกเก่าเรียกว่าชุดอย่างเป็นทางการ ร่างส่วนบนเอนพิงประตูรถ ดวงตาปิดสนิท ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย

“อู๋โส่วสือ…” เจี่ยงไป๋เหมียจดจำชายผู้นี้ได้

นี่คือนักล่าซากอารยะที่พวกเขาได้พบในแดนร้างก่อนหน้านี้

เขากับพวกพ้องบอก ‘ทีมสำรวจเก่า’ เรื่องการค้นพบซากเมืองแห่งใหม่ทางเหนือของสถานีเยว่หลู่

ในขณะนี้มีแค่อู๋โส่วสืออยู่เพียงลำพัง ไม่ทราบว่าเขายังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว

“ยังมีสัญญาณชีพอยู่” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดโดยประเมินจากสัญญาณไฟฟ้าที่รับรู้ได้

เฉียวชูสังเกตอยู่ชั่วครู่ก่อนจะพูด

“เขาหลับอยู่”

เมื่อได้ยินคำว่า ‘หลับ’ เจี่ยงไป๋เหมียนก็ม่านตาขยายใหญ่ขึ้นเล็กน้อย รีบยกมือขวาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เล็งไปที่อู๋โส่วสือ

ทว่าสิ่งที่เธอเล็งเอาไว้ไม่ใช่ตัวบุคคล แต่เป็นกระจกรถ

แต่ในตอนนี้ซางเจี้ยนเย่าได้ยิงออกไปก่อนแล้ว เขายิงไปที่รถยนต์ด้านหลังอู๋โส่วสือ

เสียงเพล้ง กระจกหน้าต่างรถก็แตกกระจาย

ดวงตาของอู๋โส่วสือขยับวูบไหวเล็กน้อยราวกับว่ากำลังจะตื่น แต่ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็บิดเบี้ยว ร่างกายกระตุกสองครั้งก่อนจะสูญเสียการเคลื่อนไหวไปอย่างสิ้นเชิง

“เขาตายแล้วเหรอ” หลงเยว่หงถามด้วยความแปลกใจ

“ตามทฤษฎีแล้วยังพอมีโอกาสช่วยชีวิตอยู่…” เจี่ยงไป๋เหมียนพูด แต่เธอก็ยังไม่คิดจะเดินเข้าไป ในขณะเดียวกันก็สำรวจรอบข้างก่อนจะเคลื่อนตัวไปยังรถที่จอดทิ้งไว้

ไป๋เฉินก็ทำเช่นเดียวกัน และเตือนออกมา

“ม้าฝันร้ายที่น่ากลัวนั่นน่าจะมาถึงนี่แล้ว”

หลงเยว่หงสะดุ้งโหยง พยายามถ่างตาเพื่อไม่ให้ตัวเองหลับ

เฉียวชูไม่ได้พูดอะไร เขารีบเปิดใช้ ‘ระบบเตือนภัยรอบทิศ’ เพื่อค้นหา ‘ศัตรู’ โดยรอบ

ซางเจี้ยนเย่ามองดูอู๋โส่วสือเบื้องหน้าแล้วจู่ๆ ก็พูดขึ้น

“ถึงแม้ว่าผมจะนอนหลับข้างถนนได้ก็เถอะ แต่พวกคุณนอนกันได้เหรอ…”

“หรือว่าม้าฝันร้ายนั่นทำให้คนหลับได้ด้วย” เจี่ยงไป๋เหมียนเข้าใจความหมายของซางเจี้ยนเย่าได้ในทันที “แต่ว่าที่เราเจอก่อนหน้านี้ มันไม่ได้ทำอะไรแบบนี้นี่นา”

หลังจากที่เธอและซางเจี้ยนเย่าตื่นขึ้นมาจากฝันร้ายที่กลายเป็นจริง ก็ไม่ได้หลับกันอีกเลย

“หรือว่ามันทำให้หลับได้ทีละคนเท่านั้น พอเจอเป้าหมายหลายคนก็เลยล้มเลิกไป…” ซางเจี้ยนเย่าเงยหน้ามองเฉียวชูที่สวมชุดเกราะกระดูกเสริมแรงอยู่

ก่อนหน้านี้ เฉียวชูเผชิญหน้ากับม้าฝันร้ายเพียงลำพัง แต่เขาก็ยังรอดชีวิตมาจนถึงปัจจุบันนี้ได้

ซางเจี้ยนเย่าหยุดไปอึดใจก่อนจะพูดต่อ

“หรือว่ามีสัตว์ประหลาดตัวอื่นอยู่นี่ด้วย สัตว์ประหลาดที่ทำให้คนนอนหลับได้”

เมื่อได้ยินแบบนี้ หลงเยว่หงก็หนาววาบขนลุกเกรียวทั่วร่าง รู้สึกเหมือนมีอะไรซ่อนอยู่ในความมืดรอบกายเต็มไปหมด

“ผมจะไปดูว่าพอจะช่วยอะไรเขาได้ไหม ช่วยระวังรอบข้างให้ด้วย” ซางเจี้ยนเย่าเดินตรงเข้าไปหาอู๋โส่วสืออย่างเปิดเผยราวกับจะใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อ

เขาเพิ่งจะเดินไปได้เพียงสองก้าว ทันใดเสียงหอนที่แหบแห้งอ้างว้างก็พลันดังขึ้นมาจากภายในซากเมือง

“บรู๊ววว!”

เสียงหอนนี้ดังก้องจนทะลุผ่านชั้นเมฆ จนทำให้ผู้คนสั่นสะท้าน

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท