รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 74 ทางเดินใต้ดิน

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 74 ทางเดินใต้ดิน

“ได้” ซางเจี้ยนเย่ารีบเดินนำไป ในมือถือปืนไรเฟิลจู่โจม ‘นักรบคลั่ง’ เดินผ่านเฉียวชูไปยังบันไดที่นำไปสู่ห้องเครื่องใต้ดิน

แต่ทว่ากลับมีมือหนึ่งยื่นมาขวางหน้าเขาไว้

“ฉันจะนำหน้าสุดเอง” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดด้วยเสียงเบา

แต่แน่นอนว่าต่อให้เธอพยายามเบาเสียงแค่ไหน ถ้าหากว่าไม่มีเสียงให้เธอเทียบแล้ว มันก็ยังเบาไม่พออยู่ดี

“ผมเป็นผู้ตื่นรู้” ซางเจี้ยนเย่ายังคงยืนกราน สีหน้าเขาทั้งเคร่งขรึมและจริงจัง

“แล้วไง จะช่วยมนุษยชาติต้องเริ่มจากช่วยพวกเราก่อนงั้นเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะเบาๆ ออกมาคำหนึ่ง “นายสามารถตรวจจับตำแหน่งของคนโจมตีล่วงหน้าได้หรือไง”

ซางเจี้ยนเย่าพยักหน้า

“ได้สิ”

“…” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่คาดว่าจะได้รับคำตอบเช่นนี้กลับมา คำพูดที่คิดจะพูดต่อเลยติดชะงักค้างอยู่ในลำคอ

ผ่านไปสองสามวินาทีถึงจะเค้นคำพูดออกมาได้

“ขอบเขตไกลแค่ไหน”

“สิบเมตร” ซางเจี้ยนเย่าตอบเสียงเรียบ

เจี่ยงไป๋เหมียนถอนใจโล่งอก

“ถ้างั้นขอบเขตฉันก็ไกลกว่านาย

“ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ ยิ่งเจอตัวคนโจมตีเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น

“ดังนั้นฉันจะนำเอง”

พูดถึงตรงนี้เธอก็ยิ้มออกมา

“นี่ไม่ใช่ว่าจะไม่ให้นายแบกความรับผิดชอบนะ เพียงแต่ว่าแต่ละวิชาชีพก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางถึงจะทำเรื่องเฉพาะทางได้ดีที่สุด

“ถ้าหากว่าวันนึงทีมของเราต้องเจอสถานการณ์ที่อันตรายกว่านี้ และความสามารถของนายเหมาะสมกับการแก้เกมที่สุด ฉันก็จะส่งนายออกไปอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย”

ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ผงกศีรษะเล็กน้อย จากนั้นก็ก้าวถอยหลังเพื่อหลีกทางให้

เจี่ยงไป๋เหมียนปรับเข็มขัดซองปืนแล้วสะพายปืนยิงระเบิดไว้ที่ไหล่ จากนั้นก็จับ ‘มอสน้ำแข็ง’ ด้วยมือหนึ่ง ส่วนอีกข้างปล่อยให้เป็นอิสระ

ด้านในของช่องบันไดนั้นค่อนข้างแคบมาก พื้นที่ให้หลบหลีกก็จำกัด ดังนั้นห้ามทำพลาดเด็ดขาด

หลังจากพิจารณาในแง่มุมนี้ เจี่ยงไป๋เหมียนจึงสละปืนพก ‘ยูไนเต็ด 202’ ชั่วคราวเพราะกระสุนขัดลำกล้องบ่อย ส่วนปืนยิงระเบิดนั้น เกรงว่ารัศมีระเบิดจะเป็นการปล่อยระเบิดใส่ตัวเองซะมากกว่า

แม้ว่าเธอจะคอยบำรุงรักษาและปรับเทียบ ‘ยูไนเต็ด 202’ อยู่ตลอด ไม่น่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นได้ แต่ด้วยสภาพแวดล้อมในตอนนี้ ต้องบอกว่า ‘หนึ่งหมื่นไม่กลัว กลัวแต่หนึ่งในหมื่น[1]’ หากเกิดเคราะห์ร้ายกระสุนขัดลำกล้องขึ้นมา ตอนนั้นถึงอยากจะหลบแต่ก็ไม่มีที่ให้หลบแล้ว

และแน่นอน ปืนยิงระเบิดก็ต้องสะพายไว้ในตำแหน่งที่หยิบใช้ได้สะดวกที่สุด หากว่าพวก ‘คนไร้ใจ’ นั้นกล้ารวมกลุ่มดักรออยู่ใต้บันได เธอก็กล้ายิงระเบิดใส่ กวาดพวกมันให้ราบเป็นหน้ากลองเช่นกัน

ส่วนตัวเธอเองนั้น แน่นอนว่าพอยิงเสร็จก็ต้องรีบไปหาที่หมอบหลบอยู่แล้ว

มืออีกข้างที่ว่างอยู่นั้นเธอเตรียมไว้สำหรับหยิบไฟฉาย

ถึงแม้ว่าเธอจะสามารถรับรู้สัญญาณไฟฟ้าของศัตรูได้ แต่เธอไม่อาจมองเห็นขั้นบันไดในความมืดได้

ภายในนี้แม้แต่แสงจันทร์และแสงดาวอันเลือนลางก็ไม่มี

ด้วยไฟฉายในมือ เจี่ยงไป๋เหมียนก้มเอวเล็กน้อยมองตรงไปยังแสงไฟสีเหลืองเบื้องหน้าขณะที่ก้าวลงบันไดไปทีละก้าว

เธอไม่กล้าเดินเร็วเกินไปนักเพราะกลัวว่าถ้าหากถูกโจมตีขึ้นมาจะตอบสนองไม่ทัน

รอจนกระทั่งซางเจี้ยนเย่า ไป๋เฉิน และหลงเยว่หง เข้าไปในโถงหน้าลิฟต์จนครบหมดทุกคนแล้ว เธอก็หันกลับมาเตือน

“ถ้าฉันบอกให้หมอบ พวกนายต้องรีบหมอบทันที”

เธอกลัวว่า ‘คนไร้ใจ’ จะยิงหรือขว้างระเบิดมาจากระยะไกล

ถึงแม้ว่าเฉียวชูจะใช้ ‘ระบบเตือนภัยรอบทิศ’ และ ‘ระบบเล็งเป้าความแม่นยำสูง’ เพื่อยิงทำลายลูกระเบิดก่อนที่มันจะระเบิดได้ แต่ก็ต้องป้องกันสะเก็ดระเบิดด้วย

ถ้าหากว่ากระสุนหรือลูกระเบิดของอีกฝ่ายมีแก๊สพิษ เจี่ยงไป๋เหมียนก็ไม่มีทางเลือก ต้องให้ทุกคนกลั้นหายใจแล้ววิ่งย้อนกลับขึ้นไปที่ชั้นหนึ่ง เมื่อถึงตอนนั้น นอกจากไป๋เฉินแล้ว ทุกคนสามารถพึ่งพาร่างกายที่ได้รับการปรับปรุงพันธุกรรมฝืนทนไว้ก่อน จากนั้นใช้ ‘ยาแก้พิษชีวภาพทั่วไป’ ที่บริษัทผลิตขึ้น ส่วนชุดเกราะกระดูกเสริมแรงที่เฉียวชูสวมก็มี ‘ระบบกรองพิษ’ จึงไม่จำเป็นต้องไปกังวล

แต่สุดท้ายแล้วแผนนี้จะใช้การได้หรือไม่ เธอเองก็ไม่ได้มั่นใจนัก

ถ้าหากว่าพวก ‘คนไร้ใจ’ มีกระสุนระเบิดเทอร์โมบาริก[2] เจี่ยงไป๋เหมียนก็คงได้แต่ทำใจยอมรับว่าชะตาขาดล่ะ

แต่อย่างไรก็ตาม สถานการณ์อย่างหลังทั้งสองแบบนั้นไม่ได้ทำให้เธอเป็นกังวลมากนัก เพราะเธอรู้สึกว่า ‘คนไร้ใจ’ นั้นไม่สามารถดูแลรักษาอาวุธปืนและกระสุนได้ดีนัก หลังจากโลกเก่าล่มสลายลงแล้ว ก็แทบจะไม่เคยมีใครมาที่นี่ ในครั้งนี้ก็มีเพียงคนไม่กี่กลุ่มที่เข้ามา ซึ่งก็ไม่ได้พกพวกอาวุธยุทโธปกรณ์กันมามากนัก

แต่เมื่อคิดถึงความแปลกประหลาดของ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ แล้ว และคิดว่าพวกมันสามารถใช้อาวุธได้สารพัดชนิด ก็ทำเอาเจี่ยงไป๋เหมียนถึงกับปวดขมับ

เมื่อได้ยินเจี่ยงไป๋เหมียนสั่ง หลงเยว่หงก็ตอบรับโดยอัตโนมัติ

“ทราบแล้ว หัวหน้า!”

เสียงที่เต็มไปด้วยพลังนี้ดังก้องไปทั่วช่องบันไดและดังก้องต่อลงไปด้านล่างทีละชั้น

หลงเยว่หงพลันรู้สึกตัวขึ้นมาทันทีว่าตัวเองทำเรื่องผิดพลาดอีกแล้ว

“ไม่เลว”

“ดีมาก”

“ตอบได้มีพลังดี”

เจี่ยงไป๋เหมียน ไป๋เฉิน และซางเจี้ยนเย่า ชมออกมาเกือบจะพร้อมๆ กัน

เฉียวชูมองดูอย่างเย็นชา เขาเปิดไฟฉายที่มากับชุดเกราะกระดูกเสริมแรง ใช้ลำแสงเพื่อส่งสัญญาณบอกคนทั้งสี่ด้านหน้าว่าอย่าเสียเวลาอีก

เจี่ยงไป๋เหมียนขบคิดทบทวนซ้ำเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรที่เธอต้องเตือนหรือเน้นย้ำเป็นพิเศษอีก จากนั้นจึงเปิดไฟฉาย ถือ ‘มอสน้ำแข็ง’ เดินก้าวลงบันไดทีละขั้น

ลมที่นี่ค่อนข้างเย็น ผนังด้านขวานั้นสีลอกหมดแล้ว ราวจับด้านซ้ายมือเป็นรอยด่างดำ ราวโลหะก็ขึ้นสนิมเกรอะกรัง

ภายใต้ลำแสงสีเหลือง วงแสงส่องลึกเข้าไปในความมืดราวกับว่าพวกเขากำลังเข้าไปในปากของสัตว์ยักษ์

นี่ทำให้ความกังวลและความกลัวของหลงเยว่หงทวีความรุนแรงมากขึ้น ความคิดต่างๆ นานาวิ่งพล่านอยู่ในใจ บังเกิดความสงสัยขึ้นอีกคราว่าปฏิบัติการนี้จำเป็นด้วยหรือ

ระหว่างที่กำลังเดินลงไปทีละขั้นในช่องบันไดที่เงียบสงัดราวกับโลกทั้งใบได้ตายไปแล้ว

ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเขายังคงได้ยินเสียงฝีเท้าเบาๆ ของตัวเองกับคนอื่นๆ หลงเยว่หงคิดว่าตนเองคงจะสติแตกเพราะสภาพแวดล้อมและบรรยากาศเช่นนี้ไปแล้ว

และถึงจะเป็นเช่นนั้น เขาก็รู้สึกว่าเวลาผ่านไปเชื่องช้ามาก

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด จู่ๆ เฉียวชูที่อยู่ด้านหลังก็พูดขึ้นมา

“ที่นี่แหละ”

“ฟู่…” หลงเยว่หงถอนใจโล่งอก

โชคดีที่ไม่ถูกโจมตีระหว่างที่เดินลงบันไดมา!

พอออกจากสภาพแวดล้อมอันแสนคับแคบและถูกปิดล้อมไว้ ตอนนี้ก็มีที่ว่างให้วิ่ง กลิ้งม้วนตัว และกระโดดเพื่อหลบหลีกได้แล้ว

“พวกมันไม่ได้ฉวยโอกาสนี้โจมตีเรา…” ไป๋เฉินพูดพึมพำกับตัวเอง

เจี่ยงไป๋เหมียนตอบไปโดยอัตโนมัติ

“พวก ‘คนไร้ใจ’ ไม่น่าจะมาป้องกันไม่ให้เราเข้าไปในห้องเครื่องใต้ดิน พวกมันไม่มีแรงจูงใจหรือสติปัญญา เว้นซะแต่ว่าที่นี่จะเป็นที่ที่พวกมันซ่อนตัวอยู่

“ในฐานะนักล่า หากพวกมันเจอเหยื่อที่แข็งแกร่งจนเกินกว่าจะรับมือไหว ทางเลือกที่ดีที่สุดก็คือคอยซุ่มสังเกตการณ์เพื่อรอโอกาส และเรียกพวกมาช่วย

“พวกนี้ล้วนเป็น ‘คนไร้ใจ’ ชั่วรุ่นหลังๆ ไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่นแล้ว ไม่ว่ายังไงก็ต้องมีสัญชาตญาณการล่าหรือภูมิความรู้ในด้านนี้อยู่แล้วล่ะ”

หลงเยว่หงฟังแล้วยิ่งกังวลหนักขึ้น มองไปรอบๆ อย่างวิตก

“พูดอีกอย่างก็คือพวกมันกำลังซ่อนตัวในความมืดรอบๆ นี้ใช่ไหม”

“อืม ใช่แล้ว” ซางเจี้ยนเย่ายิ้มแล้วพูดอย่างเห็นด้วย “ถ้าใครมีท่าทางกระวนกระวาย อ่อนแอ และขาดความตื่นตัว ก็จะตกเป็นเป้าของพวกมัน”

หลงเยว่หงตื่นตัวขึ้นมาทันที

นี่มันหมายถึงฉันเองไม่ใช่เรอะ

เขารีบสะกดข่มความกลัวลงไปในพริบตา ความกระฉับกระเฉงเพิ่มสูงขึ้น เพื่อไม่ให้ตัวเองแสดงจุดอ่อนใดๆ ออกมา

“เอาละ ยืนยันแล้วว่าด้านหลังประตูไม่มีสัญญาณไฟฟ้า” เจี่ยงไป๋เหมียนเพียงแค่พูดเฉยๆ แต่ไม่ได้หยุดฝีเท้าลง “แต่ว่าเรายังต้องทำตามขั้นตอน ระวังไว้หน่อย”

พวกเขาหาที่กำบัง เตรียมตัวไว้ให้พร้อมในการยิงสกัด ไม่ได้ผ่อนคลายลง

จากนั้นเจี่ยงไป๋เหมียนก็ควบคุมกำลังแล้วพุ่งกระแทกบานประตูฉุกเฉินทางหนีไฟที่นำไปสู่ห้องเครื่องใต้ดินให้เปิดออก

แล้วก็ใช้แรงสะท้อนเพื่อหมุนตัวกลับไปหลบอยู่ด้านข้าง

หลังจากที่ยืนยันแล้วว่าไม่มีใครโจมตีมา พวกเขาก็จัดรูปขบวนอีกครั้ง รีบวิ่งออกจากช่องบันไดมุ่งหน้าไปชั้นใต้ดิน

พอลำแสงไฟฉายกราดส่องไป พวกเขาก็เห็นเค้าโครงแผนผังของที่นี่ได้ชัดเจน

ข้างหน้านั้นเป็นสี่แยก ด้านหน้าด้านขวาด้านซ้ายล้วนเป็นทางเดิน สองฝั่งข้างทางเป็นห้องเรียงรายเต็มไปหมด

“ห้องเครื่องใต้ดินอยู่ไหน” เจี่ยงไป๋เหมียนถามเฉียวชู

เฉียวชูมองไปรอบๆ ก่อนจะตอบ

“ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน”

จากนั้นก็รีบพูดเสริมต่อทันที

“พวกคุณตรงไปสำรวจดูลาดเลาก่อน

“ถ้าหาเจอก็ตะโกนบอกผม ถ้าไม่เจอก็กลับมาก่อน แล้วค่อยไปทางอื่นต่อ”

เขาแทบจะไม่ต้องคิดเลย ราวกับว่าได้ตัดสินใจไว้ก่อนแล้ว

เจี่ยงไป๋เหมียนกับคนอื่นต่างก็ไม่คิดว่ามีปัญหาอะไร พวกเขาจัดรูปขบวนแบบเดิม แล้วตรงไปยังทางเดินด้านหน้า

ในตอนนี้เฉียวชูก้าวมาข้างหน้าสองก้าว และพูดย้ำอีกครั้ง

“ไปสุดทางเมื่อไหร่ อย่าเพิ่งรีบเลี้ยวไปที่อื่น ให้กลับมารายงานก่อน”

“ไม่มีปัญหา” ซางเจี้ยนเย่าตอบแทนเจี่ยงไป๋เหมียน

เขายังยิ้มและโบกมือให้ด้วย

“ได้” เจี่ยงไป๋เหมียนหันกลับไปจดจ่อกับทางข้างหน้าต่อ

กลุ่มคนทั้งสี่ใช้แสงไฟฉายส่องนำทาง เดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ ตามทางเดิน

ทั้งสองด้านของพวกเขานั้น ห้องบางห้องก็เปิดอยู่ บางห้องก็ปิดสนิท บานประตูบ้างก็ทำจากแผ่นไม้ บ้างก็ทำด้วยโลหะสีเทา ในห้องบางทีก็เห็นโต๊ะสี่เหลี่ยมจัตุรัสบ้าง โต๊ะยาวบ้าง และยังมีเก้าอี้กับเครื่องจักรสารพัดชนิด

แต่ไม่มีสักห้องที่รูปร่างหน้าตามองดูแล้วเหมือนกับห้องจ่ายไฟ

เดินอยู่ดีๆ จู่ๆ เจี่ยงไป๋เหมียนก็ยกมือขึ้นมา แล้วยิงเข้าไปในห้องด้านข้าง

เสียงปังดังขึ้น ร่างหนึ่งเดินโซซัดโซเซออกมาจากประตูห้องแล้วพรวดพราดออกมาที่ทางเดินฝั่งตรงข้าม

ขณะที่ลำแสงไฟฉายกราดออกไป ซางเจี้ยนเย่าและคนอื่นๆ ก็เห็นแผ่นหลังของร่างในเสื้อเชิ้ตสีขาว

แขนขวาของร่างที่หันหลังให้นี้กำลังจับไหล่เอาไว้ ของเหลวสีแดงสดแผ่ขยายอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าถูกยิง

อย่างไรก็ตาม ความเร็วของมันไม่ได้ช้าลงเลย ก่อนที่เจี่ยงไป๋เหมียนและคนอื่นจะยิงซ้ำนัดที่สอง มันก็กระโดดหายลับไปจากครรลองสายตาของพวกเขาแล้ว

“อาการบาดเจ็บของมัน มีอะไรแปลกๆ” ไป๋เฉินละสายตากลับมาและพูดขึ้น

“แปลกยังไง” หลงเยว่หงถามอย่างตระหนก

ไป๋เฉินเหลือบมองเจี่ยงไป๋เหมียน

“ถึงแม้ว่า ‘มอสน้ำแข็ง’ จะไม่ทรงพลังเท่า ‘ยูไนเต็ด 202’ แต่ก็ใช่ว่าจะอ่อนด้อย ถ้ายิงเข้าร่างคน ไม่น่าจะบาดเจ็บแค่เท่านั้น”

เจี่ยงไป๋เหมียนพยักหน้าเบาๆ

“อย่าบอกนะว่า ‘คนไร้ใจ’ รุ่นหลังๆ กล้ามเนื้อได้พัฒนามาจนถึงระดับนี้แล้ว สามารถลดทอนประสิทธิภาพการหมุนคว้านของลูกกระสุนได้”

“สาเหตุยังไม่แน่ชัด แต่ต่อไปเราต้องระวังให้มากขึ้น จะได้ไม่ประเมินอาการบาดเจ็บของพวกมันผิดพลาด” ไป๋เฉินเตือนทุกคนด้วยสีหน้าจริงจัง

“หวังว่าหัวพวกมันจะแข็งพอนะ” ซางเจี้ยนเย่าตอบด้วยรอยยิ้ม

หลงเยว่หงจดจำเรื่องนี้ไว้ในใจ

‘ทีมสำรวจเก่า’ ยังคงเดินหน้าต่อไป แต่ก็ไม่ได้พบกับพวก ‘คนไร้ใจ’ ระหว่างทางอีก

ในไม่ช้าพวกเขาก็มาถึงปลายทาง

เจี่ยงไป๋เหมียนส่องไฟฉายไปยังห้องด้านขวาที่เปิดประตูค้างไว้เพื่อตรวจสอบยืนยันให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรอยู่ข้างใน

และสิ่งที่ดึงดูดสายตาของเธอเป็นอย่างแรกภายในห้องนั้นก็คือมนุษย์คนหนึ่ง!

เป็นหญิงชราหลังค่อมใบหน้าเหี่ยวย่น สวมหมวกไหมพรมสีเข้ม กระโปรงยาวสีดำทำจากผ้าขนสัตว์

เส้นผมที่โผล่ออกมานอกหมวกของหญิงชราเป็นสีขาวโพลน สองมือโอบอุ้มผ้าอ้อมสีแดงน้ำเงินที่ห่อเอาไว้

เธอเงยหน้ามองเจี่ยงไป๋เหมียนและคนอื่นๆ ด้วยดวงตาขุ่นมัว พูดออกมาทีละคำ

“พวกเจ้า… เสียงดัง… รบกวน… เสี่ยวชง…”

* * * * *

[1] หนึ่งหมื่นไม่กลัว กลัวแต่หนึ่งในหมื่น (不怕一万,就怕万一) แปลว่า “ไม่กลัวหนึ่งหมื่น (หมายถึงเรื่องที่เกิดได้บ่อย) กลัวแต่หนึ่งในหมื่น (หมายถึงเรื่องที่ยากจะเกิดขึ้นแต่ก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้)” แฝงนัยว่าให้ดำรงตนอยู่ในความไม่ประมาท

[2] ระเบิดเทอร์โมบาริก (温压弹 Thermobaric Bombs)คือ อาวุธระเบิดทำลายล้างอานุภาพสูงชนิดหนึ่ง บางทีเรียกว่า Vacuum Bombs (ระเบิดสูญญากาศ) หรือ Fuel-air Explosives (ระเบิดเชื้อเพลิงอากาศ) เป็นระเบิดที่ใช้ออกซิเจนจากอากาศโดยรอบเพื่อสร้างความรุนแรงของการระเบิดที่อุณหภูมิสูง ส่งผลให้เกิดแรงอัดอากาศและมวลคลื่นที่มีความรุนแรงอย่างมาก หากใช้กับสิ่งก่อสร้างที่มีลักษณะเป็นแนวสนามเพลาะ ภายในอาคาร หรือช่องอุโมงค์ จะยิ่งทวีความรุนแรงของคลื่นแรงอัดกระแทกอีกหลายเท่าตัว ผลของคลื่นที่ถูกอัดกระจายจากแรงระเบิดนั้น สามารถทำลายอาคารที่มีลักษณะโครงสร้างไม่แข็งแรงได้ในพริบตาเดียว

Next

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท